ทำอย่างไรจึงจะทำให้คดีข่มขืนกระทำชำเราหมดไป?


คดีข่มขืน คงไม่หมดไปได้หรอกถ้าตราบใดคนเรายังมี กิเลสตัณหา ราคะความกำหนัดอยู่ การที่จะทำให้คดีข่มขืน หมดไป หัวใจสำคัญคือ ความตระหนักของชายนั้นเอง คือ คนเราทุกคน ต่างก็มีตัณหา ความกำหนัดด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ผู้หญิงสาว หรือไม่สาว จะไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น เพราะพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงหยั่งรู้ดีในเรื่องนี้ จึงทรงห้าม มิให้ภิกษุอยู่สองต่อสองกับหญิง ไม่ว่าในที่ลับตาหรือที่ลับหู ก็ตาม เพราะฉะนั้น การที่จะป้องกันการข่มขืนได้ดี หรือ การที่จะทำให้คดีข่มขืนกระทำชำเราหมดไป คือ ชายต้อง รู้จักยับยั้งใจตนเองได้ ข่มใจตนเองได้ มีสติระลึกได้ และ สัมปชัญญะ รู้ตัวเสมอว่า เรากำลังจะทำอะไร ดีหรือชั่ว ควรหรือไม่ควร

 ทำอย่างไรจึงจะทำให้คดีข่มขืนกระทำชำเราหมดไป?

ดร.ถวิล  อรัญเวศ

         คดีข่มขืนกระทำชำเรานับว่าเป็นปัญหาของสังคมโลกและสังคมไทย และไม่ใช่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะสังคมโลกในปัจจุบันเท่านั้น แต่ในสมัยพุทธกาล ก็มีคดีข่มขืนกระทำชำเรามาแล้ว แถมเป็นการข่มขืนกระทำชำเราภิกษุณีที่เป็นถึงพระอรหันต์ผู้ก่อคดีคือชายหนุ่มชื่อนันทมานพ

        เหยื่อของนันทมานพก็คือ ท่านภิกษุณีอุบลวรรณาเถรี สมัยยังไม่ได้บวชเป็นสตรีผู้มีรูปร่างโฉมงดงาม เป็นที่หมายปองของชายผู้พบเห็นตั้งแต่พระราชาและเศรษฐีคหบดีทั่วไป แต่ท่านอุบลวรรณาเถรีเบื่อหน่ายในโลกียสุข ต้องการหาความสงบตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ จึงออกบรรพชาเป็นภิกษุณีตั้งแต่อายุได้ ๑๖ ปี ในที่สุดก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

       แม้ท่านอุบลวรรณาเถรีจะก้าวไปอยู่ในโลกแห่งความสงบ ปราศจากกิเลสใด ๆ แล้วก็ตาม แต่นันทมานพก็ยังฝังใจด้วยกิเลสตัณหา ปรารถนาจะลิ้มรสสวาทจากนางให้ได้ วันหนึ่งจึงไปแอบซุ่มอยู่ในป่าข้างกระท่อมที่ท่านอุบลวรรณาจำพรรษาอยู่ เมื่อเห็นว่าออกจากกระท่อมไปบิณฑบาตแล้ว นันทมานพก็เข้าไปซ่อนอยู่ใต้เตียง และเมื่อท่านอุบลวรรณากลับมา นันทมานพก็ออกมาและเข้าปลุกปล้ำ แม้ท่านอุบลวรรณา จะร้องให้คนช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน เพราะอยู่ในป่าเปลี่ยววิเวก พระอรหันต์อุบลวรรณาเถรีจึงได้กล่าวกับนันทมานพหวังจะเตือนสติให้เขาสำนึกในการกระทำว่า

         “จงอย่าทำเช่นนี้เลย ความหายนะจะมาสู่ท่าน”

          นันทมานพก็หาฟังไม่ ปลุกปล้ำท่านอุบลวรรณา จนสำเร็จดังใจปรารถนา แต่พอเขาก้าวลงจากแคร่ ธรณีก็เปิดอ้าสูบลงไปในขุมนรกอเวจี เพราะกรรมที่เขาก่อกับพระอรหันต์นั้นหนักหนาสาหัสนัก

          การที่ท่านอุบลวรรณาเถรีถูกกระทำเช่นนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของภิกษุ ภิกษุณี และพุทธบริษัททั้งปวงว่า เมื่อท่านอุบลวรรณาได้รับการสัมผัสเช่นนี้ ย่อมจะฝืนความยินดีให้คล้อยตามไปด้วยยาก พระพุทธองค์จึงตรัสบอกกับพุทธสาวกว่า

         “พระอรหันต์นั้นเป็นเช่นเดียวกับไม้ผุ ไม่มีกิเลสและไม่มีความยินดีในกิเลส เฉกเช่นตุ๊กตาที่ไม่มีความปรารถนาใน

การสัมผัสฉันท์ใด พระอรหันต์ก็เป็นฉันท์นั้น...”

          จากที่กล่าวมาเป็นกรณีการข่มขืนกระทำชำเราในสมัย
พุทธกาล ซี่งนันทมานพผู้ใจบาป ข่มขืนแม้กระทั้งภิกษุณี
ผู้เป็นพระอรหันต์ คงจะเป็นเพราะสาเหตุนี้แหละ จึงไม่มีผู้หญิงมาบวชเป็นภิกษุณีในกาลต่อมา

       ใสส่วนของคดีข่มขืนในไทย โพลชี้!ผลลัพธ์สุดตะลึง
บ่อยครั้งที่เราได้อ่านข่าวที่น่าสลดใจในสังคม มิหนำซ้ำบางคดี
ยังถึงขั้นรุนแรงจนกลายเป็นคดีฆาตรกรรม แถมยังมีแนวโน้ม
ที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย

       เนื่องจากเหตุการณ์คดีข่มขืนมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดประเด็น #ข่มขืนต้องประหาร ทั่วทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ้ก จนเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม  2562 ได้มีราชกิจานุเบกษาให้แก้ไขเพิ่มเติมและมีผลบังคับใช้ทันที โดยได้เพิ่มโทษการก่อคดีข่มขืนสูงสุดเป็น “ประหารชีวิต” ในกรณีเหยื่อถึงแก่ความตาย และแก้ไขเพิ่มเติมความหมายของคำว่า “กระทำชำเรา” ให้ครอบคลุมมากขึ้น ว่า “การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น ไม่รวมการใช้วัตถุอื่นกระทำกับอวัยวะเพศของผู้อื่น แต่จะถือเป็นอนาจารที่มีโทษเทียบเท่าการข่มขืนกระทำชำเราแทน”

     สำหรับสังคมในปัจจุบัน สถิติของประเทศที่ผู้หญิงถูกข่มขืน
หรือล่วงละเมิดทางเพศมาก มีการสำรวจหลายครั้ง สถิติที่ผ่านมามีผู้รายงานไว้ เป็นดังนี้

           โหดร้ายมาก!! 10 ประเทศที่ผู้หญิงถูกคุกคามทางเพศมากที่สุด คือเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ

1. ประเทศอัฟกานิสถาน

2. ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

3. ประเทศอิรัก

4. ประเทศเนปาล

5. ประเทศซูดาน

6. ประเทศกัวเตมาลา

7. ประเทศมาลี

8. ประเทศปากีสถาน

9. ประเทศซาอุดีอาระเบีย

10.ประเทศโซมาเลีย

ขอบคุณข้อมูล : toptenthailand

(เรื่องน่ารู้) 10 อันดับประเทศที่มีการข่มขืนมาก

  อรรถาธิบาย

อันดับ 1 ประเทศอัฟกานิสถาน

     มากกว่าครึ่งของผู้หญิงที่ต้องแต่งงานมีอายุต่ำกว่า 16 ปี
และจะมีผู้หญิง 1 คน ที่ต้องเสียชีวิตจากสาเหตุการคลอดบุตร
ในทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง!! โดย 87% ของผู้หญิง มีประสบการณ์ได้
รับความรุนแรงภายในประเทศทั้งสิ้น นอกจากนี้ประเทศอัฟกา
นิสถานยังเป็นประเทศเดียวที่มีอัตราการฆ่าตัวตายของผู้หญิง
สูงกว่าผู้ชายอีกด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกนักเพราะถ้าอยู่ต่อไปก็
เหมือนกับตายทั้งเป็น

 อันดับ 2 ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

     เมื่อประเทศต้องเผชิญหน้ากับสงคราม ผู้หญิงก็จะเหมือนตลกนรกจากการข่มขืน ซึ่งยังถือเป็นความรุนแรงที่ไม่สามารถจะรับได้ ที่มีเหยื่อหลายรายต้องเสียชีวิตลงจากเหตุการณ์เหล่านี้ ถ้าไม่เสียชีวิตก็มักจะติดเชื้อ HIV และต้องตั้งครรภ์เลี้ยงลูกเพียงคนเดียว และที่สำคัญผู้หญิงเหล่านี้ไม่มีโอกาสที่จะหาทางเอาตัวรอดจากการถูกกักขังได้

 อันดับ 3 ประเทศอิรัก

     ก่อนหน้านี้สมัยของ ซัดดัม ฮุนเซน เปรียบเสมือนฝันร้ายของผู้หญิงอิรักเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะโดนทำร้าย กระทำชำเราร้ายแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่หลังจากที่สหรัฐฯ ได้เข้ามาปลดปล่อยอะไรๆ ก็ดีขึ้น แต่!!ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะปัจจุบันก็ยังเสี่ยงต่อการถูกลักพาตัว และการข่มขืน จนทำให้ผู้หญิงกลัวกันอย่างมาก ไม่กล้าออกไปไหนแม้กระทั่งไปทำงาน ทั้งนี้ มีผู้หญิงจำนวนมากกว่า 1 ล้านคนที่ต้องถูกไล่ออกจากงาน และอีกกว่า 1 ล้านคน ที่ไม่มีเงินเพียงพอที่จะใช้ซื้ออาหารมาประทังชีวิต

 อันดับ 4 ประเทศเนปาล

     หลายๆ คนคงยังไม่รู้ว่า 1 ใน 24 คนของผู้หญิงในเนปาล จะต้องเสียชีวิตลงจากการตั้งครรภ์และการตั้งครรภ์เพียงลำพัง เพราะคดีข่มขื่นของที่นี่เกิดกันเป็นว่าเล่น ข่มขืนอย่างเดียวยังไม่พอและยังไม่ป้องกันอีกด้วย ผู้หญิงที่นี่จึงต้องแบกรับภาระและอดีตอันหนักหน่วงไว้เพียงผู้เดียว

  อันดับ 5 ประเทศซูดาน

     ความรุนแรงของประเทศนี้ เห็นได้จากคดีข่มขืนตั้งแต่ในปี 2013 พบว่า เหตุการณ์เหล่านี้ได้ทำลายชีวิตของผู้หญิงมากกว่า 1 ล้านคน แต่ที่สำคัญคือความยุติธรรมของคดีเหล่านี้ยังไม่เพียงพอสำหรับเหยื่อที่เป็นผู้หญิง บางคดีโทษที่ผู้ร้ายได้รับนั้นเทียบไม่ได้ของความเจ็บปวดของเหยื่อเลยสักนิด

 อันดับ 6 ประเทศกัวเตมาลา

     ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รวมทั้งการข่มขืน เป็นปัญหาใหญ่ๆ ของที่นี่ ยังมีสถิติผู้ติดเชื้อ HIV มากเป็นอันดันต้นๆ ของโลก แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือคดีฆาตกรรมผู้หญิงด้วยวิธีอันโหดเหี้ยมจนหลายๆ คนคาดไม่ถึงนับร้อยๆ คดี ที่บางคดีพบว่ามีการทิ้งข้อความสาปแช่งไว้ที่ศพด้วย!!

 อันดับ 7 ประเทศมาลี

     หนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุด จนผู้หญิงบางคนถึงขั้นต้องหลบหนี เพราะจะมีการตัดปุ่มคิตตรอริส เพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์ทางเพศ ซึ่งไม่มีการใช้ยาชาทุกชนิด!! และจะสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก ส่วนใหญ่ผู้หญิงในมาลีจะแต่งงานตั้งแต่อายุน้อยๆ และ 1 ใน 10 จะเสียชีวิตจากการตั้งครรภ์ หรือคลอดบุตร

 อันดับ 8. ประเทศปากีสถาน

     ประเทศที่มีกฎหมายเกี่ยวกับด้านการล่วงละเมิดทางเพศแบบแปลกสุดๆ ที่อนุญาตให้ผู้ชายข่มขื่นผู้หญิงได้ หากคนในครอบครัวฝ่ายหญิงนั้นไปทำร้ายผู้อื่น (ซึ่งฝ่ายหญิงอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย) โดยว่ากันว่าเพื่อเป็นการกู้ศักดิ์ศรีให้แก่วงตระกูลของผู้ที่ถูกครอบครัวฝ่ายหญิงทำร้าย

 อันดับ 9 ประเทศซาอุดีอาระเบีย

     ด้วยความที่ยังเป็นประเทศที่มีสงครามไม่หยุดไม่หย่อน ผู้ชายของประเทศนี้จึง (คิดว่าตัวเอง) เป็นใหญ่ ส่วนสตรีนั้นก็เป็นได้แค่ผู้อยู่ในการปกครอง แม้กระทั่งถ้าแต่งงานไปแล้วญาติของฝ่ายชายก็เป็นผู้ดูแลหญิงคนนี้ไปตลอดชีวิต แต่มีน้อยครอบครัวนักที่จะเลี้ยงดูอย่างดี ส่วนใหญ่มักจะถูกทารุณต่างๆ นานา และหากทำผิดโทษที่ได้รับก็รุนแรงซะเหลือเกิน

 อันดับ 10.ประเทศโซมาเลีย

     ชื่อประเทศคงไม่ค่อยจะคุ้นหูกันเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงข่าวคราวที่เคยเกิดขึ้นของประเทศนี้ก็ดังพอสมควร ที่เคยมีการปาหินใส่ “เด็กผู้หญิง” หลังจากที่เธอถูกข่มขืน แต่อีกฝ่ายอ้างว่าเธอคบชู้!! เท่านั้นยังไม่พอ เพราะที่นี่เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงที่ผู้หญิงจะถูกข่มขืน อันดับต้นๆ ของโลก บางทีผู้หญิงตั้งครรภ์เองก็ยังไม่เว้น

  

         สถิติต่อมา 10 ประเทศที่มีคดีข่มขืนมาก 10 อันดับ

1.ประเทศอเมริกา

2. ประเทศแอฟริกาใต้

3.ประเทศอินเดีย

4.ประเทศสวีเดน

5.ประเทศเยอรมนี

6.สหราชอาณาจักร

7.ประเทศแคนาดา

8.ประเทศฝรั่งเศส

9.ประเทศเอธิโอเปีย

10.ประเทศศรีลังกา

 

อรรถาธิบาย

1. ประเทศอเมริกา

      ประเทศอเมริกามีสถิติที่พบว่า ส่วนใหญ่มีผู้ข่มขืนเป็นจำนวนมากกว่า 90 % ด้วยกัน โดยมีผู้หญิงข่มขืนผู้ชายรวมอยู่ด้วย ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ผู้ชายส่วนหนึ่งเคยพยายามข่มขืนหรือข่มขืนจนเสร็จกิจครั้งหนึ่งในชีวิตมาแล้ว โดยผู้หญิงที่ยังเรียนอยู่ส่วนใหญ่มักจะถูกผู้ชายข่มขืนจนเป็นคดีที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

 

2. ประเทศแอฟริกาใต้

      ถือเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านไม่ดีในเรื่องนี้ จากรายงานพบว่า มีคดีข่มขืนมากกว่า 6 หมื่นกว่าคดี รวมไปถึงการทำทารุณกรรมทางเพศ ซึ่งชื่อเสียงนี้ทำให้ประเทศได้รับฉายาว่า “ประเทศศูนย์กลางการข่มขืนของโลก” ซึ่งรายงานจำนวนมากมีการสอบถามผู้คนต่าง ๆ นานา ซึ่งผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนก็ยอมรับว่า ตัวเองเคยถูกข่มขืนมาก่อน

 

3. ประเทศอินเดีย

          ประเทศอินเดียมีการก่ออาชญากรรมทางเพศสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็นที่น่าตกใจมาก การข่มขืนในประเทศอินเดียถือเป็นเรื่องปกติที่ได้ยินจากข่าวสารอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งมีจำนวนคดีมากกว่า 2 หมื่นกว่าคดี แต่ยังมีรายงานอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้เป็นตัวเลขอย่างเป็นทางการ ซึ่งการข่มขืนมักจะมาจากคนรอบข้างเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง ครอบครัว เพื่อนบ้านหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีการรายงานเหมือนกันว่า จะมีคดีข่มขืนเกิดขึ้นทุก ๆ 22 นาที

 

4. ประเทศสวีเดน

       ประเทศสวีเดนมีการรายงานว่า มีการก่ออาชญากรรมข่มขืนที่สูงมากประเทศหนึ่งในแถบยุโรป จากการรายงานของตำรวจที่สวีเดนพบว่า มีตัวเลขการก่อคดีข่มขืนมากจนน่าตกใจถึง 63 เปอร์เซ็นต์ต่อพลเมืองหลายแสนคน แล้วมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบในแต่ละปี และจากการศึกษาทางยุโรปก็เห็นว่า ประเทศสวีเดนมีอัตราการข่มขืนที่สูงที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป

 

5. ประเทศเยอรมนี

         ประเทศเยอรมันมีการประเมินว่า ผู้หญิงรวมถึงเด็กได้รับความเสียหายจากการถูกข่มขืนหลายล้านคนด้วยกัน ซึ่งประเทศเยอรมันเองก็มีนโยบายเดินหน้าทางด้านเทคโนโลยีมากกว่าที่จะดูปัญหาสิทธิของสตรีที่ทางรัฐบาลไม่คอยจะเหลียวแลเรื่องนี้สักเท่าไร และดูเหมือนนับว่าจะยิ่งมีการก่ออาชญากรรมสูงขึ้นซะด้วยสิ

 

6. สหราชอาณาจักร

            แม้ว่าบ้านเมืองในสหราชอาณาจักรมีการพัฒนาก้าวหน้าไปมากแล้ว แต่ปัญหาการก่ออาชญากรรมข่มขืนก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วย มีรายงานจากสถิติพบว่า การใช้ความรุนแรงทางเพศพบเยอะมากในประเทศอังกฤษกับเวลส์ ซึ่งเฉลี่ยแล้วมีผู้หญิงถูกข่มขืนมากถึง 8 หมื่นคนในทุก ๆ ปี

 

7. ประเทศแคนาดา

     ประเทศแคนาดีเองก็มีรายงานเกี่ยวกับคดีข่มขืนมากอยู่เหมือนกัน มีคดีข่มขืนมากถึง 6 % ของประเทศ มีรายงานออกมาเหมือนกันว่ามีการใช้ความรุนแรงทางเพศมากถึง 6 % จากรายงานของตำรวจ แต่บางแห่งก็พบว่า มีการข่มขืนมากถึง 62 % ด้วยกัน

 

8. ประเทศฝรั่งเศส

      จริง ๆ แล้วประเทศฝรั่งเศสไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการข่มขืน แต่พอมาถึงยุค 80 ซึ่งตอนนั้นได้มีการออกกฎหมายส่งเสริมสิทธิสตรีและคุ้มครองสตรี ทำให้การข่มขืนกลับมามากขึ้น โดยทางรัฐก็แก้เกมโดยการออกกฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศ แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้ผล เพราะจากการศึกษาของทางรัฐบาลพบว่า มีผู้หญิงถูกข่มขืนมากถึง 7 หมื่นคนต่อปี

 

9. ประเทศเอธิโอเปีย

      ประเทศเอธิโอเปียมีอัตราการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงสูงมาก เกือบที่จะสูงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ จากการศึกษาของ UN พบว่า ผู้หญิงประมาณ 60 % ถูกทารุณกรรมทางเพศ ซึ่งปัญหาการข่มขืนถือเป็นปัญหาสำคัญที่ใหญ่หลวงของประเทศ

 10. ประเทศศรีลังกา

        ประเทศศรีลังกาจะมีเหตุการณ์ข่มขืน ซึ่งยังมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วย ปัญหานี้เริ่มมากขึ้นหลังจากที่สงครามกลางเมืองได้ยุติลง จากการศึกษาพบว่า ผู้ชายหลายคนมีแนวโน้มที่จะก่อคดีข่มขืนประมาณ 14 % และยังมีการข่มขืนเป็นกลุ่มถึง 96 % ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวอยู่มากเหมือนกัน

        สถิติในเวลาต่อมา พบว่า อินเดียขึ้นแท่นประเทศที่อันตรายที่สุดในโลกสำหรับผู้หญิงจากการจัดอันดับในรายงานฉบับล่าสุดของมูลนิธิ Thomson Reuters เนื่องจากมีอัตราความเสี่ยงสูงของการประทุษร้ายทางเพศและใช้แรงงานหนัก ขณะที่อัฟกานิสถานและซีเรียซึ่งติดหล่มปัญหาความไม่สงบภายในประเทศตามมาเป็นอันดับ 2 และ 3 ส่วนสหรัฐอเมริกาติดอันดับ 10

        การสำรวจโดยคณะผู้เชี่ยวชาญจำนวน 550 ชีวิต พบว่าอินเดียเป็นชาติที่มีอัตราการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงสูง นอกจากนี้ยังมีปัญหาการบังคับแต่งงาน การใช้ผู้หญิงเป็นทาสทางเพศ และการค้ามนุษย์เพื่อใช้แรงงาน

       ที่ผ่านมาอินเดียมีสถิติการก่อคดีข่มขืนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกและนับวันจะยิ่งเลวร้ายลง โดยเมื่อไม่นานนี้ก็มีคดีข่มขืนเด็กและเยาวชนอายุ 8 และ 16 ปี ซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับประชาชนจนออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ผลักดันปัญหาทารุณกรรมทางเพศเป็นวาระสำคัญของชาติ

        เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประชาชนอินเดียหลายพันคนได้รวมตัวกันประท้วงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายที่เข้มงวดพร้อมบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นเพื่อปกป้องผู้หญิงจากการถูกคุกคามทางเพศ การประท้วงครั้งนั้นมีผู้เข้าร่วมมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดคดีข่มขืนนักศึกษาบนรถประจำทางในกรุงนิวเดลีเมื่อปี 2012

 

      แม้ว่ารัฐสภาอินเดียจะผ่านกฎหมายเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นทั้งการขยายโทษจำคุกและโทษประหารชีวิต แต่สถิติการเกิดคดีความรุนแรงทางเพศยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยวันละ 100 คดีในปัจจุบัน และจากข้อมูลของสำนักงานสถิติปัญหาอาชญากรรมแห่งชาติของอินเดีย พบว่ามีการแจ้งความเรื่องการประทุษร้ายทางเพศผู้หญิงเกือบ 39,000 ครั้งในปี 2016 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 12% จากปีก่อนหน้า

         สำหรับ 10 อันดับแรกของประเทศที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้หญิงในรายงานของ Thomson Reuters ได้แก่

        10 อันดับแรกของประเทศที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้หญิงในรายงานของ Thomson Reuters ได้แก่

1.อินเดีย

2.อัฟกานิสถาน

3.ซีเรีย

4.โซมาเลีย

5.ซาอุดีอาระเบีย

6.ปากีสถาน

7.สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

8.เยเมน

9.ไนจีเรีย

10. สหรัฐอเมริกา

 

   จะเห็นได้ว่า ในสถิติ 3 ครั้ง สหรัฐเมริกา อินเดีย เข้ารอบ 2

ครั้ง ผลัดกันเป็นที่ 1 โดยอเมริกาจากอันดับ 1 มาเป็นอันดับ 10

อินเดียจากอันนดับ 3 มาเป็นอันดับ 1

 ผลสำรวจ 14 ชาติเอเชีย-แปซิฟิก

ประเทศใดปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้หญิง?

          ด้วยรายงานของ เซาท์ไชนา มอร์นิง โพสต์ ถึงผลการสำรวจ กลุ่มที่ปรึกษา แวลู แชมเปียน ในฮ่องกง สำรวจเมืองที่มีความปลอดภัยที่สุดในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก 14 ประเทศ สำหรับผู้หญิง

          คะแนนที่เป็นตัวชี้วัด ได้แก่ ความปลอดภัย สุขภาพและโอกาส โดยอันดับด้านความปลอดภัยจะพิจารณาจากการคุ้มครองทางกฎหมายและคุณภาพชีวิต ส่วนด้านสุขภาพ พิจารณาจากการเข้าถึงบริการด้านการแพทย์และการมีเสรีภาพของผู้หญิงในการวางแผนครอบครัว ขณะที๋โอกาส พิจารณาจากการศึกษาและการมีงานทำของผู้หญิง

       “กระแส แฮชแทก #MeToo แรงไปทั่วโลกและ

การประท้วงมีผู้หญิงเป็นแกนนำต่อต้านการละเมิดทางเพศ และความจริงของคุณภาพชีวิตของผู้หญิงกำลังปรากฏขึ้น” นักวิจัยโครงการสำรวจกล่าวและบอกว่าความรู้สึกปลอดภัยในสถานที่ที่อาศัยอยู่เป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามประเทศใดปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้หญิง

        รายงานวิจัยพบว่าขณะที่สิงคโปร์เป็นประเทศที่ปลอดภัยมากสำหรับผู้หญิง แต่กลับมีคดีลวนลามทางเพศเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ระหว่างปี 2560-2561 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ายังคงมีปัญหาการคุกคามทางเพศอยู่

           ขณะที่ีญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ปลอดภัยในทุกด้าน ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 4 รองจากออสเตรเลีย แต่ก็ยังมีเหตุข่มขืนโดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้รับรายงาน และการเลือกปฏิบัติเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผู้หญิงญี่ปุ่น เนื่องจากเหตุล่วงละเมิดทางเพศร้อยละ 95 ไม่ได้รายงานให้ตำรวจทราบเรื่อง ซึ่งคณะนักวิจัยเชื่อว่าเป็นเพราะผู้หญิงอายหรืออาจโทษตัวเอง

       ส่วนอินโดนีเซียและฟิลิิปปินส์ รวมทั้ง อินเดีย รั้งท้ายตาราง แม้ว่ารัฐบาลประเทศเหล่านี้พยายามปรับปรุงคุณภาพชีิิวิตของผู้หญิงก็ตาม

         แม้อินโดนีเซียมีกฎหมายห้ามข่มขืน การทำร้ายภายในบ้านและความรุนแรงรูปแบบอื่น ๆ แต่จากการสำรวจของรัฐบาลในปี 2559 พบว่าผู้หญิงร้อยละ 33 จากประชากรหญิงอายุระหว่าง 15 -64 หรือประมาณ 26 ล้านคนเคยถูกกระรทำความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ

           ส่วนการกระทำรุนแรงต่อผู้หญิงในอินเดียจุดกระแสประท้วงทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากกรณีข่มขืนหมู่และฆาตกรรมนักศึกษาแพทย์บนรถโดยสารในกรุงนิวเดลี ปี 2555

เหตุข่มขืนในอินเดียทวีความรุนแรงขึ้นทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ นายนเรนทรา โมดิ นายกรัฐมนตรีอินเดียว่าให้ความคุ้มครองผู้หญิงไม่ดีพอ (ปี 2555 มีคดีข่มขืน 24,923 คดีทั่วประเทศ ขณะที่ปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็น 38,900 กว่าคดี)

        ส่วนการวิจัยในปี 2561 จัดทำโดยมูลนิธิธอมป์สัน รอยเตอร์ พบว่าอินเดียเป็นประเทศที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้หญิงหลังจากอยู่ในอันดับที่ 4 จากการวิจัยเดียวกันเมื่อ 7 ปีก่อน

       ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มีพลเมือง 1.3 ล้านคน ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในระดับสูงที่สุด จากคำถามทั้ง 3 หัวข้อ ได้แก่ ความเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อความรุนแรงและล่วงละเมิดทางเพศ อันตรายที่ผู้หญิงต้องเผชิญจากการปฏิบัติทางวัฒนธรรม ชนเผ่า หรือธรรมเนียม และยังเป็นประเทศที่ผู้หญิงตกอยู่ในอันตรายมากที่สุดจากการลักลอบค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงานและการใช้แรงงานเยี่ยงทาสภายในบ้าน

  

สาเหตุที่ผู้หญิงถูกข่มขืนกระทำชำเรา

         สาเหตุของการข่มขืน

           การข่มขืนนั้น ถือว่าเป็นกามวิปริตชนิดหนึ่งจากการศึกษาพบว่าผู้ข่มขืนมักมาจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่น หรือเป็นครอบครัวแตกแยก มีทั้งพวกที่ปัญญาอ่อน และพวกที่ฉลาด

มาก ๆ ก็พบได้และมักจะพบอาการของกามวิปริตอื่น ๆ แอบแฝงอยู่ด้วย เช่น เป็นพวกชอบแอบดูตามห้องน้ำ สนใจเรื่องเพศมากเป็นพิเศษ หรือชอบอวัยวะเพศหรือเป็นพวกซาดิสม์ หรือมีปมด้อยอย่างอื่น ๆ ในจิตใจ

            แรงจูงใจที่ทำให้อยากข่มขืนนั้นมีหลายอย่าง ตั้งแต่กินเหล้าเข้าไปแล้วเกิดความกล้าจนลืมกลัว จนถึงถูกชักจูงให้ไปร่วมขบวนการข่มขืนเป็นหมู่โดยเพื่อนฝูงชวนไป แต่ถ้าหากเป็นคนที่นิยมการข่มขืนจริง ๆ แล้ว มักจะเป็นพวกที่ต้องการจะแสดงความมีอำนาจเหนือคนอื่น หรือแสดงความก้าวร้าวต่อผู้อื่น ซึ่งสิ่งที่เขากระทำนั้นก็คือทำให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่งเจ็บใจ กลัว แค้น แล้วเขาจะรู้สึกว่าเขาเป็นผู้“ชนะ”

           ส่วนการที่มีคนกล่าวว่า ผู้หญิงมาทำท่ายั่วยวนทำให้เกิดการข่มขืนนั้น อาจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ เพราะนักข่มขืนแต่ละคนจะเลือก “พฤติกรรมจูงใจให้ข่มขืน” ไม่เหมือนกัน บางคนจะข่มขืนคนที่ร้องไห้กลัว ในขณะที่บางคนจะข่มขืนคนที่ทำท่าทางโอหัง และชอบใช้กำลังหรือชอบข่มขืนคนที่แต่งตัวยั่วยวน

         นอกจากนี้แล้ว ผู้ทำการข่มขืนเวลาจับได้มักจะบอกว่า
ไปดูหนังเอ็กซ์แล้วเกิดอารมณ์เพศ หรือบอกว่าเห็นภาพแต่งกาย
วับ ๆ แวม ๆ  หรือบอกว่าเมา ขาดสติการยั้งคิดหรือบอกว่า
ผู้หญิงให้ท้ายก็มี แล้วแต่จะหาทางออก

 

          ถ้าจะแบ่งชนิดของนักข่มขืนให้เห็นชัด ๆ  ก็แบ่ง
เป็นสี่อย่างดังต่อไปนี้คือ

 

ประเภทที่ 1 เป็นพวกที่มีจิตใจปกติ แต่จะมีลักษณะของจิตใจที่มีความเป็นเด็กสูงมาก การพัฒนาการทางเพศอาจจะเป็นไปได้ช้า เขาอาจจะเป็นคนกลัวผู้หญิงด้วยซ้ำไป เพราะในชีวิตจริงเขาอาจจะกลัวแม่ ซึ่งก้าวร้าวกับพ่อหรือกับตัวเขา แต่เขาจะมีความต้องการทางเพศตามสัญชาตญาณ เวลาเขากินเหล้าเข้าไป เขาจะเกิดความก้าวร้าวและกล้าทำอะไรต่าง ๆ ที่ตรงข้ามกับชีวิตของเขาได้ ทีเคยอาย ๆ เงียบ ๆ หงิม ๆ ก็กลับกลายเป็นตรงกันข้าม พวกนี้มักจะเป็นนักข่มขืนที่เราคาดไม่ถึง และมักเป็นพวกที่ผู้หญิงอาจจะไว้ใจให้ไปส่งบ้างหรืออยู่ด้วยตามลำพัง เพราะไม่คิดว่าคนที่สุภาพ ๆ เงียบ ๆ อาย ๆ จะกล้าข่มขืนได้ พวกนี้เวลาหายเมาแล้วก็จะรู้ตัวและรู้สึกละอายแก่ใจ แต่เวลาเมาเหล้าอีกก็จะทำอีก มักเป็นพวกติดเหล้า มีชีวิตซึมเศร้า แลดูเหงา ๆ หงอย ๆ สาว ๆ ควรระวังผู้ชายหงิม ๆ พวกนี้ให้ดี

 

ประเภทที่ 2 เป็นพวกซาดิสม์ คือ มีความสุขกับการจะมีเพศสัมพันธ์ เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายหนึ่งเจ็บปวดหรือหวาดกลัว ฉะนั้นเสียงร้องหรือความเจ็บปวดทรมานของผู้หญิง จึงเป็นเครื่องเร้าใจให้เขามีความต้องการทางเพศมากขึ้น พวกนี้มาจากครอบครัวแตกแยกหรือโหดร้าย พ่อติดเหล้า หรือเจ้าชู้ มีหลายเมีย เด็กจะเกลียดทั้งพ่อและแม่ เพราะเขาไม่เคยได้รับความสุขมาก่อน เขาจึงพอใจจะเห็นคนอื่นได้รับความทุกข์เช่นเดียวกับเขา นักข่มขืนพวกนี้อาจจะฆ่าผู้หญิงหลังข่มขืนแล้วก็ได้

 

ประเภทที่ 3 เป็นพวกต่อต้านสังคม หรืออันธพาล พวกนี้จะออกรวมกลุ่มข่มขืนเป็นหมู่ อย่างที่เรียกว่าลงแขกหรือข่มขืนเดี่ยว ๆ ก็ได้ แต่ในจิตใจของเขาจะมีความรู้สึกต่อต้านกับกฎเกณฑ์ของสังคมอยู่เรื่อย ๆ แม้แต่การต่อต้านทางกฎหมาย มักมาจากครอบครัวที่ไม่เป็นสุข ครอบครัวแตกแยก มองเห็นความไม่เป็นธรรมในสังคม หรือในครอบครัวตั้งแต่เด็ก ๆ และ คิดอยากตั้งสังคมใหม่ หรือต่อต้านไปเลย บางคนทำตัวเป็นหัวหน้า อยากเป็นใหญ่เป็นโต บุคคลเหล่านี้แม้จะได้รับการลงโทษเพียงไร ก็แก้ไขปรับปรุงได้ยาก และหลาย ๆ คนเป็นคนที่ฉลาดมากทั้งในการศึกษาหรือการแสดงพฤติกรรมต่อสังคม ภายนอกอาจจะแลดูสุภาพ อ่อนน้อม แต่จิตใจเต็มไปด้วยความอิจฉาคนอื่น และเคียดแค้นสังคม หรือบางรายจะแสดงกิริยาก้าวร้าวและดูถูกคนอื่น ๆ ในเชิงอิจฉา หรือต่อต้านอย่างชัดแจ้งก็ได้

 

ประเภทที่ 4 เป็นพวกคนไข้โรคจิต ทำไปด้วยความไม่รู้ตัว อาจมีประสาทหลอน หรือหูแว่ว ได้ยินเสียงสั่งให้ข่มขืน หรือมีความผิดปกติทางด้านความคิด ซึ่งคิดผิด ๆ พวกนี้เป็นพวกที่ต้องการการรักษาทางจิตเวช ซึ่งได้ผลโดยการใช้ยาอย่างถูกต้องจากจิตแพทย์

        อย่างไรก็ตาม การถูกข่มขืนเป็นพฤติกรรมที่ทารุณและโหดร้ายมากสำหรับผู้หญิงผู้เคราะห์ร้าย ไม่ว่าจะถูกข่มขืนโดยคนที่ป่วยทางจิตหรือพวกที่มี “บาดแผลทางใจ” ชนิดใดก็ตาม นอกเหนือจากการลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งควรจะจริงจังและรุนแรงแล้ว การที่จะให้พ่อแม่ตระหนักถึงความสำคัญในการอบรมเลี้ยงดู ให้ความรักและความอบอุ่นแก่ลูกนั้น จะเป็นการช่วยลดอัตราของผู้ที่จะเป็น “นักข่มขืน” ลงได้บ้าง

 

แนวทางการป้องกันการถูกข่มขืน

          จากข้อมูลผลวิจัยที่ถามนักโทษข่มขืน 100 คน เป็นภัยสังคมที่เกิดขึ้นเมื่อไรก็รู้สึกสะเทือนใจทุกครั้ง สําหรับ "เหตุการณ์ข่มขืน" ที่ปัจจุบันมีข่าวออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้หญิงสาวจะระมัดระวังตัวขนาดไหน แต่บางครั้งก็พลาดท่าเสียทีพวกโจรเหล่านั้นแบบไม่คาดคิด... ทั้งนี้ปัจจัยของเหตุการณ์ดังกล่าวมีอยู่มากมาย บ้างก็เป็นเพราะคนร้ายดื่มสุราของมึนเมาบ้างก็เสพยาเสพติด หรือบ้างก็เป็นเพราะเกิดความใคร่ แต่เคยสงสัยกันไหมว่า คนร้ายเลือกลักษณะ ่เหยื่อที่จะลงมือข่มขืนอยางไร.. แล้วสถานการณ์่ไหน สถานที่ใด ที่เสี่ยงต่อการเกิดเหตุข่มขืนมาก

ที่สุด ??

          วันนี้ขอนําบทความของคุณ JirazPipatwasin ที่ได้รวบรวมไอเดียในการเอาตัวรอดสําหรับผู้หญิง และข้อมูลจากผลวิจัยที่ถามนักโทษข่มขืน 100 คนว่าพวกเขาเลือกเหยื่ออยางไร นักโทษข่มขืน 100 คนเลือกเหยื่อยังไง

          ในสภาพสังคมที่เราไม่สามารถควบคุมให้สื่อลดความรุนแรงทางการยั่วยุให้เกิดอารมณ์ทางเพศ หลายสื่อเองก็เห็นแก่เรตติ้งมากกว่าสังคมจน กลายเป็นเรื่องปกติ อาจไม่มีประโยชน์เมื่อเรามาเรียกร้องความยุติธรรมภายหลังเกิดเหตุ ผู้หญิงจึงควรจะเรียนรู้และรู้จักดูแลตัวเอง ไม่ทําให้ตัวเองตกอยูในภาวะความเสี่ยง ไปไหนมาไหน ไม่ควรไปคนเดียว โดยเฉพาะที่เปลี่ยว ตรอก ซอกซอย ไม่แต่งกายล่อแหลม ก็อาจจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง

        การเลือกเหยื่อข่มขืนของนักโทษผู้ก่อคดีข่มขืน ซึ่ง      นางสาวอลิสา แสงขํา นักศึกษาปริญญาโท นิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาลตร์ ภาควิชาอาชญาวิทยา เก็บข้อมูลจากนักโทษข้อหาข่มขืนจากคุกบางขวางและลาดยาว จำนวน 100 คนพบวา การเลือกเหยื่อของนักโทษ เป็น ดังนี้

        อันดับหนึ่ง เดินทางคนเดียว  99%

        ผู้หญิงคือสัญลักษณ์แห่งความอ่อนแอ ต่อให้เพื่อนเธอเอ่ย

ปากชมว่าเป็นหญิงแกร่ง ก็แพ้แรงผู้ชายไม่ได้ ดังนั้น การอยู่

คนเดียว การเดินทางเปลี่ยวคนเดียว จึงอยู่ในสายตาของโจรหรือ

ผู้จ้องจะข่มขืน ฉะนั้น เวลาจะไปไหนมาไหน ควรหาเพื่อนไปด้วยแม้ว่าจะเป็นเวลากลางวันก็ตาม

        อันดับ 2 เดินทางกลางคืน 96%

       เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทางเพศตอนกลางคืน

โดยไม่คำนึงว่าต้องเป็นผู้หญิงสวยหรือหุ่นดี ขอให้มีเพียงอย่างใด

อย่างหนึ่งก็พอ มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งให้ข้อมูลว่า หากเวลานั้นเป็นเวลาที่เขาต้องการปลดปล่อยแล้ว 

เขาไม่เลือก ที่ตรงไหน

มืด ๆ ก็เป็นจุดอันตรายสำหรับผู้หญิง

       อันดับ 3 ผู้หญิงผมยาว  96%

       ผู้หญิงผมยาวถือว่าเป็นเสน่ห์ของหญิง (แม้ในเบญจกัลยาณี

หรือผู้หญิงสวยงาม 5 ประการ หนึ่งหละคือผู้หญิงยมยาว) เพราะ

ฉะนั้น ผมเผ้าที่ยาวสลวย เป็นสิ่งดึงดูดใจชายแถมกระซากง่าย

หลุดรอดจากเงื่อมมืออสูรได้ยาก

       อันดับ 4 ใส่เสื้อผ้าถอดง่าย 87%

       ขึ้นชื่อว่าโจรผู้กระทำการชั่วร้าย คงไม่ต้องการเวลาที่มากมายหรอก เพราะมันเสี่ยงต่อการถูกจับได้ 

ฉะนั้น การใส่กระโปรงสั้น ๆ ก็ดี หรือเสื้อผ้าที่จะทำให้ถอดง่ายก็ดี แถมเป็น

สิ่งยั่วตายั่วใจแล้ว ยังทำให้ง่ายต่อการปฏิบัติการด้วย ให้ระวังให้ดี

 

         อันดับ 5 คุยโทรศัพท์ตอนเดิน 84%

         เพราะอะไร  เพราะเราไม่ระวังตัวเอง พูดโทรศัพท์ไป

เดินไปหารู้ไม่ว่า มีโจรใจบาปกำลังจะมาทำร้ายเรา เพราะฉะนั้น

เวลาเดินโทรศัพท์ก็ให้ดูหน้าดูหลังด้วย อย่าคุยจนเพลิน

 

       อันดับ 6 พกอุปกรณ์เสริมสวยที่อันตราย 80%

       ผู้หญิงเราชอบสวยชอบงามอยู่แล้ว หลายคนต้องพกเครื่อง

เสริมสวยไปด้วย เช่น หวี กุญแจ กระจก จะกลายเป็นสิ่งของที่

ดึงดูดโจรให้เข้ามาหาเรา เพราะพวกเขาเหล่านั้นมองว่าสิ่งเหล่านี้

เป็นอาวุธให้เขา เช่น กุญแจ ถ้าโจรแย่งชิงไปอาจกลายเป็น

สนับมือก็ได้

 

ทำอย่างไรจึงจะทำให้คดีข่มขืนกระทำชำเราหมดไป?

       คดีข่มขืน คงไม่หมดไปได้หรอกถ้าตราบใดคนเรายังมี

กิเลสตัณหา ราคะความกำหนัดอยู่ การที่จะทำให้คดีข่มขืน

หมดไป หัวใจสำคัญคือ ความตระหนักของชายนั้นเอง คือ

คนเราทุกคน ต่างก็มีตัณหา ความกำหนัดด้วยกันทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ผู้หญิงสาว หรือไม่สาว จะไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น

เพราะพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงหยั่งรู้ดีในเรื่องนี้ จึงทรงห้าม

มิให้ภิกษุอยู่สองต่อสองกับหญิง ไม่ว่าในที่ลับตาหรือที่ลับหู

ก็ตาม เพราะฉะนั้น การที่จะป้องกันการข่มขืนได้ดี หรือ

การที่จะทำให้คดีข่มขืนกระทำชำเราหมดไป คือ ชายต้อง

รู้จักยับยั้งใจตนเองได้ ข่มใจตนเองได้ มีสติระลึกได้ และ

สัมปชัญญะ รู้ตัวเสมอว่า เรากำลังจะทำอะไร ดีหรือชั่ว

ควรหรือไม่ควร

     อย่างไรก็ตามวิธีคลายกำหนัด คือจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ
จิตไม่มีราคะก็ให้รู้ว่าจิตไม่มีราคะ ต้องใช้สติกำหนดรู้ รู้แล้วทำอย่างไร ให้รู้ว่าราคะเป็นอย่างไร ไม่ใช่รู้แล้วไประบายความใคร่กับใคร ๆ หรือไปละเมิดใคร ๆ ไม่ถูกต้อง รู้แล้วต้องหาวิธีว่าราคะเป็นอย่างไร ให้เห็นราคะให้ทะลุปรุโปร่ง ทำให้จิตเบื่อหน่ายในราคะแล้วจิตก็จะคลายกำหนัด วิธีคือพิจารณาสติปัฏฐาน 4 เดินเกิดราคะก็รู้ นั่งเกิดราคะก็รู้ ยืนเกิดราคะก็รู้นอนเกิดราคะก็รู้ หายใจเข้าเกิดราคะก็รู้ หายใจออกเกิดราคะก็รู้ราคะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเมื่อไหร่ก็รู้ รู้แล้วทำอย่างไร ไม่ใช่ให้ไประบายความใคร่ รู้แล้วให้ศึกษาว่าราคะเกิดขึ้น จิตมีอารมณ์อย่างไร กายเป็นอย่างไร อะไรที่ทรมานใจ อะไรที่ทรมานกายทรมานใจ ตายไหมทรมานกายตายไหม

       เนื่องจากความต้องการทางเพศ เป็นธรรมชาติของคนไม่ว่าชายหรือหญิง ทางออกคือการรู้จักวิธีช่วยเหลือตนเองในทางที่ถูกที่ควร การหาเวลาทำกิจกรรม เช่น ออกกำลังกายนั่งสมาธิ การไม่หมกหมุ่นกับการดูหนังเอ็กซ์  ให้กิน ดู อยู่ ฟัง เป็น ฉลาดทางอารมณ์ และเฉียบคมทางปัญญา ความมีเมตตา กรุณา เอาใจเขามาใส่ใจเรา เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น

     ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงก็ควรระมัดระวังในเรื่องการไปไหนมาไหนควรมีเพื่อนไปด้วย การแต่งกาย ไม่ส่อไปในทางยั่วยุ ล่อแหลมให้ชายมีจิตกำเริบเฉิบฉาน ไม่ควรนั่งไกล่เท้า หรือนุ่งกระโปรงสั้นเลยเข่า เพราะเวลานั่งเก้าอี้อาจดูไม่เหมาะสม หรือไม่ก็ควรระมัดระวังตนเสมอ ก็จะช่วยได้ คดีข่มขืนก็จะไม่มี

 

วิธีป้องกันตัวหากโดนลากเข้าข้างทาง

       1. ร้อยละ 90 ผู้หญิงหมดสิทธิ์ในการใช้ศิลปะป้องกนตัว เพราะคนร้ายจะซุ้มรอทีเผลอที่โดนบ่อย ๆ คือล็อกแขนไขว้หลัง มืออุดปากแล้วกระชากหรือลากเข้าข้างทาง ถ้าคนร้ายเตรียมตัวมาดี ก็จะมีอาวุธจี้ไม่ให้เหยื่อขัดขืน แน่นอนว่าน้อยคนที่เห็นมีด ปืนแล้วจะกล้าใช้วิชาที่เรียนมา

      2. เมื่อโดนลากเข้าข้างทาง คุณก็จะโดนต่อยท้องเพื่อให้จุกจนไม่มีแรงดิ้นและตบปากหรือต่อยหน้าเพื่อให้ กลัว, เจ็บหรือกึ่ง ๆ หมดสติ จากนั้นถ้าคนร้ายหื่นแบบชาญฉลาดก็จะหาของมาอุดปากคุณไว้ ถ้าคุณนุ่งกระโปรงมา มันอาจถอดกางเกงในมาอุดปาก ซวยแท้ ๆ

       3. เมื่อคนร้ายเห็นคุณไม่มีแรงดิ้น ก็จะทําการถลกส่วนล่างคุณออกโดยท่าที่นิยมคือการนั่งคร่อมเอว เอาเข่ากดแขนส่วนบนคุณไว้ทําให้ไม่มีแรงมากพอจะผลักแถมยังจุกอยูอีกต่างหาก

       4. จากนั้นเมื่อฐานยิงโล่งโจ้ง คนร้ายก็จะงัดจรวดออกมาเตรียมปฏิบัติการ จังหวะนี้ถ้าคุณโชคดียังมีสติอยูให้พยายามเซฟแรงไว้รอข้อต่อไป

        5. เมื่อคนร้ายพยายามสอดใส่ ให้คุณรวบรวมพลังที่มี “ขมิบ” ไว้ครับ ตะบองแข็งหรือจะสู้แรงโล่เนื้อ คนร้ายก็จะเริ่มเสียสมาธิเพราะจ้องจะลงรู อยางเดียว ให้คุณอาศัยจังหวะนี้ซึ่งคนร้ายมักจะเผลอลืม กดแขนให้คว้าลูกป๋องแป๋งเลยครับโดนลูกเดียวไม่เป็นไร อย่าตกใจปล่อยมือเพื่อกำใหม่ให้ได้ 2 ลูกจากนั้นนบีบให้เต็มที่เลยเอาเล็บจิกด้วยยิงดี ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครคิดจะฆ่าคุณในตอนนี้หรอก รับรองร้องเสียงหลง ครวญครางจน ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง

   6. หลังจากนั้น อย่าเพิ่งคิดหนีให้พิจารณาดูคนร้ายให้ดีก่อน ประเมินสถานการณ์ว่าที่เราทําไปหยุดมันได้หรือยัง ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ตายตอนโดนข่มขืน แต่จะมาตายตอนนี้แหละ เพราะจะหนีอยางเดียว ตัวเองก็วิ่งไม่ไหว คนร้ายก็ยังลุกขึ้นมาตามทุบหัวเอาจนได้ ดังนั้นหากเห็นวาคนร้ายหมดสภาพแน่ ๆ และชุมชนอยูไม่่ไกลจึงค่อยวิ่งหนีและร้องตะโกนให้คนช่วย

         7. ทีนี้ถ้าคนร้ายแค่เสียจังหวะ คืออาจจะลงไปนอนงอก่องอขิงอยูแป๊บเดียวและมีทีท่าจะลุกขึ้นมา สิ่งที่คุณต้องทำคือรีบหาอาวุธให้เร็วที่สุด เช่น ไม้ ก้อนหิน ปากกา คัตเตอร์ ้สเปรย์ ปืน ฯ ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็ ส้นตีนเรานี่แหละถีบเข้าไปที่บริเวณที่จุดตาย  (สองลูกนั่นแหละ) แต่ส่วนใหญ่จะทำไม่ได้เพราะคนร้ายมักจะกุมไว้ หน้าแข้งหรือกลางแสกหน้าคนตัวโต ๆ ตาย เพราะส้นตีนผู้หญิง ๆ มีเยอะ ยิงใส่ส้นสูงด้วย กกหู ขมับทุบรัว ๆ เลยครับ (ไม่แนะนำท้ายทอยหรือคาง เพราะโดนยาก) ถ้ามีก้อนหินก้อนโต ๆ ทุบกลางหน้าแข้งเลยครับ รับรองเดี้ยง ร้องลั่น ที่สุดท้ายอาจจะโหดหน่อยแต่ถ้าทำได้เวิร์คแน่นอน ทุบ "นิ้วเท้า" โดยเฉพาะนิ้วเล็ก ๆ ตั้งแต่นิ้วกลางถึงนิ้วก้อย ทุบผัวะเข้าไปอยา่ใจอ่อน เอาให้เละไปเลย ถ้าทำดีคนร้ายอาจจะเจ็บถึงสลบ…จากนั้นรีบจัดเครื่องแต่งกาย คว้าสิ่งของมีค่าวิงให้เร็วที่สุด ก็คงจะรอดแล้วเจ้าข้าเอ้ย..ไปก่อนเด้ออ้ายโจรใจชั่วใจบาป....

          ท้ายสุดขอให้ทุกท่านจงสุขกาย สุขใจ มีเงินใช้ไม่ขาดมือปลอดจากโรคร้าย โดยเฉพาะเชื้อไวรัสโควิด-19 ตลอดไปจนทุกภพทุกชาติ เทอญ.

 

แหล่งข้อมูล

https://bit.ly/3nUOp8c

https://www.prachachat.net/world-news/news-298852

https://www.prachachat.net/world-news/news-298852

https://www.matichon.co.th/lifestyle/social-women/news_2864350

https://thestandard.co/india-dangerous-country-women-survey/

https://themomentum.co/rape-culture-in-india/

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9590000008454

https://www.winnews.tv/news/1372

https://pantip.com/topic/35490292

https://bit.ly/3AwlrPc

https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/causes_of_rape/index.html

https://www.naboncity.go.th/datacenter/doc_download/a_140717_104312.pdf

https://today.line.me/th/v2/article/NL7ekG

 

 

หมายเลขบันทึก: 692560เขียนเมื่อ 23 กันยายน 2021 02:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 กันยายน 2021 02:08 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท