ในสมัยยุคนี้ จะมีเรื่องของการคิดบวก…เรื่อง Mindset…กำลังใจ…การเพิ่มพลังใจ มากมายที่เมื่อเข้าไปในการเรียนรู้ทางเทคโนโลยี…ทำให้เห็นถึงเรื่องของการสร้างกำลังใจให้กับตัวของเราเอง…
จริง ๆ สำหรับตัวผู้เขียนเอง ซึ่งเป็นคนรุ่น Gen baby boomer นั้น ในหลักสูตรสมัยก่อน หากไม่ได้เรียนที่ตรงสายของในเรื่องทฤษฎีต่าง ๆ ก็ไม่อาจจะทราบได้ว่า ในทฤษฎีนั้นมีการสอนเรื่องของ Mindset…การเพิ่มพลังบวกทางใจ…ทฤษฎีต่าง ๆ น่าจะเป็นของชาวตะวันตก แต่สำหรับคน Gen baby boomer แบบผู้เขียน มีความคิดเห็นว่า…ในการเพิ่มพลับทางใจ หรือพลังบวกให้กับตนเองนั้น นั่นคือ การนำหลักธรรมขององค์พระสัมมาพระพุทธเจ้าเข้ามาปรับใช้ให้กับตัวของเราเอง เพราะสมัยก่อนเรื่องหลักสูตรที่เรียนของคนไทย นั่นคือ การสอนให้คนกระทำความดี มิให้กระทำในสิ่งที่ไม่ดีหรือเลวร้าย ด้วยการประพฤติตนเองดีต่อตนเองและสังคม
หากพิจารณาในเรื่องของ Growth Mindset แล้ว เป็นเรื่องของสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
๑. การมองตัวเองในด้านบวก
๒. เชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง
๓. มุ่งมั่นและพยายามในการเรียนรู้
๔. มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เสมอ
๕. รู้จักปรับปรุง พัฒนาตนเองอยู่เสมอ
๖. แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น
นอกจากนี้ คนที่มี Growth Mindset จะเรียนรู้เพื่อให้เกิดความรู้จริง ชอบทำเรื่องที่ท้าทาย ทำงานเชิงรุก และมีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่รู้จักการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learner)…สำหรับกระบวนการคิด นั่นคือ การรักที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ มองเห็นโอกาสในการพัฒนาจากความผิดพลาด หากตนเองทำเรื่องผิดพลาด โดยนำประสบการณ์ของการผิดพลาดนั้นมาทบทวนและระมัดระวังมิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นซ้ำอีก…มีแรงจูงใจจากภายใน มีการปรับปรุง พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และมีความสุข เปิดใจยอมรับการเรียนรู้…โดยมีการเปลี่ยนมุมมองว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาให้ดีขึ้นได้ หากมีความพยายามมากพอ มีความอดทนต่อตนเอง ไม่ล้มเลิกง่าย ๆ พยายามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ…ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้มากกว่าที่จะใส่ใจในความล้มเหลว…กล้าที่จะเสี่ยงทำสิ่งที่ท้าทายใหม่ ๆ…และตระหนักรู้ว่า ทุกคนต่างก็มีทั้ง Fixed Mindset และ Growth Mindset ปนกันอยู่ ขึ้นอยู่กับมุมมองในเรื่องต่าง ๆ ที่แต่ละคนได้มองหรือคิดในเรื่องนั้น ๆ…การมี Growth Mindset จะเปิดใจ เปิดกว้างคำติชม ยอมรับที่จะปรับปรุงตนเอง หากคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นข้อเท็จจริงและเป็นประโยชน์สำหรับตนเอง ในการตอบโต้ก็จะตอบโต้ด้วยการเป็นคนที่มีเหตุ มีผลต่อเรื่องนั้น…ในการที่พบเจอสถานการณ์ที่เป็นปัญหาหรือมีอุปสรรคต่าง ๆ จะทราบทันทีว่า ณ เหตุการณ์นั้นตนเองเผลอใช้ Fixed Mindset หรือไม่
เรื่องทั้งหมดข้างต้น…หากพิจารณาตนเองด้วยการคิด วิเคราะห์ พิจารณาตนเองสำหรับผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนจะเป็นคนที่มี Growth Mindset มากกว่า Fixed Mindset https://www.gotoknow.org/posts/703050 อาจด้วยตนเองเมื่อเรียนรู้ในวัยเด็กแล้ว นำเรื่องที่ได้เรียนรู้มาปรับใช้กับตัวเอง แม้แต่ถึงเวลาที่ทำงานที่ตนเองมีความรับผิดชอบ ได้นำเรื่องการเรียนรู้ในวัยเด็กที่ได้สะสมเป็นองค์ความรู้ นำมาปรับ ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน และชีวิตครอบครัว และชีวิตในวัยทำงานได้อย่างลงตัว จึงทำให้ทราบว่า ผู้เขียนจะไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น สามารถแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานออกจากกันได้…และหากเป็นเรื่องครอบครัว ก็จะไม่นำมาปะปนกับเรื่องของการทำงานในแต่ละวัน…สามารถใช้ชีวิตแบบ Growth Mindset ได้อย่างลงตัว…ซึ่งสามารถพูดคุย และมีมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นได้เสมอ เพราะเป็นคนที่ฝึกคิดบวก มองโลกที่เห็นในความเป็นจริง ไม่ใส่ใจในเรื่องที่ไร้สาระ แม้ว่าเรื่องนั้นจะมากระทบจิตใจของเราเอง…ซึ่งบางคนบอกว่าทำยากมาก…สำหรับผู้เขียนคิดว่า ขึ้นอยู่กับการฝึกจิตใจของเราเองว่าจะเดินในสายใด
ทำให้ทราบว่า การฝึกให้มีเรื่อง Growth Mindset https://www.gotoknow.org/posts/703173 ได้นั้น จะสัมพันธ์กับคำสอนของพระพุทธเจ้าในการสอนมนุษย์ให้รู้จักเรื่องของความเป็นจริงของชีวิต ให้มนุษย์ทุกคนที่ได้ฟังคำสอนแล้วนำไปปฏิบัติได้ มีความเข้าใจในความที่คนทุกคนที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้ ด้วยการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยความเป็นจริง…สิ่งสำคัญของเรื่อง Growth Mindset หรือเรื่องหลักธรรม นั่นคือ เมื่อได้เรียนรู้แล้ว สามารถนำเรื่องของการเรียนรู้นั้นลงสู่การปฏิบัติจริงด้วยตัวของเราเองได้ จึงจะทราบถึงความเป็นจริงของชีวิตได้ด้วยตัวของเราเอง
**************************
ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านบันทึกนี้
บุษยมาศ แสงเงิน
๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕
ไม่มีความเห็น