การทำเกษตรแบบพอเพียงของพ่อสำเริงภายใต้พื้นที่ 2 ไร่กว่า ๆ โดยการจัดการแปลงนารองรับการจัดการน้ำที่มีอยู่ให้ลงตัว โดยการขุดบ่อเก็บน้ำ บ่อน้ำมีสามส่วน คือ ส่วนที่ 1 ขุดลึกเพื่อเก็บน้ำไว้อาบไว้ใช้ (ไว้บริโภค) ส่วนที่ 2 ขุดตื้นเพื่อรองรับน้ำในเวลาน้ำหลากน้ำจะล้นจากบ่อลึกผ่านมาที่บ่อตื้น หน้าแล้งก็จะแห้ง และเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล ส่วนที่ 3 ขุดลึกเช่นเดียวกับบ่อที่ 1 เพื่อกักเก็บน้ำไปใช้ในแปลงเกษตร เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ด โดยทำคอกหมู คอกเป็ดไว้ในบ่อ เศษอาหารจากหมู และเป็ดกลายเป็นอาหารของปลา
การจัดการรอบบ่อคือปลูกไม้ยืนต้นไว้ริมรั้ว เช่นต้นยางนา หลักการปลูกของพ่อสำเริงคือปลูกถี่เพื่อให้ไม้เบียดกันสูง ไม้จะตรง สูง เมื่อโตพอทำประโยชน์ได้ตัดสลับต้นเพื่อให้ต้นที่เหลือใหญ่ และโตเต็มที่ เก็บไว้เป็นส่วนของการออมทรัพย์ นั่นคือไม้โต ตัดขาย เป็นการออมดิน คือใบไม้กลายเป็นปุ๋ย มีความชุ่มชื้น เป็นแหล่งอาหารทางธรรมชาติได้อีก เพราะชุ่มชื้นแล้วมีเห็ดเกิด ช่วยเกื้อหนุนการออมน้ำ ช่วยให้บ่อที่ขุดไว้ไม่แห้งมีน้ำใช้ตลอดปี ออมต้นไม้ คือมีต้นไม้ใหญ่ไว้เป็นมรดกให้บุตรหลาน และพืช ผัก รวมถึง ไม้ผล เพื่อรับประทาน ไม่ต้องซี้อ เหลือกินก็แจก เหลือแจกก็ขาย แม่ค้าเก็บเองขายเอง สุดท้ายกลายเป็นรายได้ประจำวัน
การพัฒนาภาคการเกษตรที่มุ่งสู่สังคมความรู้อย่างมีคุณภาพนั้น ต้องทำให้เกษตรกรในภาคเกษตร “คิดเป็น คิดชอบ ทำเป็็น ทำชอบ แก้ปัญหาเป็น แก้ปัญหาชอบ” ด้วย ไม่ใช่ “คิดเป็น ทำเป็น” อย่างเดียว คือเป็นการคิดการทำ และการแก้ปัญหาที่คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ รวมทั้งอยู่บนพื้นฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม มีทั้งการก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมความรู้ ต้องเข้าใจว่าความรู้นั้น มีอยู่ 3 ประเภทหลัก ๆ (ประกาย กิจธิคุณ เศรษฐกิจการเกษตร 2549) คือ
ความรู้ฝังลึก ที่เกิดจากการปฏิบัติ เอาใจใส่ เอากายเอาสมองเข้าสัมผัส เพื่อจะมีชีวิตอยู่รอดอย่างแบบที่ปราชญ์ และชาวบ้านทำ
ความรู้ที่ชัดแจ้ง ที่เรียนกันในภาคการศึกษาในระบบ ทั้งจากการศึกษาภาคบังคับและระดับปริญญาตรี และสูงกว่าความรู้ที่แจ้งชัดจะเป็นหลักคิดที่สามารถถอดรหัสเป็น ตัวหนังสือ หรือเป็นสูตรต่าง ๆ ซึ่งต้องผสมผสานความรู้ที่ฝังลึกกับความรู้ชัดแจ้งเข้าหากันให้ได้
ความรู้จานด่วน คือความรู้ที่สามารถซื้อสำเร็จรูป หรือเป็นเทคโนโลยีแล้วเอามาประยุกต์ใช้
สังคมความรู้ที่ดี จะต้องผสมผสานหาความพอดีระหว่างความรู้ทั้ง 3 ประเภทนี้ให้ได้ และเป็นสังคมความรู้ที่ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการสร้างขึ้นมา โดยนำประสบการณ์ที่แตกต่างกันมาใช้ประโยชน์โดยองค์กร ชุมชน สังคม ก็ต้องเอื้อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยคุุุณภาพ ทั้งคนและองค์กรจึงต้องร่วมสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ด้วยกฎระเบียบ ต่าง ๆ และปรับปรุงอยู่เรื่อย ๆ สุดท้ายทั้งคน องค์กร และวัฒนธรรม ต้องมุ่งพัฒนาความรู้และความอยู่ดีมีสุข ในความหลากหลายวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ภาคการเกษตรจะก้าวไปสู่สังคมความรู้ได้ ยังต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยื โดยต้องพัฒนาเครือข่าย เศรษฐกิจชุมชน และคุณภาพชีวิตให้เข้ากันได้ ต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปรับปรุงระบบบริหารจัดการ การสร้างความรู้ การวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต้องมีหน่วยงานที่พัฒนา และต้องทำอย่างจริงใจ จริงจัง มั่นคง ยั่งยืน และต่อเนื่อง ที่สำคัญต้องอยู่บนความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจเพื่อการแข่งขันและเศรษฐกิจพอเพียง
ผมชอบคำว่า ความรู้จานด่วน
(ถ้าคุณไม่ลอกใครมา) ถ้าลอกน่าจะอ้างอิงแล้ว- นี่คือมารยาททางวิชาการที่สำคัญที่สุด
และอยากให้คิดต่อว่า มี "ความรู้" อะไรอีกบ้าง ที่เป็น "คำ" นวัตกรรมของเราเอง
วันหลังจะส่งคุณไปโต้วาทีกับ "เจ้าพ่อปลาทูแห้งหมื่นป๊" แห่งเทือกเขาเสือคูเสือ
ผมว่าคุณสู้ได้สบายมาก
ดีครับ อยากได้ยินคำใหม่ๆอีกครับ
แต่อย่าลืมลงแปลงนะ เดียวเท้าจะไม่เปื้อนดิน และไม่มีร่องรอยในการเขียนเหมือน ตอนที่ ๑
ผมเป็นห่วงว่าคุณไปขับรถอ้อมแปลงแล้วก็กลับนะครับ
(แต่ก็ยังดีกว่าขี่จรวดเยี่ยมแปลงนะครับ)
ทางสำนักเสือคู่เสือเขาจะแซวเอาได้