สหประชาชาติ (UN) ได้กราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกล่าวสุนทรพจน์เล่าถึงประสบการณ์ความสำเร็จในการดำเนินงาน “โครงการอาหารกลางวัน” และ “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน”


สหประชาชาติ (UN) ได้กราบบังคมทูลเชิญ

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงกล่าวสุนทรพจน์เล่าถึงประสบการณ์ความสำเร็จในการดำเนินงาน “โครงการอาหารกลางวัน” และ “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน” ของประเทศไทย ผ่านระบบการประชุมทางไกล

ในที่ประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก (Pre-summit of the UN Food Systems Summit) ซึ่งมีผู้นำประเทศ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเกษตรและอาหาร กว่า 140 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกล่าวต่อที่ประชุมว่า

...ได้ทรงงาน “โครงการอาหารกลางวัน” และ “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน” มากว่า 40 ปี เพราะโรงเรียนเป็นศูนย์กลางของชุมชนและศูนย์กลางของการเรียนรู้ และโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งการพัฒนาด้าน อาหาร สุขภาพ และการศึกษา เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

โดยเมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา พระองค์ท่านเริ่มโครงการในพื้นที่ทุรกันดาร โดยจัดหาเมล็ดพันธุ์ผัก เมล็ดถั่ว กล้าไม้ผล และพันธุ์สัตว์ต่างๆ เช่น สัตว์ปีก ปศุสัตว์ สุกร แพะ และปลา มอบให้แก่โรงเรียน

มีการส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้การอนุรักษ์น้ำและดิน มีการใช้สารชีวภาพในการควบคุมและกำจัดศัตรูพืชด้วยตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติในแปลงเกษตรของโรงเรียน เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีอันตราย

ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการบูรณาการความรู้จากหลายวิชาเข้าด้วยกัน และยังสามารถขายผลผลิตจากแปลงเกษตรของโรงเรียนให้กับโรงอาหารของโรงเรียนในรูปแบบของระบบสหกรณ์อีกด้วย

“โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน” เป็นแบบต้นแบบของการบริโภคอย่างยั่งยืนในปัจจุบัน เพราะทุกคนได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและสุขภาพ ในครัวของโรงเรียน ครู นักเรียน และผู้ปกครอง จะได้เรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ของ อาหาร โภชนาการ และสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ

หากผลผลิตทางการเกษตรในโรงเรียนผลิตไม่เพียงพอสำหรับนักเรียน โรงเรียนก็จะจัดซื้อวัตถุดิบภายในหมู่บ้านมาใช้ทำอาหาร ในส่วนของห้องพยาบาลของโรงเรียน ครู และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จะสอนให้นักเรียนเข้าใจถึงสุขภาพ การสุขาภิบาล อาหารที่สะอาด น้ำดื่มที่สะอาด การล้างมือ สภาพแวดล้อมที่สะอาด

นอกจากนี้ห้องพยาบาลในโรงเรียน จะให้วิตามินและแร่ธาตุเสริมแก่เด็กนักเรียน เช่น วิตามินรวม ไอโอดีน และธาตุเหล็กด้วย

การตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทั้งวัฒนธรรมระดับท้องถิ่นและระดับชาติเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้จะเชื่อมโยงสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจในระยะยาว

โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 สะท้อนให้เห็นว่าระบบสาธารณสุขและโภชนาการมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ผลจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดทำให้ต้องประกาศปิดสถานศึกษา ดังนั้น จึงต้องย้ายการศึกษาจากโรงเรียนไปสู่ครัวเรือนและชุมชน เพื่อที่จะสามารถให้การศึกษาเด็กได้อย่างต่อเนื่องมากที่สุด...

กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงเน้นย้ำถึงความสำคัญของบทบาทโรงเรียนในระบบอาหารว่า

...ในมุมมองของข้าพเจ้าประเทศไทยก็มีศักยภาพเทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ ที่โรงเรียนเป็นสถานที่ที่ให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เปรียบเสมือนศูนย์กลางของสมาชิกในชุมชน

ดังนั้น โรงเรียนจึงเหมาะกับเป็นสถานที่สำหรับการพัฒนาด้านอาหาร สุขภาพ และการศึกษา เพื่อให้บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน...

สุดท้าย กรมสมเด็จพระเทพ ฯ ทรงกล่าวว่า “หากเราช่วยเหลือแบ่งปันและห่วงใยกัน เราจะสามรถผ่านทุกปัญหาไปด้วยกัน

พีระพงศ์ วาระเสน บ๊อบบี้ ............ ผู้บันทึก
นักวิชาการ การสหกรณ์ ด้วยหัวใจ ❤️
วันศุกร์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๔

นำมาจาก Web page : เรารักกรมสมเด็จพระเทพรัตนฯ Our Beloved HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=350365453130811&id=100044720760918

ขอขอบคุณ GotoKnow ที่ได้กรุณาให้พื้นที่บันทึกประวัติศาสตร์อันดีงาม  ไว้ให้ลูกหลานไทย 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท