วันก่อน (4 มค.) ผมไร่วมเป็นคุณอำนวย ในการเปิดโครงการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ ที่ปูนซิเมนต์ไทยท่าหลวง ซึ่งบริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทยอีกบริษัทหนึ่ง ที่จัดโครงการ C-Cement ในวันนี้มีพนักงานมาเป้นผู้เรียน จำนวน 21 คน และจะใช้ระยะเวลาในการเรียน 6 สัปดาห์เหมือนกับที่ปูนแก่งคอย
ในการเปิดวันแรก ผมสังเกตเห็นผู้เรียนแต่ละคนเก็งๆ นั่งกันเงียบๆ แบบขอฟังอย่างเดียว บางคนก็เดินเข้าห้อง เดินออกห้อง พี่ๆทีมคุณอำนวยก็พยายามเปิดประเด็น ตั้งเป็นคำถาม เล่นเกม ชวนคุย เพื่อให้ตอบกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเงียบ ผมนั่งอยู่หลังห้องเริ่มคิดแล้วว่า เอ ทำไมหว่า ทำไมถึงเงียบกันจัง เล่นเกมก็เล่นกันแบบผ่าน สงสัยไม่ถูกจริต ว่าแล้วจึงคิดว่าถ้าถึงคิวเราต้องเปลี่ยนวิธีการ แผนที่เตรียมมาสงสัยต้องเก็บไว้ก่อนและจะต้องเปลี่ยนกระบวนท่าซะแล้ว แล้วเราจะเปลี่ยนยังไงเพื่อที่จะให้ผู้เรียนลดความตึงเครียดและก่อให้เกิดบรรยากาศที่ครึกครื้นขึ้น..หลังจากที่มีการแนะนำโครงการเสร็จ ถึงคิวของผมจึงลุกขึ้นไปและตั้งใจเปลี่ยนกระบวนท่า...พับแผนที่เตรียมมาใส่กระเป๋าไว้ก่อน....
กระบวนท่าที่ 1 : เปลี่ยนรูปแบบการนั่ง จากที่นั่งกับพื้น สะเปะสะปะ ซ้อนๆกันอยู่ มานั่งเป็นวงรีเพื่อให้เห็นหน้ากันทุกคน รวมทั้งทีมคุณอำนวยก็นั่งด้วยกันทั้งหมด
กระบวนท่าที่ 2 : ปลุกให้ตื่น ผมมองหากลุ่ม ผู้เรียนว่าคนไหนที่ผมคุ้นเคยมากที่สุด เพื่อที่จะยืมมาเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนกัน พูดคุยกันมากขึ้น ผมเลือกผู้เรียนที่เป็นคนที่กล้าคุยกล้าแสดงออก แล้วเริ่มแหย่รังแตนโดยการแซว ครับ แซว จี้จุดเพื่อให้เกิดการหัวเราะ เมื่อโดนมุขแรกออกไป มีการตอบรับมาดี ผมอัดมุขลูกที่ สองต่อ ได้ผลครับ ในห้องมีเสียงหัวเริ่มมีสียงหัวเราะมากขึ้น
กระบวนท่าที่ 3: ชวนคุย เมื่อบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายเข้าทางผมแล้ว ผมก็เริ่มรุกหนักขึ้นครับ เปลี่ยนยทธวิธีไปหาคนที่ไม่คุ้นเคยบาง ถาม ถาม ถาม เพื่อให้เขาตอบ แล้วต่อจากนั้นผมก็ทำหน้าที่เป็นพนักงานเดินไมค์ เดินรอบวงเลยครับ ยื่นไมค์ให้คนนั้น คนนี้ แจกคำถามไปเรื่อย ซึ่งเป็นคำถามง่ายๆครับ ชื่ออะไร ทำงานอยู่หน่วยงานไหน มีครอบครัว (แต่งงาน) หรือยัง เมื่อเห็นว่าทุกคนได้พูดและมีแนวร่วมกับเราแล้ว ผมก็เริ่มกระบวท่าต่อไป
กระบวนท่าที่ 4 : เล่นเกมทะลายกำแพง เนื่องจากผู้เรียนเป็นพนักงานหลายระดับบวงคนก็เป็นระดับบังคับบัญชา บางคนก็เป็นลูกน้อง แต่โครงการนี้ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีหัวหน้าไม่มีลูกน้อง จึงต้องหาเกมมาเล่นเพื่อทลายกำแพงใจ หรือ กระชากหมวกออกก่อน ลักษณะของเกมในช่วงนี้ผมใช้เกมที่ต้องพูดคุยกันมากๆ หรือเกมที่ต้องมีการชาวยเหลือกันมากๆโดยสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนที่เป็นผู้บังคับบัญชา ต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้เรียนที่เป็นระดับลูกน้อง เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มเข้ากันได้ดี มีความสนุกสนานแล้ว ผมจึงเริ่มกลับเข้ามาสู่กระบวนที่เตรียมไว้ตั้งแต่ต้น เริ่มเข้าสู่เนื้อหาสาระ แต่รูปแบบก็ยังเป็นแบบ โยนคำถามชวนคิด และ แบ่งกลุ่มร่วมกันคิด ซึ่งบรรยากาศก็เป็นไปด้วยดี.
..จากเหตุการณ์วันนั้นสอนให้ผมรู้ว่า บางครั้งการเป็นคุณอำนวยจะต้องรู้จักปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะกับสถานการณ์ อย่าดันทุรังทำตามแผน ซึ่งอาจทำให้ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีจากผู้เรียน "ซึ่งหากดันทุรังไปก็เป็นการยัดเยียดให้กับผู้เรียน ไม่ต่างไปจาก "การเทน้ำใส่โอ่งที่ปิดฝาไว้เลย สุดท้ายน้ำก็หกออกนอกโอ่งหมด" จึงจำต้องสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการเรียนรู้ก่อน ทะลายกำแพงใจ เปิดประตูใจ ให้พร้อมรับกับการเรียนรู้ก่อน สร้างความเป็นหนึ่งเดียวก่อน ฉะนั้นคุณอำนวย ต้องเตรียมฝึกกระบวนท่าไว้เยอะๆครับ...แล้วพยายามนำกระบวนท่าที่ถูจริตของผู้เรียนมาใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์.. สำหรับวันนั้นผมโล่งอกไปอีกครั้งหนึ่งครับ..
ขอบคุณ..คุณนิดหน่อยมากครับ..
ในความคิดของผมการเป็นคุณอำนวยขึ้นอยู่กับ ความถนัดของแต่ละบุคคลนะครับ อย่างที่องค์กรของผมก็มีคุณอำนวยที่หลากหลายสไตล์ ครับ (เราทำเป็นทีม) ซึ่งแต่ละคนก็มีบุคคลิก ที่แตกต่างกัน แต่เราต้องรู้จักใช้ความต่างนั้นให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่น ช่วงไหนที่ต้องการความสนุกสนานก็ให้คุณอำนวยที่มีความถนัดด้านนั้นดำเนินการ แต่ถ้าช่วงไหนต้องการใช้ความน่าเชื่อถือ เป็นทางการ ก็อาจให้คนที่เคร่งขรึม ทำหน้าที่เป็นต้น ฉะนั้นคุณอำนวยจึงต้องมีหลากหลายสไตล์ เล่นได้หลายบท บางที่ก็เล่นเป็นผู้พูด บางทีก็เล่นเป็นผู้ฟัง แล้วแต่สถานการณ์ครับ..
สำหรับผมแล้วคงใช้พรแสวงครับ เสาะแสวงหารูปแบบที่ตนเองถนัด แล้วก็ลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ ครับ
เป็นบันทึกประสบการณ์ที่ดีมากเลยครับ สำหรับคนที่เป็นคุณอำนวย องค์ประกอบในวงแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลาจริง ๆ ครับ บางครั้งแผนที่วางไว้แทบเอามาใช้ไม่ได้เลย หลายท่านเอาประสบการณ์นี้ไปปรับใช้ได้ครับ
ขอบคุณมากครับ...ทั้งคุณชาญวิทย์ และ นพ.สมบูรณ์ ที่ให้กำลังใจ และชื่นชม ครับผม