ชีวิตของผมตอนนี้ หมกมุ่นอยู่กับความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เข้าไปพัวพันกับงานของ กสศ. ในหลายมุม เห็นได้ชัดว่า ความไม่เสมอภาคหรือความเหลื่อมล้ำ มีความซับซ้อน (complexity) สูงมาก ไม่ว่าความเหลื่อมล้ำด้านใด การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจึงเป็นการทำงานในสภาพที่มีความซับซ้อนสูงมาก
เพราะได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการชี้ทิศทางของโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง จึงได้โอกาสเรียนรู้มิติต่างๆ ของความซับซ้อน ที่เป็นการเรียนรู้จากการสัมผัสจริง แล้วสรุปเอาจากการใคร่ครวญสะท้อนคิด
กสศ. ลงทุนดำเนินโครงการนำร่อง (pilot project) เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับใช้ขยายผลไปยังระบบใหญ่ เป็นโครงการขนาดใหญ่ ดำเนินการหลายปี โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเองเป็นหนึ่งในโครงการเหล่านั้น ใช้เงินทั้งโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง เวลา ๓ ๑/๒ ปี หลายร้อยล้านบาท เพื่อทดลองแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในหลากหลายมิติ
ผมค่อยๆ เรียนรู้ว่า ความเป็น “โครงการ” อาจอยู่ในสภาพ “เส้นผมบังภูเขา” คือ “โครงการ” บังเป้าหมายใหญ่ คือการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องต่างก็มุ่งมั่นทำให้โครงการสำเร็จ หาวิธีเอาชนะอุปสรรคความยากลำบากต่างๆ ที่เรียงหน้าเข้ามา เพื่อทำให้โครงการทั้งหมดประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของโครงการ
ผมมองต่างจากผู้เกี่ยวข้องในโครงการโดยทั่วไป คือผมมองว่าโครงการเป็น “เครื่องมือ” (means) ให้เราเข้าไปเผชิญความซับซ้อนของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพื่อค้นหาช่องทางสู่ “เป้าหมาย” (end) คือการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ในระหว่างที่ดำเนินโครงการกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น หากจิตใจของเรามุ่งอยู่ที่ผลสำเร็จของโครงการเท่านั้น เราก็จะมองเลยความสำเร็จเล็กๆ ที่ “ผุดบังเกิด” (emerge) ขึ้นระหว่างทาง ที่หากจับตัวได้ ทำความเข้าใจความหมายของมันต่อเป้าหมายใหญ่ (ความเสมอภาคทางการศึกษา) ได้ชัดเจน และดำเนินการขยายผลจาก “สะเก็ดหรือหน่ออ่อนของความสำเร็จ” ที่ผุดบังเกิดนั้น ก็จะเป็นลู่ทางสร้างชิ้นส่วนของความสำเร็จตามเป้าหมายใหญ่
ในกรณีโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง เราไปหนุนให้โรงเรียนขนาดกลางในชนบท ที่นักเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกคนจน คนด้อยโอกาส (จำนวน ๗๒๗ โรงเรียน) ให้มีความสามารถจัดการเรียนรู้ยกระดับ CLO – Core Learning Outcome ให้ได้ตามมาตรฐาน ทำมา ๒ ปี พบว่ามีโรงเรียนจำนวนหนึ่งยกระดับคุณภาพขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์ ซึ่งผมเดาว่ามีไม่มากนัก ผมมองว่า โรงเรียนเหล่านั้นเป็นกรณีตัวอย่างของ emergence ที่เอามาใช้เป็นคานงัดเปลี่ยนแปลงระบบใหญ่ได้
นี่คือตัวอย่างความซับซ้อนของวิธีคิด และความซับซ้อนของการดำเนินการในเรื่องที่มี complexity สูง ที่จะต้องอาศัย “ความเข้มแข็ง” ที่มีอยู่ในท่ามกลางความอ่อนแอ ที่เป็นไปตามธรรมชาติของสรรพสิ่ง และใช้ emergence ของความเข้มแข็งนั้น เป็นสะพานเชื่อมไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายใหญ่
หากไม่เข้าใจความซับซ้อนของเรื่องนั้น ไม่มองงานหรือโครงการที่ทำด้วยมุมมองที่ซับซ้อน เราจะไม่เห็นสิ่งที่ผุดบังเกิด และไปไม่ถึงเป้าหมายใหญ่ หยุดอยู่แค่เป้าหมายของโครงการ
วิจารณ์ พานิช
๒๒ มิ.ย. ๖๔
Are we focusing on solving problems arising from implementation of various “programs” instead of improving outcome for students?
I am reminded of icons on computer screens, they represent programs and projects but never the real people with the problems to be solved.