สภาสถาบัน สบช. นำเรื่อง แผนยุทธศาสตร์ของสถาบัน ปี ๒๕๖๕ - ๒๕๖๙ เข้าพิจารณาและให้ความเห็นในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ตอนไปรีทรีตที่ระยอง และนำเรื่อง แผนยุทธศาสตร์คณะพยาบาลศาสตร์ เสนอสภา ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๕
ผมใคร่ครวญสะท้อนคิดทั้งสองเหตุการณ์แล้ว มีข้อเสนอว่า สไตล์การนำเสนอและพิจารณาเรื่องแผนยุทธศาสตร์ที่ผ่านมา ดูจะเป็นแผนงานประจำ มากกว่าแผนพัฒนา ไม่ทราบว่าความคิดของผมผิดหรือถูก
ผมมีความเห็นว่า แผนยุทธศาสตร์ควรมีความชัดเจนว่า ในเวลาที่เสนอ (เช่น ๕ ปี) หน่วยงาน (หรือส่วนงาน) จะแตกต่างจากสภาพปัจจุบันอย่างไร ในภารกิจหลักของสถาบัน โดยต้องเสนอให้เห็นรูปธรรมที่จับต้องได้ วัดได้ และต้องใช้แผนเป็นเครื่องมือหมุนวงจรเรียนรู้และพัฒนาของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร (และของส่วนงาน) เป็นวงรอบ (เช่นทุกปี) โดยมีเครื่องมือที่ใช้ง่ายคือ DE (Developmental Evaluation) (๑) (๒) (๓)
แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาควรเน้นรูปธรรมของการปฏิบัติ (และไม่ปฏิบัติ) และการบรรลุเป้าหมายเป็นระยะๆ จนบรรลุเป้าหมายปลายทาง ซึ่งมักกำหนดเวลา ๕ ปี ที่ผมมองใหม่ว่า เป็นแผน transform สถาบัน ที่เป็นการ transform หลายมิติ เอื้อด้วย digital transformation และวงจรการเรียนรู้และปรับตัว ที่หมุนด้วย DE และหมุนเป็น DLL (Double-Loop Learning) และในบางกรณีไปถึง TLL (Triple-Loop Learning)
เครื่องมือตัวที่ ๓ ในการหมุนวงจรเรียนรู้และพัฒนา คือ Kolb’s Experiential Learning Cycle ที่เป็นวงจรเรียนรู้จากการปฏิบัติ และเรียนรู้ไม่แค่ระดับวิธีการ แต่ไปถึงการสะท้อนคิดสู่หลักการ (conceptualization)
DE กับ DLL/TLL และ KELC จะขับเคลื่อน สบช. สู่ความเป็น “องค์กรเรียนรู้” (Learning Organization) หรือองค์กรสมรรถนะสูง (HPO – High Performance Organization)
แผนยุทธศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม ควรกำหนด KRAs (Key Result Areas) และในแต่ละ KRA มีการกำหนด KPI (Key Performance Indicators) และ Actions เพื่อการบรรลุ KPI ไว้ด้วย สำหรับช่วยให้แผนยุทธศาสตร์ไม่ลอย แต่เป็นแผนรูปธรรม และนำมาดำเนินการ DE ได้อย่างเป็นระบบ
คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ จะนำเสนอแผนยุทธศาสตร์ในการประชุมสภาเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๕ น่าจะได้พิจารณาหาทางเสนอแผนยุทธศาสตร์ที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาคณะได้อย่างแท้จริง คือไม่เป็นแผนลอยๆ ไม่นำสู่การลงมือดำเนินการ และที่สำคัญ เป็นแผนที่ใช้พลังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) มาขับเคลื่อน ไม่ใช่แผนของฝ่ายบริหารเท่านั้น
ข้างบนนั้น เขียนก่อนการประชุม ในที่ประชุม กรรมการให้ความเห็นอย่างสร้างสรรค์และหลากหลายน่าชื่นใจ และประเทืองปัญญามาก สอดคล้องกับแนวคิดข้างบน และขยายแนวคิดออกไปอย่างกว้างขวาง เช่นการพัฒนาสู่อุดมศึกษายุคใหม่ที่มีความยืดหยุ่น และเอื้อต่อผู้เรียนมากขึ้น โดยหลักสูตรรองรับการเทียบโอนหน่วยกิต การใช้ประโยชน์ของระบบธนาคารหน่วยกิต ยอมรับการเรียนรู้จากปฏิบัติการ การจัดการเรียนรู้แบบ blended learning มีการจัดรูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เป็นการเรียนระยะสั้นเฉพาะเรื่อง การพัฒนานวัตกรรมเชิงสังคม การพัฒนาเทคโนโลยีกลุ่มเทคโนโลยีที่เหมาะสม การทำงานวิชาการรับใช้สังคม เป็นต้น
เรื่องสร้างสรรค์ที่คณะพยาบาล สบช. น่าจะไปให้ถึงคือ การทำหน้าที่ยกระดับวิชาชีพพยาบาลของประเทศ ตามแนวทางที่ผมเขียนไว้ในบันทึกชุด เรียนรู้จากการทำหน้าที่นายกสภา สบช. ตอนที่ ๙ คือตอนที่แล้ว ว่าต้องไม่แค่คิดแผนกลยุทธเพื่อการพัฒนาตนเองเท่านั้น ต้องคิดทำเพื่อพัฒนาสังคม และบ้านเมือง ด้วย ซึ่งในกรณีของคณะพยาบาลศาสตร์ได้แก่ การมีส่วนยกระดับวิชาชีพพยาบาล การมีส่วนยกระดับความเข้มแข็งของทีมสุขภาพ (health team) การมีส่วนยกระดับความเข้มแข็งของระบบสุขภาพปฐมภูมิและทุติยภูมิ และระบบสุขภาพชุมชน โดยหลักการเชิงกลยุทธคือ ทำงานเป็น engagement partner กับหน่วยงานที่ทำหน้าที่เหล่านั้นโดยตรง
วิจารณ์ พานิช
๗ ต.ค. ๖๕
ในรถยนต์เดินทางไปจังหวัดชุมพร
ไม่มีความเห็น