เมื่อวาน (๓๐ ธ.ค.๖๕) เลือกเดินทางไป "วัดหลวงขุนวิน" อ.แม่วาง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไป ๒ อำเภอ ๔๕ กิโลเมตร แบ่งเป็นเส้นทางพื้นราบ ๒๕ กิโลเมตร เป็นพื้นที่เขาอีก ๒๐ กิโลเมตร โดยเฉพาะ ๕ กิโลเมตรสุดท้าย เป็นเส้นทางหฤโหด จากหมู่บ้านห้วยหยวก ต.ขุนวิน อ.แม่วาง ถนนเป็นถนนดินภูเขา สลับกับคอนกรีตที่ไม่เหลือหน้าถนน ชันประมาณ ๖๐ องศาได้ ถ้ารถไม่ดี หรือ ไม่ชำนาญ เอารถไปจอดที่โรงเรียนบ้านห้วยหยวก แล้วเหมารถชาวบ้านขึ้นไป คุ้มกว่า
เส้นทางกระเด็นกระดอน มีร่องน้ำเป็นระยะ วันนี้เอารถเครื่องขึ้นไป เครื่องมีกำลัง ๑๒๕ ซีซี มีอยู่หลายช่วงที่ถึงแม้จะใช้เกียร์หนึ่งแล้ว ต้องเอาขาช่วยขยับรถไปข้างหน้า ถ้ารถไม่มีแรงส่ง เช่น เจอรถข้างหน้าผู้ไม่ชำนาญทาง เขาเป็นรถยนต์จะชะลอในทางที่ควรเร่ง เราตามหลัง หยุดรถก็ไม่ได้ ต้องเร่งอย่างเดียว ไม่งั้นรถจะไหลลงทางที่ขึ้นมา
แล้วในที่สุด ก็เจอเหตุการณ์นั้นจริง ๆ เอารถเข้าไหล่ทาง เพื่อให้ด้านหน้าเขาหลบกันให้เสร็จก่อน แต่มันไม่ใช่พื้นราบ ตอนเอารถจะลงแล้ววกใหม่ ก็ล้ม กระจกด้านขวาจมดินทรายไปเลย ได้แผลที่ข้างซ้ายมานิดหน่อย เป็นรอยกระแทก เอ็นมือซ้ายก็โหลดน้ำหนักไม่ไหว เจ็บนิด ๆ เรียกว่า กว่าจะเอารถขึ้นมาตั้งได้ ก็ทุลักทุเลอยู่กลางป่าบนภูเขา แต่ก็ตั้งใจแล้วว่า จะไปให้ถึงวัด จึงคิดว่า เป็นบททดสอบชีวิตก็แล้วกัน เพราะขนของถวายสังฆทานมาด้วย ตั้งใจจะถวายสังฆทานกับวัดในป่าแบบนี้ ซึ่ง ๕ กิโลเมตรบนภูเขา เหมือน ๑๐ กิโลเมตรบนพื้นราบ ลากเกียร์ต่ำมาตลอดจนถึงทางเลี้ยวเข้าวัด
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่สามารถเดินทางมาถึงได้ด้วยรถเครื่อง คิดเลยว่า ถ้าจะชวนใครสักคนซ้อนมาด้วย ก็ไม่ควรให้เขามาลำบากด้วย เพราะรถแรงไม่พอที่จะตะกายขึ้นภูเขาแบบนี้ ถนนพัง ๆ แบบนี้
ถึงวัดก็ ๔ โมงเย็นไปแล้ว ตั้งใจเดินเก็บภาพให้ได้มากที่สุดก่อน ไหว้พระ สังเกตสังกาบริเวณรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยความศรัทธาที่สามารถสร้างโบสถ์ไม้สัก พระประธานไม้สักได้
แว่วเสียงคนมาเที่ยวว่า วัดหลวงขุนวิน มีเนื้อที่ ๒๐๐ ไร่ ถูกใช้ไปแค่ ๑๐๐ ไร่ แค่นี้ก็สุดยอดมากแล้ว หมู่บ้านรอบ ๆ วัดเป็นหมู่บ้านปกากญอ มีบ้านห้วยหยวก (ปากทางขึ้นมา) บ้านขุนวิน (ห่างจากวัด ๕ กิโลเมตร) บ้านท่าธาร อยู่ไกลจากวัด ๗ - ๘ กิโลเมตร วัดอยู่กลางป่าแบบจริง ๆ จัง ๆ อากาศหนาวเย็นตลอดปี มีที่ปฏิบัติธรรมของฆราวาส
เดินดูสัก ๑ ชั่วโมง เจ้าอาวาสไม่อยู่ พระรูปอื่น ๆ มีภารกิจหน้าที่ ผมก็เลยเอาของถวายสังฆทาน พร้อมซองปัจจัย ไปวางไว้หน้าพระพุทธรูปในศาลารับสังฆทาน เขียนชื่อพ่อกับแม่ไว้หน้าซอง กราบพระ อธิษฐานต่อหน้าพระว่า นี่เป็นของที่กระผมตั้งใจจะนำมาถวายสังฆทาน ขอให้บุญกุศลตกแก่พ่อแม่ของกระผมด้วย แล้วก็กราบลา เพราะ ๕ โมงเย็น ในป่าแบบนี้ พระอาทิตย์จะตกเร็วมาก ไม่อยากมืดอยู่ในป่าคนเดียว
แล้วก็ “หลงป่า” จนได้ มีคนเอาลูกศรแดงชี้ไปอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งไปหมู่บ้านขุนวิน สุดแนวป่าโน้น ขี่รถเครื่องไปจนถึงหมู่บ้าน ต้องสอบถามชาวบ้านว่า สามารถออกไปอำเภอได้ไหม คำตอบคือ ไม่ได้ ต้องย้อนกลับไปเส้นเดิม คือ เส้นหน้าวัด โอ้หลงไป ๕ กิโลเมตรภูเขา ทางขึ้น ๆ ลง ๆ พัง ๆ ไหนจะต้องแข่งกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกอีก เรียกว่า “ครองสติ” ที่สุด ตอนนั้นก็ ๕ โมงจะครึ่งแล้ว ต้องขี่รถเครื่องย้อนกลับทางเดิม กะว่า ยังไงก็ต้องถึงวัดก่อน ถ้ามืดเกินไป จะขอนอนวัดสักคืน แต่โชคดีคือ เร่งรถเต็มที่ ลงมาถึงหมู่บ้านห้วยหยวก ก่อน ๖ โมง แวะซื้อมะละกอชาวบ้านไป ๓ ลูก แล้วก็เร่งเครื่องออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด
“หลงป่า” กลายเป็นประสบการณ์ทดสอบจิตของตัวเองอย่างยิ่ง “สติ” ต้องตรึกตรองพร้อมแก้ไขปัญหาตลอดเวลา
พอลงถึงตัวอำเภอ แวะซื้อกับข้าว ซื้อของในซูเปอร์เล็ก ๆ ที่ชื่อ “แจ่มฟ้าพลาซ่า” แล้วก็ขี่รถถึงบ้าน หนึ่งทุ่มครึ่งพอดี
ดังนั้น อยากบอกทุกคนว่า ใครอยากมาเที่ยว “วัดหลวงขุนวิน” ไม่ต้องขับรถขึ้นดอยเอง เหมารถชาวบ้านเถอะครับ ทางมันหฤโหด สงสารรถ สงสารคน และเสี่ยงอุบัติเหตุตกเขาสูงมาก
ขอบคุณประสบการณ์ “หลงป่า” ทำให้เรื่องที่เบากว่านี้เป็นเรื่องเด็ก ๆ ไปเลย
หากมีเวลาจะเอาภาพที่ถ่ายไปในทริปนี้มาลงในบันทึกนี้ต่อไปนะครับ ;)…
บุญรักษา ทุกท่าน ;)…
..
โชคดีที่ออกจากป่าได้ ต่อไปนี้ขอให้โชคดี สุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะคะ
ขอบคุณมากครับ พี่แก้ว 555