วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๕ ผมเข้าร่วม “ประชุมกลุ่มย่อยและประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อการสร้างและพัฒนาเครือข่ายนักวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) ภายใต้โครงการวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคม และการพัฒนาเครือข่ายนักวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา”
เป็นการประชุมแบบผสม มีทั้งในสถานที่และออนไลน์ ด้วยความจำเป็นของครอบครัว ผมต้องขอเปลี่ยนเป็นเข้าประชุมออนไลน์
ผมอยากเข้าไปเรียนรู้ว่า (๑) เขานิยาม “นักวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” ว่าอย่างไร (๒) เขาตีความคำว่า “เครือข่ายนักวิจัย” ว่าอย่างไร (๓) โจทย์การวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา มีด้านใดบ้าง (๔) มีมุมมองต่อการวิจัยเชิงระบบอย่างไร (๕) นักวิจัยด้านการศึกษามีมุมมองต่อโจทย์วิจัยอย่างไร อยากทำวิจัยเรื่องอะไร
เมื่อเข้าร่วมกิจกรรมผ่านทางออนไลน์ และร่วมกิจกรรมอยู่จนเกือบถึงเที่ยง พอได้แนวความคิดว่า ผู้เข้าร่วมประชุมมีแนวคิดในลักษณะใด ผมก็ละออกจากการประชุม มาทำงานอื่น ตั้งใจว่าจะเข้าไปฟังสรุปผลการประชุมตอน ๑๖ น. ซึ่งผมก็กลับเข้าไปก่อน ๑๖ น. เล็กน้อย พบว่าการประชุมจบก่อนเวลา ซึ่งก็ไม่แปลกใจ เพราะตอนก่อนเที่ยงผมก็รู้สึกว่าได้ข้อสรุปที่ต้องการแล้ว
ทีมงานจัดการประชุมเขาต้องการข้อเสนอต่อ วสศ./กสศ. ซึ่งก่อนเที่ยงก็ได้ข้อสรุป ๖ ข้อ คือ
จะเห็นว่า เป็นข้อเสนอแนะที่ดีมาก แต่เมื่อผมใคร่ครวญสะท้อนคิดแล้ว ก็มีความเห็นว่า ยังไม่เพียงพอต่อการทำงานสร้างสรรค์ EQEL (Equity, Quality, Efficiency, Learning) ของระบบการศึกษาผ่านการทำงานของ วสศ./กสศ. ยังขาดมุมมอง และแนวทางของ นักบริหาร/จัดการ งานวิจัย
ประสบการณ์การทำหน้าที่ ผอ. สกว. ๘ ปี สอนผมว่า ผู้บริหารงานวิจัย ต้องมีวิธีคิดและวิธีทำงานเชิงกลยุทธ ที่เลยจาก mindset ของนักวิจัย เพื่อเชื่อมโยงนักวิจัยกับความต้องการของสังคมหรือบ้านเมือง ที่อาจเรียกว่า จัดการ relevance ของประชาคมวิจัย ไม่ให้เป็นระบบวิจัยที่ลอย หรือแยกส่วนจากสภาพความเป็นจริงในบ้านเมือง
เครือข่ายนักวิจัยด้านการศึกษา เป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่ายิ่ง แต่ไม่พอสำหรับการบรรลุ EQEL ของระบบการศึกษา ต้องการกระบวนการจัดการความสัมพันธ์ของเครือข่ายนั้น สู่ความต้องการของบ้านเมือง โดยใช้พลังของนักจัดการงานวิจัย
พลังของนักวิจัยมีค่ายิ่ง แต่ไม่เพียงพอ ต้องการพลังของนักจัดการงานวิจัยด้วย
วิจารณ์ พานิช
๒๙ ต.ค. ๖๕
I Think this “…ผู้บริหารงานวิจัย ต้องมีวิธีคิดและวิธีทำงานเชิงกลยุทธ ที่เลยจาก mindset ของนักวิจัย เพื่อเชื่อมโยงนักวิจัยกับความต้องการของสังคมหรือบ้านเมือง ที่อาจเรียกว่า จัดการ relevance ของประชาคมวิจัย ไม่ให้เป็นระบบวิจัยที่ลอย หรือแยกส่วนจากสภาพความเป็นจริงในบ้านเมือง …” means a (one voice) [re]minder organization/collaboration is very much in need.
How do religions maintain beliefs and practices if not with strong relations with the societies?