การสัมมนาคณะกรรมการบริหารองค์การนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีการศึกษา 2564 เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม 2564 ผมได้รับเกียรติจากน้องๆ นิสิตให้ทำหน้าที่เป็น “วิทยากร” หรือ “กระบวนกร” ในหลายๆ ประเด็น ซึ่งจะเรียกว่าให้เป็นผู้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดเลยก็ไม่ผิด
โครงการสัมมนาดังกล่าวมิใช่กิจกรรมที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นให้กับนิสิต แต่เป็นกิจกรรมที่องค์การนิสิต เสนอต่อมหาวิทยาลัยภายใต้แนวคิด “นิสิตเพื่อนิสิต”
แรกๆ ผมไม่อยากรับปากที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้เท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะ “ไม่มีค่าตอบแทน” (ถึงนิสิตมอบให้ก็ตั้งใจว่าจะมอบคืนแก่นิสิต) แต่ผมมีเหตุผลบางประการที่ลังเล เป็นต้นว่า ผมร้างเวทีมานาน ผมไม่มีบทบาทสถานะในเชิงบริหารเหมือนแต่ก่อน ช่องว่างของผมกับเจ้าหน้าที่หรือแม้แต่นิสิตดูจะห่างเหินกันสมควร
หรือแม้แต่การรู้สึกอยากให้บุคลากรท่านอื่นๆ มีบทบาทต่อเรื่องนี้ รวมถึง่ปรารถนาให้นิสิตได้ “เสาะหาวิทยากรเก่งๆ” น่าจะเหมาะสมกว่า -
ทว่าหลังจากพูดคุยกับนิสิตผู้รับผิดชอบ 3-4 ครั้ง ผมสัมผัสได้ว่าน้องนิสิตอยากให้ผมช่วยทำหน้าที่จัดการเรียนรู้ครั้งนี้ให้จริงๆ กอปรกับทนลูกตื้อของนิสิตไม่ไหว จึง “ใจอ่อน-ตกปากคำรับ” หากแต่เป็นการรับคำในแบบ “จริงจัง-จริงใจ”
เอาจริงๆ นะ - ผมเองก็บอกกับตัวเองอย่างเงียบๆ เหมือนกันว่า นี่คือโอกาสอันดีที่ผมจะได้ “เคาะสนิม” ตัวเอง เป็นโอกาสอันดีที่ผมจะได้ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้กับเจ้าหน้าที่ (ผมตั้งใจจะเป็นคนเบื้องหลัง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ขับเคลื่อนการเรียนรู้นี้ด้วยตนเองอย่างเต็มสูบ)
และที่สำคัญคือ เป็นโอกาสอันดีที่ผม หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่จะได้เรียนรู้อย่างใกล้ชิดกับผู้นำกลุ่มนี้ -
นิสิตผู้รับผิดชอบโครงการฯ สื่อสารกับผมหนักแน่นในทำนองว่าอยากให้ผมจัดกิจกรรมละลายพฤติกรรมเชิงลึกในแบบ “บันเทิงเริงปัญญา” ที่มีกลิ่นอายของ “จิตปัญญา” ให้กับคณะกรรมการบริหารองค์การนิสิต โดยเปิดเปลือยกับผมสั้นๆ ว่า “พวกผมเป็นมือใหม่ ขาดประสบการณ์ในการบริหารองค์การนิสิต และที่สำคัญคือยังสร้างทีมไม่ดีพอ”
ก็จริงตามนั้นครับ – คณะกรรมการบริหารองค์การนิสิต ภายใต้การบริหารงานของพรรคชาวดิน (กลุ่มนิสิตชาวดิน) ถือว่าเป็น “มือใหญ่” ขนานแท้ ร้างเวทีในการเป็นองค์กรบริหารมายาวนานมาก สมาชิกที่รวมตัวกันก็ไม่คุ้นชินกับระบบและกลไกทางกิจกรรมของมหาวิทยาลัย
มิหนำซ้ำพอมาเจอการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้หลายๆ โครงการ/กิจกรรมไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ พอไม่สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมได้ พวกเขาจึงยิ่งเปราะบางต่อการเรียนรู้ระบบและกลไกของกิจกรรม ยิ่งไม่ค่อยได้ขับเคลื่อนงาน การปฏิสัมพันธ์กันในทีมก็ดูจะมีช่องว่างอยู่ในที
แต่ทั้งปวงนั้น ผมไม่ได้หวั่นหวาดอะไรมากมายหรอกนะครับ ยิ่งมาวิเคราะห์สไตล์ขององค์การนิสิตชุดนี้ดูจะมีบุคลิกที่ "ตรงไปตรงมา พูดเสียงดัง ไม่ชอบร่ำไร" จนบางทีนิสิต หรือแม้แต่สมาชิกในทีมยังรู้สึกราวกับว่าเป็น “มะนาวไม่มีน้ำ” หรือ “ขวานผ่าซาก” เปรียบเป็นนักมวยก็ประเภท “หมัดหนัก ขวาตาย ซ้ายสลบ”
บุคลิกเช่นนี้แหละที่ทำให้ผมไม่ลังเลที่จะใช้กระบวนการ “รู้จักฉันรู้จักเธอ” เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้เพื่อละลายพฤติกรรม-หลอมรวมให้คณะกรรมการบริหารองค์การนิสิตได้เปิดใจเรียนรู้ความเป็นตัวตนของกันและกัน เพื่อผูกโยงไปยังการ “สร้างทีม สร้างองค์กร” ของนิสิตร่วมกัน
เมื่อนิสิตต่างเป็น “มือใหม่” ในวิถีกิจกรรมนอกหลักสูตร และยัง “ไม่คุ้นชิน” กันมากนัก ผมจึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่นำ “รู้จักฉันรู้จักเธอ” ไปประยุกต์ใช้ โดยผมจะคอยหนุนเสริมอยู่ข้างๆ และทำความเข้าใจร่วมกันว่ากระบวนการครั้งนี้ เน้นให้นิสิตได้
แน่นอนครับ ผมเชื่อมั่นเสมอมาว่าหากทำกระบวนการนี้อย่างละเมียดละไม จะช่วยให้นิสิตรู้ตนเอง เข้าใจจุดหมายตัวเอง รู้จักคนรอบข้าง รู้จักคนในทีม รู้จักเป้าหมายความเป็นทีม และกล้าที่จะเปิดใจทำงานและใช้ชีวิตร่วมกันบนความ “เหมือน” และ “ความต่าง” ของกันและกัน
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ผมปักเป็นหมุดไว้ในกระบวนการ “รู้จักฉันรู้จักเธอ”
ผมมีความเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า ความเป็นทีมที่ดีย่อมมาจากการเข้าใจ “พื้นฐาน” หรือ “พื้นเพ” ความเป็นตัวตนของสมาชิกในทีม – กระบวนการรู้จักฉันรู้จักเธอ จึงเป็นเสมือนระบบและกลไกในการหลอมรวมความเชื่อที่ว่านั้น
ผมมองว่า การทบทวนตัวเอง สกัดเรื่องราวตัวเอง คือระบบการจัดการตัวเองในเชิง “ปัจเจกบุคคล” เมื่อนำไปสื่อสารต่อคนรอบข้าง ก็คือการ “ถ่ายทอด-แบ่งปัน” ในเชิง “สถาบัน” หรือ “ทีม” เพราะคนในทีมก็จะได้รับรู้ข้อมูลเบื้องต้นของเพื่อนร่วมทีม เมื่อเกิดเหตุกระทบกระทั่งในวิถีการงาน ย่อมง่ายต่อการที่จะทำความเข้าใจและให้อภัยต่อกัน
แน่นอนครับ ถึงแม้ภาพ หรือเรื่องราวที่สะท้อนออกมานั้น จะดูผิวเผินที่มีทั้งเรื่องภายในครอบครัว เรื่องความฝันส่วนบุคคล เรื่องมุมมองและเหตุการณ์สำคัญๆ ในสังคม เป็นต้นว่า
อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่ากระบวนการนี้เน้นการทบทวนชีวิตตัวเองและแบ่งปันสื่อสารต่อสังคม กระบวนการดังกล่าว จึงฝึกให้แต่ละคนกล้าหาญที่จะเปิดตัวเองสู่การเรียนรู้ผู้อื่นและเปิดให้ผู้อื่นก้าวเข้ามาเรียนรู้ตัวเอง เป็นการเรียนรู้ทั้งในสถานะส่วนบุคคลและการเรียนรู้ในสถานะของการเป็นสมาชิกในองค์กร
ด้วยเหตุนี้กระบวนการดังกล่าวจึงซ่อนนัยสำคัญของการ “บริหารคน-บริหารทีม” ไปในตัวด้วยเช่นกัน
เขียน : จันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565
ภาพ : สุริยะ สอนสุระ
สวัสดีครับ พี่แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
ขอบพระคุณคำชมมากๆ ครับ เพราะทำให้หัวใจอันชราภาพพองโตมีพลังอีกครับ 555