รีวิว+สปอยล์ The Guilty (2021 netflix)


รีวิว+สปอยล์ The Guilty (2021 netflix) จะเป็นอย่างไร หากคุณเป็นเจ้าหน้าที่ที่รับสายโทรศัพท์ฉุกเฉินที่ความเป็นความตายของเขาขึ้นอยู่กับคุณ แล้วคุณต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ได้โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากติดต่อประสานงานเท่านั้น แถมยังมีอุปสรรคสอดแทรกอีกมากมาย นี่คือหนังดราม่าเทลเลอร์แนวแสดงเดี่ยวกำหนดพื้นที่อยู่ในที่เดียวสุดท้ายทายที่สุดเรื่องหนึ่งของ เจก จิลเลนฮาล ที่รับบทเป็นตำรวจรับสายฉุกเฉินที่ต้องแก้ไขสถานการณ์ของผู้อยู่ในสายฉุกเฉิน รวมถึงแก้ไขสถานการณ์ชีวิตของตัวเองไปพร้อม  ๆ กัน

ดูคลิปรีวิวที่นี่ 

The Guilty คือเรื่องราวของนายตำรวจรับสายฉุกเฉิน 911 โจ เบย์เลอร์ ที่ได้รับสายจากหญิงสาวคนหนึ่งว่ากำลังถูกชายคนหนึ่งลักพาตัวไปอยู่ในรถตู้สีขาวบนถนนหลวง และกำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง และในขณะเดียวกันเธอมีลูกเล็ก 2 คนอยู่ในบ้านที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังด้วย

โจ เบย์เลอร์ ต้องประสานงานกับตำรวจให้ช่วยติดตามรถตู้สีขาวคันนั้นให้ได้ แต่ก็มีอุปสรรคที่สำคัญก็คือ เขาไม่รู้ทะเบียนของรถคันนั้นจึงประสานงานกับตำรวจให้ติดตามได้ยาก ซ้ำร้ายเป็นช่วงที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ลุกลามแทบทั้งเมืองทำให้เจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ

ในขณะเดียวกันโจ เบย์เลอร์ ต้องประสานงานให้ตำรวจเข้าไปช่วยเหลือเด็ก 2 คนที่ ซึ่งพี่สาวกำลังอยู่ในอาการหวาดกลัวอยู่ในบ้านกับน้องชายวัยแบเบาะ แถมยังต้องประสานงานให้เพื่อนตำรวจอีก 1 คนเข้าไปค้นบ้านผู้ชายที่เป็นผู้ต้องสงสัยอีกด้วย

นี่คือสถานการณ์สุดยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นกับโจ เบย์เลอร์ เจ้าหน้าที่รับสายด่วน 911 เขาต้องหาวิธีช่วยเหลือทุกคนให้ได้ โดยที่ไม่สามารถเห็นสถานะการอะไรเลย ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหน้าตาของหญิงสาวที่โทรมาขอความช่วยเหลือเป็นอย่างไร  เขาต้องทำงานแข่งกับเวลาซึ่งทุกวินาทีที่เสียไปนั้นมันหมายถึงชีวิตของหญิงสาวที่กำลังจะหมดลงไป

ต่อไปนี้จะเป็นการแสดงความรู้สึกหลังชมไปพร้อม ๆ กับการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ หากใครรู้สึกซีเรียสกับการสปอยล์ก็สามารถข้ามไปฟัง/อ่านบทสรุปได้เลยนะครับ

ี่นี่คือหนังแนวดราม่าระทึกขวัญ ที่มีข้อจำกัดในด้านของพื้นที่ ข้อจำกัดของเวลา ข้อจำกัดของสถานการณ์ รวมถึงข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการให้ตัวละครโจ เบย์เลอร์ รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านเสียงที่ได้ยินเท่านั้น เขาจึงทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกอย่างที่ได้ยิน ตีความหมาย คาดเดาสถานการณ์ และจำเป็นต้องตัดสินใจในการช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัว ซึ่งเราในฐานะคนดูก็จะได้รับรู้ทุกอย่างตามที่ตัวละครโจ เบย์เลอร์ได้ยินไปพร้อม ๆ กับเขา

แน่นอนว่าการที่หนังได้ทำให้มีข้อจำกัดมากขนาดนี้ ก็สามารถชักจูงคนดูให้คล้อยตามทุกสิ่งทุกอย่างของหนังไปได้ และทุกครั้งที่ตัวละครโจ เบย์เลอร์ตัดสินใจทำอะไรไปเราก็คอยหรือเห็นดีเห็นชอบกับการตัดสินใจไปด้วย และเมื่อถึงเวลาที่หนังหักมุม เราจึงรู้สึกประหลาดใจทุกครั้ง และหนังยังหักมุมหลายครั้งตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งในแง่การหักมุมไม่ว่าจะเป็นการหักมุมกลางเรื่องหรือหักมุมช่วงท้ายเรื่องนั้นถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว

จากนั้นหนังก็สรุปว่า หญิงสาวที่โทรมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ 911 นั้นมีอาการทางจิต เพิ่งออกจากโรงพยาบาลจิตเวช รักษาตัวด้วยการกินยา ซึ่งค่ายานั้นสูงมากจนสามีของเธอไม่มีเงินมาจ่ายค่ายา และให้เธอหยุดการใช้ยา

ทั้งสองสามีภรรยาคู่นี้มีลูก 2 คน ลูกสาวคนโตวัยประมาณ 5-7 ขวบ และลูกชายคนเล็กอีก 1 คนอยู่วัยทารก เนื่องจากภรรยาหยุดการกินยาระงับประสาท จึงทำให้เธอคิดว่าลูกชายคนเล็กที่ร้องไห้มีงูอยู่ในท้อง เธอจึงทำการกรีดท้องลูกชายคนเล็กเพื่องูออก และเมื่อสามีเห็นภรรยาทำเช่นนั้นจึงรีบพาเธอหนีไป ปล่อยทิ้งให้ลูกสาวอยู่กับน้องของเธอ

ตัวภรรยาไม่อยากถูกขังซึ่งมีความหมายว่าเธอไม่อยากกลับเข้าไปในโรงพยาบาลจิตเวช ส่วนตัวของสามีก็ไม่อยากถูกตำรวจจับเพราะเคยมีคดีเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย ทั้งสองจึงจำเป็นต้องขับรถหนีออกไป

ในขณะเดียวกันที่เจ้าหน้าที่โจ เบย์เลอร์ รับโทรศัพท์ของหญิงสาวคนนั้น เดิมทีเขาก็คิดว่าเธอถูกลักพาตัวจริง เขาจึงแนะนำเธอทุกอย่างผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งหญิงสาวก็แกล้งพูดว่าเป็นการพูดโทรศัพท์กับลูก แล้วท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่โจ เบย์เลอร์ ก็แนะนำให้หญิงสาวหนีจากชายซึ่งเป็นสามีของเธอด้วยการทำให้รถเสียหลัก รวมถึงใช้วัตถุแข็งตัที่ศีรษะจากนั้นหญิงสาวก็สามารถหนีจากสามีของเธอไปได้

ส่วนเพื่อนตำรวจที่โจ เบย์เลอร์ ส่งให้ไปที่บ้านของสามีหญิงสาวคนนั้น ก็ค้นเจอหลายสิ่งหลายอย่างมากมายโดยเฉพาะใบแจ้งหนี้ ค่ายารักษาอาการจิตเวช เมื่อนำเรื่อง ทั้งหมดมาประมวลเข้ากัน   ก็สามารถทำให้โจ เบย์เลอร์ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ และนั่นก็ทำให้รู้ว่าการแนะนำของเขาคือสิ่งที่ผิด

แต่เรื่องก็ดำเนินไปถึงจุดสำคัญที่สุดคือ หญิงสาวเกิดอาการสับสน ไปยืนอยู่บนสะพาน จะกระโดดฆ่าตัวตาย เพราะรู้ตัวว่าเธอทำอะไรกับลูกชาย โจ เบย์เลอร์ จึงต้องหาทางทำให้เธอ หยุดการกระทำนั้น แล้วบอกว่าเขาได้สัญญากับลูกของเธอว่าจะนำเธอไปหาลูก

แต่ไม้เด็ดที่สำคัญที่สุดของหนังก็คือ หนังทำให้เรารู้จักตัวละครโจ เบย์เลอร์ น้อยมากในช่วงต้น เราเห็นว่าเขามีอาการเครียด ถูกนักข่าวตามที่สัมภาษณ์ และการทำงานในวันนี้คือวัน ก่อนที่จะไปขึ้นศาลเพื่อตัดสินคดีที่เขาเคยก่อ ซึ่งเราก็มารู้ในภายหลังว่าที่เขาต้องมาเป็นเจ้าหน้าที่รับสายฉุกเฉินก็หนึ่งก็เพราะว่า ในขณะปฏิบัติงานเป็นตำรวจเขาได้ฆ่าผู้อื่นเสียชีวิต ในระหว่างการตัดสินจึงจำเป็นจะต้องย้ายมาอยู่หน่วยรับโทรศัพท์ของ 911 เพียงชั่วคราว เขาต้องนัดกับเพื่อนผู้เป็นพยานว่าจะต้องพูดอย่างไรเพื่อให้เขาพ้นคดีนี้

ยังไม่พอแค่นั้น หนังเขาก็ยังกระหน่ำให้เห็นว่าตัวละครเอกยังมีปัญหากับภรรยาของเขา จนเป็นเหตุที่ทำให้ต้องแยกกันอยู่

การสร้างเงื่อนไขมากมายเช่นนี้ให้กับตัวละคร มันเป็นการสร้างความกดดันให้กับตัวละคร สร้างความกดดันให้กับคนดู  ดังนั้นทุกอย่างมันจึงถาโถมเข้าหาตัวละครโจ เบย์เลอร์ ไปพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือหญิงสาวที่เขาคิดว่าถูกลักพาตัว การช่วยคนที่โทรเข้ามาขอความช่วยเหลือใน 911 อีกหลายสาย การช่วยเหลือเด็กหญิงและน้องชายที่อยู่ในบ้าน การคุยกับเพื่อนเรื่องการเป็นพยานในชั้นศาล ความเครียดที่กลัวว่าหากศาลตัดสินมาว่าเขาผิด เขาเองจะต้องติดคุก

เราจึงรับรู้ได้เลยว่าตัวละครโจ เบย์เลอร์ ต้องทำงานภายใต้แรงกดดันมากมายขนาดไหน เราอาจมองไม่เห็นหรอกว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันคับขันขนาดไหน แต่เราจะรับรู้ทุกอย่างได้เพียงดูจาก สีหน้า ท่าทาง อารมณ์น้ำเสียงของตัวละครเอก ภายในห้องเล็ก ๆ ของหน่วยรับสายฉุกเฉิน 911 เพียงเท่านั้น

และที่สำคัญที่สุดก็คือ ด้วยความพยายามที่เขาต้องการช่วยเหลือหญิงสาว ที่มีอาการทางจิตไม่ให้ฆ่าตัวตาย เขาต้องพูดหว่านล้อมเป็นการช่วยเหลือเธอนั้น มันทำให้เขาสำนึกขึ้นมาได้ว่า การที่เขาทำผิดพลาดแล้วเขาทำให้คนเสียชีวิตนั้น มันคือความผิดที่เขาต้องรับผิดชอบ ซึ่งจะเป็นผลทำให้เขารับสารภาพความผิดในชั้นศาลในช่วงท้ายของเรื่อง และนี่คือความปลดเปลื้องความผิดบาปที่อยู่ในใจของเขาเองมานานแสนนานด้วย

จึงต้องขอชมเลยว่าเจก จิลเลนฮาล คือหนึ่งในนักแสดงคุณภาพที่สามารถเล่นหนังแนวแสดงเดี่ยวได้และตีบทแตกได้อย่างดีเยี่ยม ไม่แพ้ในหนังหลายเรื่องที่จำกัดผู้เล่นเพียงแค่คนเดียว จำกัดพื้นที่ที่เดียว อย่างทอมแฮงค์ในเรื่อง Cast Away แซนดร้า บูลล็อคจากเรื่อง The Gravity ไรอันเรย์ โนลส์จาก Buried เป็นต้น

สิ่งที่สำคัญของเรื่องอย่างการที่ให้เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์แล้วก็แก้ไขสถานการณ์ด้วยการติดต่อประสานงานช่วยเหลือนั้น ก็ไม่ได้มีความแปลกใหม่อะไร มีหนังและซีรีส์ทำนองเดียวกันนี้สร้างมาแล้วหลายเรื่องอย่าง The Call ต่อสายผ่าเส้นตาย (2013) Voice สายด่วนเสียงมรณะ (2017) ซึ่งไทยก็นำมารีเมคสร้างเป็นละครในชื่อ  Voice สัมผัสเสียงมรณะ (2020) เป็นต้น ดังนั้นประเด็นสำคัญของเรื่องอย่างเช่นการช่วยเหลือคนในสายด่วน มันก็คือการคลายปมในใจของตัวละครด้วยนั่นเอง จึงแทบไม่ได้มีประเด็นอะไรหรอกจนทำให้เรารู้สึกประทับมจอะไรมากนัก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอารมณ์ของหนังจะเป็นแนวดราม่าระทึกขวัญ สถานการณ์บีบบังคับอารมณ์ให้กับคนดูตลอดทั้งเรื่อง แต่ในช่วงท้ายที่สุด เขาก็สามารถทำให้เราเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้แม้จะอยู่ในจุดที่เลวร้ายมากขนาดไหน ก็ยังมีความหวังอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งถ้าหากเราหาความหวังจากสิ่งนั้นได้ เราก็จะแก้ไขสถานการณ์ทุกอย่างไปได้อย่างดี และในขณะเดียวกันหากเรารู้สึกผิด สำนึกตน และยอมรับความผิดที่เราทำมา นี่คือสิ่งที่จะทำให้ปลดล็อคความทุกข์ที่ในใจทั้งหมดได้อย่างดีที่สุดนั่นเอง

7.5/10
@Vatin San Santi

#TheGuilty2021 
#TheGuiltynetflix
#เจกจิลเลนฮาล
#JakeGyllenhaal

หมายเลขบันทึก: 692760เขียนเมื่อ 9 ตุลาคม 2021 06:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 ตุลาคม 2021 06:51 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท