จากนั้นคณะของเราก็เดินทางต่อ โดยมีจุดมุ่งหมายที่ ศูนย์หนังสือจุฬา เพื่อหาอาหารสมอง เพราะอาหารท้องเต็มแล้วจากเมนูของคุณพี่จุ๋ม (คุณสมพิศ ไม้เรียง) พร้อม ๆ กับเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องสมุนไพรจากเจ้าแม่กรมวิชาการเกษตรคนนี้ ที่ทดลองปลูกเพื่อทำวิจัยอยู่ที่สวนป่าครูบาสุทธินันท์ และสมุนไพรบางตัวนำมาใช้กับการเลี้ยงสัตว์ เช่น ฟ้าทะลายโจร นำมาผสมในอาหารไก่ อาหารนกกระจอกเทศ เป็ด ในอัตราส่วนที่กำหนดสามารถรักษาโรคหวัดในสัตว์ปีกเหล่านี้ได้ เป็นต้น พอมาถึงขั้นนี้เราเองต้องจัดการความรู้ในการเลือกซื้อหนังสือเช่นกัน เล่มใดที่ใช้ร่วมกัน ก็ซื้อเล่มเดียว ถ้าต่างกันก็ซื้อเพิ่ม สุดท้ายก็บ้าหอบกันคนละหลายเล่ม กลับที่พักต่างคนก็ต่างหามุมให้กับตัวเอง
เช้าวันที่ 20 ธันวาคม 2549 คณะของเราได้เข้าร่วมประชุมกับทีมทำงานของอาจารย์หมอวิจารณ์ พานิช เป็นการประชุมที่เรียกว่า Weekly Meetting โดยใช้ KM ในชีวิต การประชุมเป็นการประชุมที่มีชีวิตชีวา เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน มีกระบวนการเป็นแบบความร่วมมือ
ผู้ที่เข้าประชุมทุกคนต้องมีส่วนร่วมทั้งนำเสนองานที่ตนเองรับผิดชอบ ที่นำมาเผยแพร่ให้ผู้เข้าร่วมประชุมรับรู้ และเข้าใจ พร้อมกับมีส่วนร่วมในการเสนอแนะ หรือแสดงความคิดเห็นในงานที่คนอื่นนำเสนอได้ด้วย นั่นคือ ทุกคนต่างทำงานคนละอย่าง รับผิดชอบคนละเรื่อง แต่ทุกคนเรียนรู้งาน สร้างงานให้เชื่อมโยงกันเป็นสายใย นั่นคืองานทุกอย่าง ทุกเรื่อง ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการสร้าง ออกแบบ และนำไปสู่การปฏิบัติของภาระกิจนั้น ๆ
ผู้ติดตามรับผิดชอบต้องนำผลของงานมาสรุปรวมให้ทุกคนได้วิเคราะห์ประเด็นร่วมกัน หากมีปัญหาก็จะได้ช่วยกันหาจุดที่ต้องแก้ไข วิเคราะห์หาสาเหตุและประเด็น เพื่อพัฒนางานให้สมบูรณ์ขึ้นมาได้ หากเป็นความสำเร็จทุกคนก็รับความสุขแห่งความสำเร็จนั้นร่วมกัน ทุกงานต้องผ่านการนำเสนอในที่ประชุม นี่ก็เป็นความประทับใจอีกประการหนึ่งที่ยากจะลืม และขออนุญาตนำวิธีการมาใช้ในการทำงานที่มหาชีวาลัยด้วยนะคะ
หลังจากนั้นไปรับประทานอาหารกลางวันกัน เมนูวันนี้เป็นเป็ด คนแน่นขนัดทำให้เราเป็นงงอีกครั้งกับอาหารจานเด็ด เมนูเป็ด เป็ด มีทั้งต้มยำ อบ พะโล้ แต่ก็เป็นเมนูจากเป็ดเท่านั้น เอ๊ะรสชาดก็สุดยอดของความอร่อยทุกรายการ หันไปมองดูเจ้าของร้าน ที่เป็นทั้งแม่ครัวเอง แล้วยังเป็นบริกรเดินโต๊ะเอง แถมทุกคนที่ทำงานช่วยกันอยู่ตรงนั้นดูวี่แววแล้วน่าจะเป็นเจ้าของร้านด้วยกันทุกคน อายุแต่ละคนคงไม่น้อยกว่า 50 ปี
รับประทานไป คิดไปว่าการที่เราจะทำอะไรให้ได้ดีนั้น เราต้องเริ่มต้นจัดการความรู้กับสิ่งที่เราต้องทำก่อน เราต้องมีใจรักที่จะทำก่อน ต้องลงมือทำด้วยตนเองก่อนที่จะจ้างคนอื่นทำ เพื่อสั่งสมประสบการณ์ ต้องสนุกมีชีวิตชีวากับงานที่ทำ คิดว่างานที่ทำคือชีวิต สิ่งเหล่านี้จะเป็นการการันตีฝีมือในการทำกิจกรรมนั้น ๆ ของเราได้ดีนั่นเอง
ก่อนเดินทางกลับบุรีรัมย์ในตอนเย็นวันนั้นเราได้เจอกับคนคุ้นเคยของเรา สอง คนคือ อาจารย์ ดร.นฤมล จาก สมศ. และ อาจารย์ กรรณิการ์ จากคุรุสภา จากการพูดคุยทำให้เห็นว่าทุกองค์กรทุกหน่วยงานไม่ว่าจะภาครัฐหรือเอกชนต่างมุ่งหวังที่จะนำการจัดการความรู้เข้าไปประยุกต์ใช้ในองค์กรและหน่วยงาน แต่ก็ยังติดอยู่กับระบบคิด หรือวิธีคิดของบุคลากรในหน่วยงานนั้น ๆ อยู่
และสิ่งที่ต้องให้คิดเพิ่มคือ คนที่เข้าสู่กระบวนการ KM จะมองเห็นศักยภาพของคนอื่นเพิ่มขึ้น แทนที่จะมองเห็นศักยภาพของตนเองด้านเดียว ซึ่งในสังคมสมัยใหม่ที่ซับซ้อนที่มีผู้คนติดอยู่ในโครงสร้างทางสังคมที่แน่นหนา เป็นการยากมากที่จะทำให้บุคคลจะเกิดจิตสำนึกใหม่โดยการสั่งสอนหรือดุด่า แต่การร่วมมือกันจะทำให้ทำงานได้สำเร็จนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงร่วมกัน สุดท้ายที่สุดเราเดินทางกลับบุรีรัมย์โดยปล่อยเกาะคุณครูใหญ๋ของเราไว้ที่กรุงเทพฯ
ขอเป็นกำลังใจครับ
กระบวนการ KM มีพลังในกระบวนการพัฒนา
ต้องเข้าใจ แล้วจะเสริมพลังครับ
ขอบคุณครับ
อุทัย
อาจารย์แสวงคะ ติดแน่นในหัวใจเลยทีเดียวค่ะ
อาจารย์อุทัยคะยังคิดฮอดอยู่เด้อ ห้องเย็นของเจ้าพ่อKM นะคะ (แซว)