พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ตอนที่ ๔ มหาโมคคัลลานเถราปทาน


ข้าพเจ้าถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ พึงใช้นิ้วหัวแม่เท้าข้างซ้าย เขี่ยแผ่นดินซึ่งทั้งลึกทั้งหนาที่อะไรๆ กำจัดได้ยาก ให้ไหวได้

พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก

ตอนที่ ๔ มหาโมคคัลลานเถราปทาน

พลตรี มารวย ส่งทานินทร์

๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑

๒. มหาโมคคัลลานเถราปทานประวัติในอดีตชาติของพระมหาโมคคัลลานเถระ

เกริ่นนำ

            ข้าพเจ้าถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ พึงใช้นิ้วหัวแม่เท้าข้างซ้าย เขี่ยแผ่นดินซึ่งทั้งลึกทั้งหนาที่อะไรๆ กำจัดได้ยาก ให้ไหวได้

             (พระมหาโมคคัลลานเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)             

[๓๗๕] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน มีหมู่เทวดาห้อมล้อมประทับอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์             

[๓๗๖] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดเป็นพญานาคมีนามว่าวรุณ เนรมิตรูปได้ตามที่ต้องการ แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ อาศัยอยู่ในทะเลใหญ่             

[๓๗๗] ข้าพเจ้าละหมู่นาคซึ่งเป็นบริวารประจำ ให้เริ่มบรรเลงดนตรี ในครั้งนั้น หมู่นางนาคแวดล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พากันประโคมดนตรี             

[๓๗๘] เมื่อดนตรีประโคมอยู่ เหล่าเทวดาก็ประโคมดนตรี พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับเสียงดนตรีของทั้ง ๒ ฝ่ายแล้วก็ทรงทราบ             

[๓๗๙] ข้าพเจ้านิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หมายรวมถึงหมู่พระสาวกด้วย เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น) แล้วเข้าไปยังภพของตน ปูลาดอาสนะ แล้วจึงกราบทูลเวลา             

[๓๘๐] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก มีพระขีณาสพ ๑,๐๐๐ รูป แวดล้อม (ทรงเปล่งรัศมี) ทำทิศทั้งปวงให้สว่างไสว เสด็จเข้าไปยังภพของข้าพเจ้า             

[๓๘๑] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าอังคาสพระผู้มีพระภาค ผู้มีความเพียรมาก ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ผู้องอาจกว่านรชน และหมู่ภิกษุให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ             

[๓๘๒] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงมีความเพียรมาก ผู้เป็นพระสยัมภู เป็นบุคคลผู้เลิศ ทรงอนุโมทนาแล้ว ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า             

[๓๘๓] บุคคลใดได้บูชาพระสงฆ์ และได้บูชาพระพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น บุคคลนั้นจักไปเกิดยังเทวโลก             

[๓๘๔] จักครองเทวสมบัติ ๗๗ ชาติ จักเป็นพระเจ้าแผ่นดินครองแผ่นดิน ๑๐๘ ชาติ             

[๓๘๕] และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๕ ชาติ โภคสมบัตินับจำนวนไม่ถ้วนจักเกิดขึ้นแก่เขาในขณะนั้น            

[๓๘๖] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก             

[๓๘๗] เขาจุติจากนรกแล้วจักมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นบุตรของพราหมณ์มีนามว่าโกลิตะ             

[๓๘๘] ภายหลัง เขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักบวชเป็นสาวกองค์ที่ ๒ ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม             

[๓๘๙] เป็นผู้บำเพ็ญเพียร (ผู้บำเพ็ญเพียร หมายถึงมีความเพียรในอิริยาบถทั้งหลายมีการยืนการนั่งเป็นต้น) มีใจเด็ดเดี่ยว(เพื่อนิพพาน) ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน             

[๓๙๐] (พระเถระครั้นกล่าวคำพยากรณ์ที่ตนได้รับแล้ว เมื่อจะประกาศความประพฤติชั่วจึงกล่าวว่า) ข้าพเจ้าคลุกคลีมิตรชั่ว ตกอยู่ในอำนาจกามราคะ มีใจโกรธเคือง ได้ฆ่ามารดาและบิดาเสียแล้ว             

[๓๙๑] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใดๆ คือ จะเป็นนรกหรือมนุษย์ก็ตาม เพราะเป็นผู้มากด้วยความชั่ว ข้าพเจ้าจึงถูกทุบศีรษะตาย             

[๓๙๒] นี้เป็นกรรมครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า ภพสุดท้ายกำลังเป็นไปอยู่ กรรมเช่นนี้จักปรากฏแก่ข้าพเจ้าในเวลาจะตายแม้ในชาตินี้             

[๓๙๓] ข้าพเจ้าหมั่นประกอบความสงัด ยินดีในการเจริญสมาธิ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ             

[๓๙๔] (เมื่อพระเถระจะประกาศผลแห่งความประพฤติในก่อน จึงกล่าวว่า) ข้าพเจ้าถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ พึงใช้นิ้วหัวแม่เท้าข้างซ้าย เขี่ยแผ่นดินซึ่งทั้งลึกทั้งหนาที่อะไรๆ กำจัดได้ยาก ให้ไหวได้             

[๓๙๕] ข้าพเจ้าไม่เห็นอัสมิมานะ(ถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่) ข้าพเจ้าไม่มีความถือตัว ข้าพเจ้ากระทำจิตให้มีความเคารพ แม้กระทั่งสามเณร             

[๓๙๖] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญกรรมใดไว้ ข้าพเจ้าได้บรรลุถึงภูมินั้น (ภูมินั้น หมายถึงสาวกภูมิ ซึ่งหมายถึงบรรลุพระนิพพาน) แล้วบรรลุความสิ้นอาสวะ             

[๓๙๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล             

ได้ทราบว่า ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้

มหาโมคคัลลานเถราปทานที่ ๒ จบ

------------------------------------------

 

คำอธิบายนี้นำมาจากบางส่วนของอรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑

เถราปทาน ๑. พุทธวรรค

พรรณนามหาโมคคัลลานเถราปทาน               

 

               ก็พระเถระนี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าปางก่อนทั้งหลาย สั่งสมบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่วิวัฏฏะไว้ในภพนั้นๆ ครั้นในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี ดังนี้ ได้กล่าวไว้แล้วใน เรื่องของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ.

 

พระเถระบรรลุพระอรหัตผล
               ความพิสดารว่า จำเดิมแต่วันที่บวชแล้ว ในวันที่ ๗ พระเถระเข้าไปอาศัยบ้าน กัลลวาลคาม ในมคธรัฐ บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ เมื่อถีนมิทธะคือความโงกง่วงครอบงำ อันพระศาสดาทรงให้สลดใจด้วยพระดำรัสมีอาทิว่า โมคคัลลานะ ความพยายามของเธออย่าได้ไร้ผลเสียเลย เมื่อได้ฟัง ธาตุกรรมฐาน อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรเทาความโงกง่วงแล้วตรัสให้ฟังอยู่ ได้บรรลุมรรคทั้ง ๓ เบื้องบน โดยลำดับแห่งวิปัสสนาแล้วถึงที่สุดแห่งสาวกญาณในขณะแห่งผลอันเลิศคือพระอรหัตผล.
               ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ครั้นได้บรรลุความเป็นทุติยสาวกอย่างนี้แล้ว ได้ระลึกถึงบุพกรรมของตน เมื่อจะประกาศอปทานอันเป็นบุพจริยาด้วยอำนาจความโสมนัส จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อโนมทสฺสี ภควา ดังนี้.

 

พระเถระปรินิพพาน

                สมัยหนึ่ง พวกเดียรถีย์ประชุมกันปรึกษากันว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านรู้ไหม เพราะเหตุไร ลาภสักการะจึงบังเกิดมากมายแก่พระสมณโคดม. พวกเดียรถีย์กล่าวว่าพวกเราไม่รู้ ก็ท่านเล่า ไม่รู้หรือ.
               พวกเดียรถีย์กล่าวว่า เออ เรารู้ลาภสักการะเกิดขึ้น เพราะอาศัยภิกษุรูปหนึ่งชื่อโมคคัลลานะ. ด้วยว่าพระโมคคัลลานะนั้นไปยังเทวโลก ถามถึงกรรมที่เหล่าเทวดากระทำ แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่า พวกเขาทำกรรมชื่อนี้จึงได้สมบัติเห็นปานนี้ และถามกรรมแม้ของพวกที่เกิดในนรก แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่าพวกเขาทำกรรมชื่อนี้จึงได้เสวยทุกข์เห็นปานนี้.
               มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังถ้อยคำของพระมหาโมคคัลลานะแล้ว จึงนำไปเฉพาะซึ่งลาภสักการะใหญ่.
               เดียรถีย์ทั้งหมดได้มีฉันทะเป็นอย่างเดียวกันว่า ถ้าพวกเราอาจฆ่าพระโมคคัลลานะนั้น ลาภสักการะนั้นจักบังเกิดแก่พวกเรา อุบายนี้มีประโยชน์ แล้วคิดกันว่า พวกเราจักกระทำอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งฆ่าพระโมคคัลลานะนั้นเสีย จึงชักชวนพวกอุปัฏฐากของตน ได้กหาปณะหนึ่งพัน แล้วให้เรียกโจรนักฆ่าคนมาแล้วพูดว่า ชื่อว่าพระมหาโมคคัลลานเถระ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสมณโคดม อยู่ ณ กาฬศิลาประเทศ ท่านจงไป ณ ที่นั้นแล้วฆ่าพระโมคคัลลานะนั้นเสีย ครั้นกล่าวแล้วได้ให้กหาปณะหนึ่งพันนั้นแก่โจรเหล่านั้น.
               พวกโจรรับคำเพราะได้ทรัพย์ พากันกล่าวว่า พวกเราจักฆ่าพระเถระ จึงไปล้อมสถานที่อยู่ของพระเถระนั้น.
               พระเถระรู้ว่าพวกโจรเหล่านั้นล้อมตนอยู่ จึงหนีออกไปทางช่องกุญแจ. พวกโจรไม่เห็นพระเถระในวันนั้น จึงพากันล้อมสถานที่อยู่ของพระเถระนั้นในวันรุ่งขึ้น.
               พระเถระรู้แล้วจึงทำลายมณฑลช่อฟ้าแล้วเหาะไป. เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกโจรเหล่านั้นจึงไม่อาจจับพระเถระทั้งในเดือนต้นและเดือนกลาง แต่เมื่อถึงเดือนหลัง พระเถระรู้ว่ากรรมที่ตนกระทำไว้ชักพามา จึงไม่หลบหนี. พวกโจรประหารพระเถระ ทุบทำลายกระทำกระดูกทั้งหลายให้มีขนาดเมล็ดข้าวสารเป็นประมาณ.
               ทีนั้น พวกโจรสำคัญพระเถระนั้นว่าตายแล้ว จึงโยนไปบนหลังพุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วพากันหลีกไป.
               พระเถระคิดว่า เราจักเฝ้าพระศาสดาถวายบังคมแล้วทีเดียวจึงจักปรินิพพาน แล้วประสานอัตภาพด้วยเครื่องประสานคือฌาน แล้วเหาะไปยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักปรินิพพาน.
               พระศาสดาตรัสว่า เธอจักปรินิพพานหรือโมคคัลลานะ.
               พระเถระกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ.
               พระศาสดา. เธอจักไปปรินิพพานที่ไหน.
               พระเถระ. จะไปยังกาฬศิลาประเทศ พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอกล่าวธรรมแก่เราแล้วจงไปเถิด. เพราะตั้งแต่บัดนี้ไป เราจะไม่มีการเห็นสาวกเช่นท่าน (อีกต่อไป).
               พระเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักทำอย่างนั้น พระเจ้าข้า. แล้วถวายบังคมพระศาสดา เหาะขึ้นสู่อากาศ กระทำฤทธิ์มีประการต่างๆ เหมือน พระสารีบุตรเถระกระทำในวันปรินิพพาน แล้วกล่าวธรรม ถวายบังคมลาพระศาสดา ไปยังกาฬศิลาประเทศแล้วปรินิพพาน.
               เรื่องราวนี้ว่า เขาว่า พวกโจรฆ่าพระเถระดังนี้ ได้แพร่สะพัดไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น.
               พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงประกอบพวกจารบุรุษ เพื่อให้แสวงหาพวกโจร.
               เมื่อโจรเหล่านั้นดื่มสุราในโรงดื่มสุราอยู่เมาเหล้า โจรคนหนึ่งประหารหลังของโจรคนหนึ่งให้ล้มลงไป. โจรคนนั้นเมื่อจะคุกคามโจรที่ประหารตนนั้น จึงกล่าวว่า แน่ะเจ้าคนแนะนำยาก เหตุไร เจ้าจึงประหารหลังของเราทำให้ล้มลง เฮ้ย! เจ้าโจรร้าย ก็พระมหาโมคคัลลานเถระน่ะ เจ้าประหารก่อนหรือ. โจรผู้ประหารกล่าวว่า ก็เจ้าไม่รู้ว่าข้าประหารก่อนหรือ.
               เมื่อโจรเหล่านั้นพูดกันอยู่อย่างนี้ว่า ข้าประหาร ข้าประหาร ดังนี้ จารบุรุษเหล่านั้นได้ฟังแล้วจึงจับโจรเหล่านั้นทั้งหมด แล้วกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ.
               พระราชารับสั่งให้เรียกโจรเหล่านั้นมาแล้วตรัสถามว่า พวกเจ้าฆ่าพระเถระหรือ? พวกโจรกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ. พระราชา. ใครส่งพวกเจ้ามา. พวกโจร. พวกสมณะเปลือย พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้จับพวกสมณะเปลือยทั้ง ๕๐๐ คนแล้วให้ฝังในหลุมประมาณเพียงสะดือที่ท้องสนามหลวง พร้อมกับพวกโจรทั้ง ๕๐๐ คน แล้วให้เอาฟางสุมแล้วให้จุดไฟ. ครั้นทรงทราบว่า คนเหล่านั้นถูกเผาแล้วให้เอาไถเหล็กไถ ให้ทำคนทั้งหมดให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่.

 

บุรพกรรมของพระเถระ
               ในกาลนั้น ภิกษุทั้งหลายสั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า พระมหาโมคคัลลานเถระถึงแก่ความตายไม่เหมาะสมแก่ตน.
               พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ความตายของโมคคัลลานะไม่เหมาะสมแก่อัตภาพนี้เท่านั้น แต่เหมาะสมแท้แก่กรรมที่โมคคัลลานะนั้นทำไว้ในชาติก่อน. อันภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บุรพกรรมของพระเถระนั้นเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า จึงตรัสบุรพกรรมนั้นโดยพิสดารว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล มีกุลบุตรคนหนึ่งในนครพาราณสี กระทำการงานมีการซ้อมข้าวและหุงข้าวเป็นต้นด้วยตนเอง ปฏิบัติบิดามารดา.
               ทีนั้น บิดามารดาของเขาจึงกล่าวว่า ลูกเอ๋ย เจ้าผู้เดียวกระทำการงานทั้งในบ้านและในป่าลำบาก เราจักนำนางกุมาริกาคนหนึ่งมาให้เจ้า แม้ถูกกุลบุตรนั้นห้ามว่า ข้าแต่คุณพ่อและคุณแม่ ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ตราบใด ลูกจักบำรุงคุณพ่อและคุณแม่ด้วยมือของตนเองตราบนั้น ดังนี้ ก็ยังอ้อนวอนอยู่แล้วๆ เล่าๆ แล้วนำนางกุมาริกามาให้.
               กุมาริกานั้นบำรุงบิดามารดาของเขาได้ ๒-๓ วันเท่านั้น ภายหลังไม่ปรารถนาแม้จะเห็นคนทั้งสองนั้น จึงยกโทษว่า ดิฉันไม่อาจอยู่ในที่เดียวกันกับบิดามารดาของท่าน เมื่อกุลบุตรนั้นไม่เชื่อถือถ้อยคำของตน ในเวลาเขาออกไปข้างนอก จึงเอาชิ้นเปลือกปอและฟองข้าวยาคูมาโรยในที่นั้นๆ อันกุลบุตรนั้นมาแล้วถามว่า นี้อะไรกัน. นางจึงกล่าวว่า นี่เป็นกรรมของคนทั้งแก่ทั้งบอดเหล่านี้ เขาเที่ยวกระทำให้สกปรกไปทั่วเรือน ฉันไม่อาจอยู่ในที่เดียวกันกับคนเหล่านี้.
               เมื่อนางกล่าวอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ สัตว์ผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วแม้เห็นปานนี้ ก็แตกกับบิดามารดา. กุลบุตรนั้นจึงกล่าวว่า ช่างเถอะ เราจักรู้กรรมที่จะทำแก่คนเหล่านั้น จึงให้บิดามารดาบริโภคแล้วกล่าวว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ พวกญาติของท่านทั้งสองในที่ชื่อโน้น หวังการมา พวกเราจักไปในที่นั้นดังนี้ แล้วยกบิดามารดาขึ้นยานน้อยพาไป.
               ในเวลาถึงท่ามกลางดงจึงกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงถือเชือก พวกโคจะเดินไปตามความสำคัญของอาญา ในที่นี้มีพวกโจรอยู่ ฉันจะลงเดินไป แล้วให้เชือกในมือของบิดา ตนเองลงเดินไป ได้เปลี่ยนเสียงกระทำให้เป็นเสียงพวกโจรตั้งขึ้น.
               บิดามารดาได้ยินเสียง สำคัญว่าโจรตั้งขึ้น จึงกล่าวว่า พ่อ พวกโจรตั้งขึ้นแล้ว พวกเราเป็นคนแก่ พ่อจงรักษาเฉพาะตนเองเถิด. บิดามารดาแม้จะร้องอยู่ เขาก็กระทำเสียงโจร ทุบให้ตายแล้ว โยนทิ้งไปในดงแล้วกลับมา.
               พระศาสดาครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของพระเถระแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะกระทำกรรมมีประมาณเท่านี้ ไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี ด้วยผลวิบากที่เหลือเพียงนั้น จึงเป็นผู้แหลกละเอียดเพราะทุบอย่างนั้นแหละ แล้วถึงความตายสิ้นร้อยอัตภาพ โมคคัลลานะได้ความตายอันสมควรแก่กรรมของตนอย่างนี้ทีเดียว.
               ฝ่ายพวกเดียรถีย์ ๕๐๐ กับโจร ๕๐๐ ประทุษร้ายบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้าย ก็ได้ความตายอันสมควรเหมือนกัน. เพราะผู้ประทุษร้ายในคนผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อมถึงความพินาศเพราะเหตุ ๑๐ ประการนั่นเทียว
               เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า บุคคลใดประทุษร้ายคนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้ไม่มีอาชญาด้วยอาชญา บุคคลนั้นย่อมพลันเข้าถึงฐานะ ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ย่อมถึงเวทนาอันหยาบ ๑ ความเสื่อม ๑ ความแตกทำลายแห่งสีรระ ๑ อาพาธหนัก ๑ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑ ความขัดข้องแต่พระราชา ๑ การกล่าวตู่อย่างร้ายแรง ๑ ความสิ้นญาติ ๑ ความผุพังแห่งโภคทรัพย์ ๑ อีกอย่างหนึ่ง ไฟผู้ชำระย่อมไหม้เรือนของเขา ๑ เพราะกายแตกทำลาย คนปัญญาทรามนั้น ย่อมเข้าถึงนรก ดังนี้.

 

พระเถระทำมหาปราสาทอันประดับด้วยเสาพันต้น ซึ่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาให้สร้างไว้ในบุพพาราม ให้หวั่นไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า

               ความว่า เราทำมหาปราสาทอันประดับด้วยเสาพันต้น ซึ่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาให้สร้างไว้ในบุพพาราม ให้หวั่นไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้าของตน.
               ก็สมัยนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในปราสาทตามที่กล่าวแล้วในบุพพาราม พวกภิกษุมากหลายนั่งในปราสาทชั้นบน ไม่คำนึงถึงแม้แต่พระศาสดา เริ่มกล่าวเดรัจฉานกถา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับดังนั้น ทรงพระประสงค์จะให้พวกภิกษุเหล่านั้นสลดใจแล้ว กระทำให้เป็นภาชนะรองรับพระธรรมเทศนาของพระองค์ จึงตรัสเรียกท่านพระมหาโมคคัลลานเถระมาว่า โมคคัลลานะ เธอจงเห็นพวกภิกษุใหม่ผู้ประกอบเดรัจฉานกถา.
               พระเถระได้ฟังพระดำรัสนั้น ทราบพระอัธยาศัยของพระศาสดา จึงเข้าจตุตถฌานมีอาโปกสิณเป็นอารมณ์ มีอภิญญาเป็นบาท แล้วออกจากจตุตถฌาน อธิษฐานว่า โอกาสที่ปราสาทตั้งอยู่จงเป็นน้ำ แล้วเอานิ้วหัวแม่เท้าประหารจอมยอดปราสาท. ปราสาทได้เอนตะแคงไปข้างหนึ่ง พระเถระประหารซ้ำอีก ปราสาทได้ตะแคงไปข้างอื่น.
               ภิกษุเหล่านั้นกลัวตื่นเต้น เพราะกลัวตกปราสาท จึงออกจากปราสาทนั้นแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาทรงตรวจดูอัธยาศัยของภิกษุเหล่านั้น แล้วทรงแสดงธรรม. เพราะได้ฟังพระธรรมนั้น บรรดาภิกษุเหล่านั้น บางพวกตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล บางพวกตั้งอยู่ในสกทาคามิผล บางพวกตั้งอยู่ในอนาคามิผล บางพวกตั้งอยู่ในอรหัตผล.
               เนื้อความนี้นั้นพึงแสดงด้วยปาสาทกัมปนสูตร.

 

พระเถระทำเวชยันตปราสาทให้ไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า
               ความว่า เวชยันตปราสาทนั้นสูงพันโยชน์ ประดับด้วยป้อมและเรือนยอดหลายพันผุดขึ้น ในตอนเมื่อท้าวสักกะจอมเทพ ชนะพวกอสูรในเทวาสุรสงครามแล้วประทับอยู่ในท่ามกลางนคร ในภพดาวดึงส์ เป็นปราสาทอันได้นามว่าเวชยันต์ เพราะบังเกิดตอนที่สุดชัยชนะ.
               ท่านหมายเอาปราสาทนั้น จึงกล่าวว่า เวชยนฺตปาสาทํ ดังนี้ พระเถระทำเวชยันตปราสาทแม้นั้น ให้ไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า.
               ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในบุพพาราม ท้าวสักกเทวราชเข้าไปเฝ้าแล้วทูลถามถึงวิมุตติ คือธรรมเครื่องสิ้นตัณหา. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวิสัชนาแก่ท้าวเธอ. ท้าวเธอได้ทรงสดับดังนั้น ทรงดีพระทัยร่าเริง ทรงอภิวาทแล้วกระทำประทักษิณ เสด็จไปยังเทวโลกของพระองค์ทันที.
               ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะคิดอย่างนี้ว่า ท้าวสักกะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามปัญหาอันประกอบด้วยพระนิพพานอันลึกซึ้งเห็นปานนี้ และพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงแก้ปัญหาแล้ว ท้าวสักกะรู้แล้วจึงเสด็จไป หรือว่าไม่รู้ได้เสด็จไปแล้ว. ถ้ากระไรเราควรไปยังเทวโลกแล้วพึงรู้ความนั้น.
               ในทันใดนั้น พระเถระได้ไปยังภพดาวดึงส์ ทูลถามเนื้อความนั้นกะท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ. ท้าวสักกะเป็นผู้ประมาทมัวเมาในทิพสมบัติ จึงได้กระทำให้สับสน. เพื่อจะให้เกิดความสลดใจแก่ท้าวเธอ พระเถระจึงทำเวชยันตปราสาทให้ไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
                พระเถระผู้มั่นคงด้วยกำลังฤทธิ์ ทำเวชยันตปราสาทให้ไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า และทำเทวดาทั้งหลายให้สลดใจแล้ว ดังนี้.
               ก็เนื้อความนี้พึงแสดงด้วย จูฬตัณหาสังขยวิมุตติสูตร.
               อาการที่ไหวได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังหมดแล้ว.
               คำว่า พระเถระนั้นสอบถามท้าวสักกะ ดังนี้ ท่านกล่าวหมายเอาการที่พระเถระถามวิมุตติ คือธรรมเครื่องสิ้นตัณหา ตามที่กล่าวไว้แล้วนั่นแหละ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ ท่านทราบตัณหาขยวิมุตติบ้างไหม ดังนี้. ท้าวสักกะได้พยากรณ์แก่พระเถระนั้นแล้ว.
               คำนี้ท่านกล่าวหมายเอาว่า เมื่อพระเถระกระทำปราสาทให้ไหวแล้ว ท้าวเธอสลดพระทัย ทรงละความประมาทแล้วทรงใส่ใจโดยแยบคายแล้วจึงทรงพยากรณ์ปัญหา.
               ก็ในกาลนั้น ท้าวเธอตรัสตามทำนองที่พระศาสดาทรงเทศนาเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ท้าวเธอถูกพระเถระถามแล้วจึงพยากรณ์ปัญหาตามเป็นจริง ดังนี้.

 

พระเถระอาศัยทิศตะวันออก นั่งขัดสมาธิ เข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหม แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า.

               สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวัน อันเป็นอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี. ก็สมัยนั้นแล พรหมองค์หนึ่งเกิดทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ผู้จะพึงมาในที่นี้ ย่อมไม่มี.
               ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพรหมนั้นด้วยใจ จึงทรงอันตรธานหายจากพระเชตวัน ไปปรากฏขึ้นในพรหมโลกนั้น เหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออกไป หรือคู้แขนที่เหยียดเข้ามาฉะนั้น.
               ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ในอากาศเบื้องบนของพรหมนั้น.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้มีความคิดดังนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ. ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้านั่งขัดสมาธิ เข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์. ครั้นเห็นแล้วจึงอันตรธานหายจากพระเชตวันไปปรากฏขึ้นในพรหมโลกนั้น เหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออกไป หรือคู้แขนที่เหยียดเข้ามาฉะนั้น.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะอาศัยทิศตะวันออก นั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้มีความคิดดังนี้ว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ. ท่านพระมหากัสสปะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นได้เห็นแล้วจึงอันตรธานหายจากพระเชตวันไปปรากฏขึ้นในพรหมโลกนั้น เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ฯลฯ คู้แขนที่เหยียดเข้ามาฉะนั้น.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะอาศัยทิศใต้ นั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะได้มีความคิดดังนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ. ท่านพระมหากัปปินะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นได้เห็นแล้วจึงอันตรธานหายจากพระเชตวันไปปรากฏขึ้นในพรหมโลกนั้น เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ฯลฯ คู้แขนที่เหยียดเข้ามาฉะนั้น.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะอาศัยทิศตะวันตก นั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะได้มีความคิดดังนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ. ท่านพระอนุรุทธะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นเห็นแล้วจึงอันตรธานหายจากพระเชตวันไปปรากฏขึ้นในพรหมโลกนั้น เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ฯลฯ คู้แขนที่เหยียดเข้ามาฉะนั้น.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะอาศัยทิศเหนือ นั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า.
                ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะพรหมนั้น ด้วยคาถาว่า ผู้มีอายุ แม้ทุกวันนี้ ท่านก็ยังมีทิฏฐิที่ได้มีมาแล้วในกาลก่อน ท่านย่อมเห็นรัศมีมีสีเลื่อมพรายแผ่ไปในพรหมโลก.
                  (พรหมกล่าวว่า) ท่านผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าไม่มีทิฏฐิที่ข้าพเจ้าได้เคยมีมาแล้วในกาลก่อน ข้าพเจ้าเห็นรัศมีสีเลื่อมพรายอันแผ่ไปในพรหมโลก. วันนี้ข้าพเจ้านั้น ขอกล่าวถ้อยคำว่า เป็นผู้เที่ยงยั่งยืน ดังนี้.
               ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงทำพรหมนั้นให้สลดใจแล้ว ทรงอันตรธานหายจากพรหมโลกนั้น ไปปรากฏในพระเชตวัน เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น.
               ครั้งนั้นแล พรหมนั้นเรียกพรหมปาริสัชชะองค์หนึ่งมาว่า นี่แน่ะท่านผู้เช่นกับเรา ท่านจงมา ท่านจงเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะจนถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้ว จงกล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระมหาโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ หมู่สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น แม้เหล่าอื่นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เหมือนพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระกัสสปะ ท่านพระกัปปินะ และท่านพระอนุรุทธะ ยังมีอยู่หรือ.
               พรหมปาริสัชชะนั้นรับคำพรหมนั้นว่า ได้ ท่านผู้นิรทุกข์. แล้วเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะจนถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วจึงกล่าวคำนี้กะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ข้าแต่พระมหาโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เหล่าสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น แม้เหล่าอื่นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เหมือนท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระกัสสปะ ท่านพระกัปปินะ และท่านพระอนุรุทธะยังมีอยู่หรือ.
               ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะพรหมปาริสัชชะนั้นด้วยคาถาว่า เหล่าสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพมีวิชชา ๓ บรรลุอิทธิฤทธิ์ ฉลาดในการกำหนดจิตของผู้อื่นมีมากหลาย ดังนี้.
               ลำดับนั้นแล พรหมปาริสัชชะนั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาภาษิตของท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วเข้าไปหาพรหมนั้นจนถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วกล่าวคำนั้นว่า ท่านผู้นิรทุกข์ พระมหาโมคคัลลานะผู้มีอายุกล่าวอย่างนี้ว่า เหล่าสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพมีวิชชา ๓ บรรลุอิทธิฤทธิ์ ฉลาดในการกำหนดจิตของผู้อื่นมีมากหลาย ดังนี้.
               พรหมปาริสัชชะนั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว และพรหมนั้นดีใจ เพลิดเพลินภาษิตของพรหมปาริสัชชะนั้น ฉะนี้แล.

 

 พระเถระพึงแสดงด้วยการทรมานนันโทปนันทนาคราช.
               ได้ยินว่า สมัยนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดีได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลนิมนต์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อพระองค์จงรับภิกษาหารในเรือนของข้าพระองค์ พร้อมกับภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ ในวันพรุ่งนี้ ดังนี้ แล้วหลีกไป.
               ก็ในวันนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูหมื่นโลกธาตุในเวลาใกล้รุ่ง นาคราชชื่อว่านันโทปนันทะมาสู่คลองในมุขแห่งพระญาณ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรำพึงว่า นาคราชนี้มาสู่คลองในมุขแห่งญาณของเรา จักมีอะไรหนอ ก็ได้ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งสรณคมน์ จึงทรงรำพึงว่า นาคราชนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ใครหนอจะพึงปลดเปลื้องนาคราชนี้จากมิจฉาทิฏฐิ ดังนี้ ก็ได้ทรงเห็นพระมหาโมคคัลลานะ.
               ลำดับนั้น เมื่อราตรีสว่างแล้ว พระองค์ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระแล้ว ตรัสเรียกพระอานนท์ผู้มีอายุมาว่า อานนท์ เธอจงบอกภิกษุทั้ง ๕๐๐ ว่า พระตถาคตจะเสด็จจาริกไปในเทวโลก.
               ก็วันนั้น พวกนาคจัดแจงพื้นที่สำหรับดื่มของนันโทปนันทนาคราช. นาคราชนั้น เขาเอาเศวตฉัตรทิพย์กางบนรัตนบัลลังก์ทิพย์ อันนาคนักฟ้อน ๓ ประเภทและนาคบริษัทห้อมล้อม กำลังนั่งคอยข้าวและน้ำที่เขาจะให้เอาเข้าไปตั้งในภาชนะทิพย์ทั้งหลาย.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำโดยประการที่นาคราชจะแลเห็น จึงเสด็จมุ่งพระพักตร์ไปยังดาวดึงส์เทวโลก ทางเหนือวิมานทองนาคราชนั้นนั่นแหละ พร้อมกับภิกษุ ๕๐๐.
               ก็สมัยนั้น นันโทปนันทนาคราชเกิดทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้ว่า ก็พวกสมณะโล้นชื่อเหล่านี้เข้าไปยังภพของเทวดาชั้นดาวดึงส์ก็ดี ทางเบื้องบนภพของเรา บัดนี้ ตั้งแต่นี้ไป เราจักไม่ให้พวกสมณะโล้นเหล่านี้โปรยละอองเท้าบนกระหม่อมของเราทั้งหลายไป. จึงลุกขึ้นไปยังเชิงภูเขาสิเนรุ ละอัตภาพนั้น เอาขนดวงภูเขาสิเนรุ ๗ รอบ แผ่พังพานไว้เบื้องบนแล้วเอาพังพานคว่ำลงยึดภพดาวดึงส์ไว้ ให้ถึงการแลไม่เห็น.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระรัฏฐปาละได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อน ข้าพระองค์ยืนที่ประเทศนี้แลเห็นภูเขาสิเนรุ แลเห็นภูเขาล้อมเขาสิเนรุ เห็นภพดาวดึงส์ เห็นเวชยันตปราสาท เห็นธงในเบื้องบนเวชยันตปราสาท. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยแห่งการที่ข้าพระองค์ไม่เห็นเขาสิเนรุ ฯลฯ ไม่เห็นธงในเบื้องบนเวชยันตปราสาท ในบัดนี้.
               พระศาสดาตรัสว่า รัฏฐปาละ นาคราชชื่อนันโทปนันทะนี้โกรธพวกเธอ จึงเอาขนดวงภูเขาสิเนรุ ๗ รอบ ให้ปิดเบื้องบนด้วยพังพาน กระทำให้มืด.
               พระรัฏฐปาละกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอทรมานนาคราชนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตพระรัฏฐปาละนั้น.
               ครั้งนั้นแล ภิกษุแม้ทั้งปวง คือท่านพระภัททิยะ ท่านพระราหุล ต่างลุกขึ้นโดยลำดับ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต.
               ในที่สุดพระมหาโมคคัลลานเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอทรมานนาคราชนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตว่า โมคคัลลานะ เธอจงทรมาน.
               พระเถระละอัตภาพนั้น แล้วนิรมิตเพศนาคราชใหญ่ แล้วเอาขนดวงนันโทปนันทนาคราช วางพังพานของตนเหนือพังพานของนาคราชนั้น แล้วกดเข้าไปกับภูเขาสิเนรุ. นาคราชบังหวนควัน. ฝ่ายพระเถระก็กล่าวว่า ไม่ใช่จะมีควันในสรีระของท่านเท่านั้น แม้ของเราก็มี จึงบังหวนควัน. ควันของนาคราชไม่เบียดเบียนพระเถระ แต่ควันของพระเถระเบียดเบียนนาคราช.
               ลำดับนั้น นาคราชจึงโพลงเป็นไฟ. ฝ่ายพระเถระก็กล่าวว่า ไม่ไช่จะมีไฟในสรีระของท่านเท่านั้น แม้ของเราก็มี แล้วโพลงไฟ. ไฟของนาคราชไม่เบียดเบียนพระเถระ แต่ไฟของพระเถระเบียดเบียนนาคราช.
               นาคราชคิดว่า สมณะนี้กดเรากับภูเขาสิเนรุ บังหวนควันและโพลงไฟ จึงสอบถามว่า ผู้เจริญ ท่านเป็นใคร? พระเถระตอบว่า นันทะ เราแลเป็นโมคคัลลานะ. นาคราชกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านจงดำรงอยู่โดยภิกขุภาวะแห่งตนเถิด.
               พระเถระจึงละอัตภาพนั้นแล้ว เข้าไปทางช่องหูขวาของนาคราชนั้นแล้วออกทางช่องหูซ้าย เข้าทางช่องหูซ้ายแล้วออกทางช่องหูขวา. อนึ่งเข้าทางช่องจมูกขวา แล้วออกทางช่องจมูกซ้าย เข้าทางช่องจมูกซ้ายแล้วออกทางช่องจมูกขวา.
               ลำดับนั้น นาคราชอ้าปากพระเถระจึงเข้าทางปากแล้วเดินจงกรมอยู่ในท้อง ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โมคคัลลานะ เธอจงมนสิการ นาคมีฤทธิ์.
               พระเถระกราบทูลคำมีอาทิว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อิทธิบาท ๔ ข้าพระองค์แลเจริญกระทำให้มาก กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นดังวัตถุที่ตั้ง ปฏิบัติแล้ว สะสมแล้ว เริ่มดีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นันโทปนันทนาคราชจงยกไว้ นาคราชเช่นกับนันโทปนันทะ ๑๐๐ ก็ดี ๑,๐๐๐ ก็ดี ข้าพระองค์พึงทรมานได้.
               นาคราชคิดว่า เบื้องต้นเมื่อเข้ามา เราไม่เห็น ทีนี้ในเวลาออก เราจะใส่พระสมณะนั้นในระหว่างเขี้ยวแล้วจักเคี้ยวกินเสีย ครั้นคิดแล้วจึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงออกมาเถิด อย่าเดินจงกรมไปๆ มาๆ ภายในท้อง เบียดเบียนข้าพเจ้าเลย.
               พระเถระได้ออกมายืนอยู่ข้างนอก.
               นาคราชเห็นว่า องค์นี้คือเขาล่ะ จึงพ่นลมทางจมูก.
               พระเถระเข้าจตุตถฌาน แม้ขุมขนของพระเถระนั้น ลมก็ไม่อาจทำให้สั่นได้.
               ได้ยินว่า ภิกษุทั้งหลายที่เหลืออาจทำปาฏิหาริย์ทั้งปวงได้ จำเดิมแต่ต้น แต่ถึงฐานะนี้แล้ว จักไม่อาจเพื่อเป็นผู้ใส่ใจสังเกตุได้รวดเร็วอย่างนี้แล้วเข้าฌาน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ทรงอนุญาตการทรมานนาคราชแก่ภิกษุเหล่านั้น.
               นาคราชคิดว่า เราไม่ได้อาจเพื่อจะทำแม้แต่ขุมขนของสมณะนี้ให้เคลื่อนไหวด้วยลมจมูก สมณะนั้นมีฤทธิ์มาก.
               พระเถระเปลี่ยนอัตภาพนั้นแล้วนิรมิตรูปสุบรรณ เมื่อจะแสดงลมของสุบรรณ จึงติดตามนาคราช.
               นาคราชเปลี่ยนอัตภาพนั้นแล้วนิรมิตเพศเป็นมาณพน้อยกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถึงท่านเป็นสรณะ ดังนี้แล้วไหว้เท้าทั้งสองของพระเถระ.
               พระเถระกล่าวว่า นันทะ พระศาสดาของเราเสด็จมาด้วย ท่านจงมา เราไปกัน แล้วทรมานนาคราชกระทำให้หมดพยศ แล้วได้พาไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               นาคราชถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์เป็นสรณะ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นาคราช เธอจงเป็นสุขเถิด อันภิกษุสงฆ์แวดล้อม ได้เสด็จไปยังนิเวศน์ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี.
               ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุไร พระองค์จึงเสด็จมาสาย พระเจ้าข้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เพราะได้มีสงครามของโมคคัลลานะกับนันโทปนันทนาคราช. ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลถามว่า ก็ใครชนะ ใครปราชัย พระเจ้าข้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โมคคัลลานะชนะ นันทะปราชัย.
               อนาถบิณฑิกเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงรับภัตตาหารโดยลำดับเดียวตลอด ๗ วัน ข้าพระองค์จักกระทำสักการะแก่พระเถระตลอด ๗ วัน ดังนี้แล้วให้กระทำสักการะใหญ่แก่ภิกษุ ๕๐๐ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พึงแสดงเนื้อความนี้ด้วยการทรมานนันโทปนันทนาคราชดังนี้.
               

               จบพรรณนามหาโมคคัลลานเถราปทาน               
               -----------------------------------------------------  

 

คำสำคัญ (Tags): #พระโมคคัลลานะ
หมายเลขบันทึก: 712748เขียนเมื่อ 12 พฤษภาคม 2023 09:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม 2023 09:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท