1. การเงียบ โดยเฉพาะหลังบอกการวินิจฉัย ยังไม่ควรรีบพูดต่อลงไปในรายละเอียดเลย หากแต่ควรนิ่งเงียบ การเงียบของผู้ป่วยเป็นมาจากเขากำลังรับรู้หรือเกิดความรู้สึกต่างๆ ต่อสิ่งที่เราบอก เมื่อผู้ป่วยนิ่งเงียบไป สิ่งที่ควรทำคือ แสดงความเข้าใจ เปิดโอกาสให้เขาซึมซับสิ่งที่เราแจ้ง หากผู้ป่วยเงียบนานอาจเปิดการสนทนาต่อโดยแสดงความเข้าใจว่า "ดูคุณเงียบไป หมอสังเกตว่าสิ่งที่หมอบอกมีผลต่อคุณมาก"
2. ท่าทีรับฟัง มีท่าทีส่งเสริมให้ผู้ป่วยพูด โดยในขณะที่ผู้ป่วยสนทนาอยู่เราจะแสดงออกถึงความสนใจ สบตา ตั้งใจฟัง พยักหน้าว่าเรากำลังรับฟังและเข้าใจเรื่องที่เขาเล่าอยู่
3. คำถามเปิด คำถามเปิดเป็นคำถามที่ผู้ป่วยมีอิสระในการเลือกสิ่งที่จะตอบ ความมากน้อยของข้อมูลที่จะตอบ โดยผู้ป่วยจะส่วนร่วมในการสนทนา ในขณะเดียวกันเราก็ได้ทราบถึงความคิดเห็นของผู้ป่วย หรือเจตคติของเขาด้วยนอกเหนือจากรายละเอียดของเรื่องที่เขาเล่า ต่างจากคำถามปิดที่เป็นการถามเฉพาะเจาะจงไปในบางเรื่อง ซึ่งจะได้คำตอบที่สั้น
ตัวอย่าง
คำถามปิด: "ตอนคุณบอกเขาว่าคุณป่วยเป็นอะไร สามีคุณเสียใจมากไหม?"
"ช่วงที่มีอาการครั้งก่อน คุณได้ไปหาหมอไหม?"
คำถามเปิด: "ตอนคุณบอกเขาว่าคุณป่วยเป็นอะไร สามีคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?"
"ช่วงที่มีอาการครั้งก่อน คุณทำยังไงบ้าง?"
4. พูดทวนความ พูดซ้ำคำหรือบางวลีที่ผู้ป่วยพูด แต่เน้นเสียง หรือทอดเสียงในลักษณะของความสงสัย หรือความต้องการให้ผู้ป่วยเล่าต่อ
ตัวอย่าง
ผู้ป่วย : "เรื่องแบบนี้บางครั้งเราก็ไม่อยากเล่าให้ใครฟังเหมือนกัน"
ผู้ตรวจ : "ไม่อยากเล่าให้ใครฟัง?"
ผู้ป่วย : "ดิฉันรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่น่าอยู่เสียเลย คงเหมือนกับที่พี่สาวดิฉันเคยคิดนั่นแหละ"
ผู้ตรวจ : "ชีวิตนี้ไม่น่าอยู่?"
5. สรุปความ พูดซ้ำเรื่องของผู้ป่วยแต่สรุปให้สั้นลงและคงความหมายสำคัญตามเดิมอยู่ โดยเน้นในเนื้อหาของสิ่งที่ผู้ป่วยเล่า ทั้งนี้เพื่อแสดงว่าเรายังรับฟังเขาอยู่ สนใจในสิ่งที่เขาพูด หรือเพื่อเน้นในบางเรื่องที่สำคัญ
ตัวอย่าง
ผู้ป่วย : " ปีนี้เศรษฐกิจที่บ้านไม่ดีเลย ลูกหนี้ก็ทวงหนี้ไม่ค่อยได้ เลยยิ่งกลุ้มใจมากขึ้นไปอีก นี่มาป่วยเป็นอย่างนี้อีกดิฉันจะทำยังไงดี"
ผู้ตรวจ : "คุณกังวลกับการเจ็บป่วย ส่วนหนึ่งเพราะปีนี้การเงินดูแย่"
6. เน้นเรื่องให้เห็นชัด กล่าวในสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการสื่อ โดยทำให้ชัดเจนขึ้น ไม่เปลี่ยนเนื้อหาของสิ่งที่ผู้ป่วยสื่อ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าเราเข้าใจเขา นอกจากนี้ยังเกิดความแจ่มชัดในเรื่องที่สนทนาและต้องการพูดขยายความเห็นหรือรายละเอียดเพิ่มเติม
ตัวอย่าง
ผู้ป่วย: "พอลงจากรถแล้วมาเจอเรื่องแบบนี้ ผมเลยมึนตื้อไปหมด มือไม้สั่น คิดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกเลย"
ผู้ตรวจ : "คุณหมายความว่าเหตุการณ์นี้ทำให้คุณสับสนมากจนทำอะไรไม่ถูก ?"
สวัสดีค่ะ..อ.หมอมาโนช..
เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ [จริงๆ นะครับ ไม่ใช่คำพูดที่ใช้ทุกครั้งเวลามีคนถาม :-)] ไม่มีสูตรสำเร็จครับ แนวทางคร่าวๆ คือ เราจะลองเงียบก่อน ถ้าเงียบแล้วสักพักเขายังไม่พูด ก็จะเริ่มการสนทนา อาจโดยการทวนประโยค หรือสิ่งที่เขาพูดครั้งสุดท้าย หรือสิ่งที่เขาพูดมาแล้วและเราคิดว่าสำคัญ
การสรุปความจะใช้ในกรณีที่เขาพูดเรื่องยาวและเราต้องการเน้นให้เขาเห็นประเด็น หรือเราไม่แน่ใจก็อาจสรุปความ ถ้าเขาเห็นว่าไม่ถูกก็แก้ให้เรา หรืออาจเป็นการสรุปความก่อนที่เราจะ shift การสนทนาไปเรื่องอื่น
กาเน้นเรื่องเรามักทำในกรณีที่ดูเขาสับสน พูดจาวกวน การเน้นจะทำให้เขาเห็นชัดขึ้น
ปกติแล้วในการฝึกระยะแรกจะฝืนๆ หน่อย อาจรู้สึกเหมือนเราไม่จริงใจ แต่พอทำสักพักก็จะคล่องไปเอง เร่มฝึกไปทีละ 1-2 ทักษะครับ พอคล่องแล้วที่นี้เขาก็ออกมาเองโดยอัตนโนมัติ เหมือนกับตอนหัดถีบจักรยานน่ะครับ ใหม่ๆ ก็ถีบไม่คอยคล่องจะฝืนๆ หน่อย แต่สักพักพอถีบคล่องก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ แบบว่าใครจอดจักรยานผิดที่ผิดทางเราถีบได้ทีหนึ่งเป็น 6-7 คันเลยล่ะครับ (ฮา)
คุณไม่โต.. เอ๊ย ไมโต ครับ (อย่าเคืองนะครับโตไม่โตเนี่ยผมสับสนหมดแล้ว หุหุ) ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งอีกแล้วครับ และอย่างที่อาจารย์สมบูรณ์ท่านพูด สถานที่สำคัญมาก ควรมีความเป็นส่วนตัวพอสมควร บ้านเราทำเรื่องนี้ได้ไม่ค่อยเต็มที่เพราะปัญหาหลักคือ คนไข้เยอะมั่กๆๆๆๆๆๆ ครับ
เอยะจนหมอหมดแรง และครั้นจะเตรียมตัวเตรียมใจให้คนขไ้และญาติดีๆ คนไข้คนอื่นก็รออีกเป็นกระตั๊กๆๆ หน้าที่หลักเลยตกอยู่กับญาติซะเป็นส่วนใหญ่ และญาติก็ไม่อยากให้คนไข้รู้อีก
พูดถึงเรื่องนี้มีเรื่องเล่าเยอะครับ
จบ (อ้าว)
ขอบคุณมากค่ะ บันทึกน่าอ่านมากๆ
ชอบบันทึกเหล่านี้เพราะว่าสามารถนำไปปรับใช้ได้
บ่อยครั้งเวลาตามราวน์แพทย์ พอแพทย์ออกจากห้องไปแล้ว คนไข้หรือญาติมักหันมาถามรายละเอียดกับพยาบาล ทั้งๆที่ตอนอยู่ต่อหน้าหมอพยักหน้าเหมือนเข้าใจ
จะว่าไปไม่ใช่หมออธิบายไม่เข้าใจนะคะ แต่คิดว่า คงเป็นเพราะ พอประโยคแรกเขาฟังแล้วอึ้ง หรืองง ประโยคถัดไป เขาก็จะไม่รับรู้ ไม่เข้าใจ เหมือนกับโดนบล็อกไปเลย คิดว่าคงจะอย่างนั้น ^__^
คือมีรุ่นพี่เค้าบอกว่าการเป็นนักจิตวิทยามันเป็นดาป2คม
เพราะมันทำให้เรารู้มากจนเกินไป
จริงรึเปล่าค่ะ
ช่วยตอบด้วยนะคะ