ผู้บริโภคในยุคทุนนิยม วัตถุนิยมนี่แย่หน่อยนะครับ โดนสื่อมวลชนซัดสาดด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ หลอกล่อสารพัดเล่ห์ ในลักษณะที่ผู้ผลิต (supply) สร้างอุปสงค์ (demand)
ผู้บริโภคต้องการคุ้มครองในกรณีสินค้าคุณภาพไม่ตรงตามที่ตกลงกัน
แต่ในกรณีหลงติดกับเข้าไปซื้อเองโดยไม่จำเป็นนั้น ไม่มีใครช่วยได้ ที่พอช่วยได้คือห้ามโฆษณาสินค้าบางประเภทที่ไม่มีความจำเป็นหรือเป็นสินค้าอันตราย เช่น เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
กรณีผู้บริโภคต้องซื้อของแพง เพราะต้องช่วยจ่ายค่าโฆษณาก็ไม่มีใครช่วยคุ้มครองได้ เราต้องมีสติปัญญาพิจารณาเอาด้วยตัวเองคือต้องคุ้มครองตัวเอง อย่างกรณีที่ชาเขียวใส่ขวดยี่ห้อหนึ่งกำลังฮิตขายขวดหนึ่งตั้ง 20 บาท ผมไม่เคยซื้อดื่มเลย ที่เคยดื่มเพราะการบินไทยเขาแจกฟรี
สรุปว่า เราคุ้มครองตัวเราเองเป็นดีที่สุด โดยใช้คาถาเศรษฐกิจพอเพียง ไม่บ้าไปตามแรงโฆษณา รู้เท่าทันว่าสินค้าที่ยิ่งโฆษณามาก ราคารขายยิ่งแพงเกินมูลค่าจริง
วิจารณ์ พานิช
25 ธ.ค.49
พฤติกรรมผู้บริโภคแบบไทย ๆ มักไม่ค่อยอยากจะไปเรียกร้องสิทธิด้วยตนเอง
รัฐก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพที่จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนในฐานะที่เป็นผู้บริโภค
ประชาชนก็มุ่งแต่จะร้องขอให้รัฐช่วย เหมือนเสพย์ติดอำนาจรัฐ แต่การรวมตัวเพื่อสร้างพลังผู้บริโภคสำหรับใช้อำนาจต่อรองกับผู้ประกอบธุรกิจ มักจะไม่เห็นในสังคมไทยนัก
การจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดู ๆ แล้ว ก็ยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าใดนัก
การคุ้มครองผู้บริโภคนั้นเป็นหน้าที่ของตัวผู้บริโภคเอง รัฐเพียงแต่เป็นฝ่ายสนับสนุนให้การใช้สิทธิเรียกร้องบรรลุวัตถุประสงค์เท่านั้น
ทำอย่างไรที่จะให้ผู้บริโภคมีภุมิคุ้มกัน รวมตัวกันได้อย่างเข้มแข็ง ตรงนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายผู้บริหารหน่วยงานของรัฐอย่างยิ่งที่จะทำอย่างไรอันเป็นการกระตุ้นให้เกิดความเคลือนไหวดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม
ไม่อยากเห็นเหตุการณ์เช่นเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันกับกรณีทุบรถตามที่ปรากฏในสื่อมวลชน และทำให้หน่วยงานรัฐเข้าไปเจรจาไกล่เกลี่ยแล้วจบกันเป็นกรณี ๆ ไป
กรณีในลักษณะดังกล่าวจะปรากฏต่อไปให้เห็นแบบไม่มีที่สิ้นสุด หากรัฐใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเป็นกรณี ๆ ไป ตามกระแสสังคม โดยไม่ได้กำหนดหรือคาดคั้นให้ผู้ประกอบธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะมีความยั่งยืนยิ่งกว่า