สายใยแห่งความรัก : สายโซ่แห่งความสมดุลที่ใกล้จะขาดสะบั้นลงทุกขณะ


บทความวิจารณ์นวนิยาย

สายใยแห่งความรัก : สายโซ่แห่งความสมดุลที่ใกล้จะขาดสะบั้นลงทุกขณะ


‘ท่ามกลางกระแสของการทำลายล้างอย่างไร้ขอบเขต

มวลชีวิต...ถูกเข่นฆ่าทยอยกันสิ้นเผ่าพันธุ์

สายโซ่แห่งความสมดุลทางธรรมชาติ ใกล้จะขาดสะบั้นลงทุกขณะ’

   

สายใยแห่งความรักเป็นเรื่องราวความผูกพันของคนต่อเงือกคู่สุดท้ายของโลก เป็นตัวแทนหนึ่งในการเรียกร้องต่อมวลมนุษย์ให้ตระหนักในความสำคัญของธรรมชาติและสำนึกว่า แท้จริงมนุษย์นั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หากสูญเสียความสมดุลทางธรรมชาติ มนุษย์ก็มิอาจดำรงชีวิตอยู่ได้ ทุกชีวิตในโลกนี้ล้วนเกิดมาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกัน ธรรมชาติมิได้เกิดขึ้นมาเพียงเพื่อเป็นทรัพยากรให้มนุษย์ใช้จ่ายตักตวงอย่างมิรู้ค่ารู้คุณ เมื่อหมดไปแล้วก็แสวงหาสิ่งใหม่มาทดแทนเรื่อยไป และเรื่อยไป จนสุดท้ายไม่เหลือสิ่งใดให้ใช้ประโยชน์ได้อีก


สายใยแห่งความรัก คือนวนิยายที่แต่งโดย อุดม วิเศษสาธร เริ่มตีพิมพ์เมื่อปี 2541 ผลงานทางวรรณกรรมชิ้นแรกคือ เรื่องสั้นชื่อ ค่าของคน ตีพิมพ์ในนิตยสาร ฟ้าเมืองไทย เมื่อประมาณปี 2511 เขียนเรื่องสั้นไว้หลายแนว แต่ไม่ได้ส่งตีพิมพ์และหยุดเขียนไปกว่า 20 ปี จึงกลับมาเขียนหนังสืออีกครั้ง มีผลงานรวมเล่มแล้วคือ หมู่บ้านท่าเข็น (2535) ได้รับรางวัลดีเด่น รางวัลรวี โดมพระจันทร์ เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ ปี พ.ศ. 2537 ผู้ยิ่งใหญ่ (2537) บทเพลงแห่งนกกางเขน รางวัลดีเด่นประเภทบันเทิงคดีก่อนวัยรุ่น จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ พ.ศ.2539 เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ ปี พ.ศ. 2540 ได้รับเลือกเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และล่าสุดคือสายใยแห่งความรัก


ผู้เขียนแต่งเรื่องนี้ได้ดีเนื่องจากเขามีชีวิตคลุกคลีเกี่ยวข้องอยู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ในตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จึงตระหนักในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและถ่ายทอดด้วยภาษาที่งดงามสู่วรรณกรรมให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสและเกร็ดความรู้มากมาย


เนื้อเรื่องเล่าถึง กบ เด็กชายวัย 16 ปี ที่เกิดในหมู่บ้านทางภาคใต้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง แต่เขาได้ไปเรียนที่กรุงเทพฯตามพ่อและแม่ซึ่งทำงานอยู่ที่นั่น ช่วงปิดเทอมกบจะกลับมาเยี่ยมปู่กับย่าที่ภาคใต้เสมอ ในทุกวันกบมีหน้าที่ออกไปวางอวนปูกับปู่และนอนเฝ้าเพื่อเก็บไปขาย ขณะนอนนั้นจู่ๆเขาก็นึกถามปู่ขึ้นมาเกี่ยวกับเงือก กบถามปู่ว่า เงือกในการ์ตูนกับเงือกที่บ้านปู่เหมือนกันไหม? แล้วปู่ก็เล่าตำนานรักของเงือกให้ฟัง วันหนึ่งขณะที่กบนอนหลับและกำลังฝันถึงตำนานรักเงือกที่ปู่เคยเล่าให้ฟัง แต่นี่คือเรื่องจริงเงือกคู่สุดท้ายปรากฏตัวให้เห็นจนกบรู้สึกตัวลืมตาขึ้น เงือกคู่สุดท้ายนั้นว่ายน้ำมาใกล้กบเรื่อยๆและดูไว้วางใจเขาว่าเขาจะไม่เป็นอันตรายเหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆที่ทำลายพวกของเขาเมื่อหลายปีมาแล้ว ตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่กบเอามือตีน้ำเงือกทั้งสองก็มาหาทุกครั้ง


วันต่อมากบได้มีโอกาสไปเดินเล่นกับดำ กบพบว่าธรรมชาติที่เคยสมบูรณ์แห่งนี้กลับเหลือน้อยลงทุกวัน ไม่หลงเหลือไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ชื่นชมความงาม กบเดินทางไปเยี่ยมตาเผือกที่เป็นเพื่อนกับปู่ ได้ถามคำถามที่ตนสงสัยมากมายและได้รู้ว่าตาเผือกเคยฆ่าเงือกเพื่อนำไปขายเอาเงินไปรักษาลูกที่เจ็บป่วย กบรู้สึกสะเทือนใจและต่อว่าตาเผือกไป พยายามบอกอธิบายให้ตาเผือกเปลี่ยนทัศนคติจากทำลายเป็นการอนุรักษ์แทน คืนต่อมากบและปู่ออกทะเลไปวางอวนปูอีกครั้ง แต่ในขณะนั้นเองก็มีเรืออวนลากขนาดใหญ่แล่นมาด้วยความเร็ว กวาดต้อนสัตว์ทะเลไปจนหมดสิ้นรวมทั้งอวนของชาวบ้านด้วย ระหว่างที่เงือกคู่สุดท้ายกำลังเพลินกับการกินหญ้าทะเล เรือใหญ่เริ่มเข้ามาใกล้ในทุกขณะ ทั้งคู่กระวนกระวายว่ายน้ำเพื่อหนีตายจากเรือนั่น และเหลือบมองไปเห็นเรืออวนของหนุ่มน้อยใกล้ฝั่งที่เคยผูกพันเช่นมิตร จึงพุ่งตัวรีบว่ายน้ำมาหลบภัยจนสุดกำลัง ในที่สุดก็โชคดีที่หลบได้ทันเวลา


ถึงกระนั้นก็ไม่เพียงพอต่อความโลภของมนุษย์ สองสามวันต่อมาพลังแห่งการทำลายล้างกลับมาอีกครั้ง เหล่าสัตว์ทะเลถูกกวาดต้อนเข้าอวนจนหมดสิ้น แต่ความโลภแสนเจ้าเล่ห์ของมนุษย์ก็ยังไม่จบสิ้น พวกมันทำทีเป็นชาวบ้านหลอกให้เงือกตายใจและใช้โอกาสนั้นในการทำลายเงือกทั้งคู่ มันคงเป็นความโชคดีของเงือกทั้งคู่ หากหนุ่มน้อยผู้นั้นสามารถช่วยปกป้องอันตรายให้กับพวกเขาได้ แต่ความโชคดีใช่ว่าจะมีอยู่เสมอไป....โอ้นี่หรือผู้ที่ได้ชื่อว่ามนุษย์


โครงเรื่องหลักที่ปรากฏอย่างเห็นได้ชัดคือ เส้นทางเดินของมนุษย์ที่เป็นจุดวัดพลังระหว่างการปกป้องสร้างสรรค์ กับ การทำลายล้าง เป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ทั้งสองฝ่าย ที่ผู้เขียนพยายามนำเสนอให้เด่นชัดและเลือกฉากให้ส่งเสริมการเล่าเรื่องได้มากขึ้นซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่มีความจำเป็นต้องหากินเพื่อปากท้อง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มนุษย์บางจำพวกใช้เป็นข้ออ้างในการตักตวงผลประโยชน์ ส่วนโครงเรื่องที่ส่งเสริมให้เกิดปมปัญหาคือ ความรักความผูกพันระหว่างคนกับเงือกที่แตกต่างออกไปจากเรื่องอื่นๆโดยสร้างให้มีตัวละครทั้งฝ่ายปกป้องและทำลายอย่างเห็นได้ชัด


ส่วนในเรื่องแนวคิดสำคัญนั้น สายใยแห่งความรัก ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง ความเป็นมนุษย์ ระหว่างผู้ปกป้องและทำลาย อุดม วิเศษสาธร ผู้เขียนนวนิยายเรื่องนี้กล่าวว่า “โลกใบใหญ่นี้จะงดงามน่าอยู่อาศัยหรือน่าขยะแขยง น่าเกลียดน่ากลัว จะคงอยู่หรือล่มสลายล้วนแต่อยู่ที่การกระทำของมนุษย์ผู้อยู่อาศัย...” ผ่านตัวละครฝ่ายปกป้องอย่างกบ หนุ่มน้อยผู้มีจิตใจดี กับเรืออวนลาก แทนมนุษย์ผู้เป็นฝ่ายทำลายล้าง


แม้สายใยแห่งความรักจะมีฉากสำคัญเพียงฉากเดียว แต่ก็เป็นไปในลักษณะที่ค่อนข้างสมจริง เพราะชาวบ้านทางภาคใต้ที่ติดกับทะเลจะมีอาชีพประมงและออกสู่ทะเลเพื่อหาเลี้ยงชีพอยู่เสมอๆ แม้มิได้โดดเด่นสักเท่าไรแต่ก็เป็นส่วนสำคัญที่เสริมเนื้อเรื่องมีความเป็นไปตามแกนหลักของเรื่อง ซึ่งฉากก็ทำให้เนื้อเรื่องอ่านแล้วเข้าใจง่ายสามารถจินตนาการตามได้ ส่วนเรื่องเวลาในการดำเนินเรื่องก็ดำเนินไปตามลำดับเวลาทำให้อ่านแล้วเข้าใจและดูไม่วกวน


นวนิยายเรื่อง สายใยแห่งความรัก มีตัวละครสำคัญหลายตัว อย่างเช่น กบ ซึ่งเป็นตัวละครหลักในเรื่อง เป็นเด็กชายวัย 16 ที่มีความคิด ทัศนคติที่ดีกว่าผู้ใหญ่บางคน กบอยู่ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติของโรงเรียนจึงมีความรู้และได้รับการปลูกฝังเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติมามากพอสมควร เป็นตัวละครหลักฝ่ายปกป้องที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่องและเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ที่ดียังมีอยู่ เงือกคู่สุดท้าย ถือเป็นตัวละครที่มีความสำคัญในการดำเนินเรื่องเช่นกันคือเปรียบเสมือนเป็นกิเลสที่ทำให้มนุษย์เกิดความต้องการผลประโยชน์เพื่อความสุขสบายส่วนตน เป็นตัวแทนสัตว์ทะเลทั้งหลายที่ถูกทำลายด้วยนำมือของมนุษย์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐที่สุดกว่าสัตว์ทั้งปวง


ดำ เป็นเด็กที่มีอายุใกล้เคียงกับกบ มีความซุกซนนึกถึงแต่ความสนุกสนาน ถึงแม้บางเรื่องจะเป็นเรื่องที่ไม่ควร แต่สุดท้ายแล้วดำก็เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อสัตว์ ผ่านการโน้มน้าวของกบ จากที่คิดเพียงแต่เอาความสนุกก็เข้าใจและรู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันมากขึ้น ปู่แม้น เป็นปู่ของกบ มีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน ปู่แม้นแม้บางครั้งจะดูนิ่งเฉยกับปัญหาการบุกรุกสัตว์ทะเล แต่หลังจากที่ได้เรียนรู้จากกบผู้เป็นหลาน ก็ลุกขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้นำในการอนุรักษ์อย่างแน่วแน่ในอุดมการณ์ คอยสนับสนุนหลานในทุกเรื่องและทำให้เห็นว่าปู่แม้นก็เป็นบุคคลหนึ่งที่มีจิตใจดีและน่าเคารพนับถือมาก นอกจากนี้ยังมีตัวละครอื่นๆ ที่มีส่วนช่วยให้เรื่องดำเนินไปได้ อาทิ ตาเผือก ย่าของกบ ชาวบ้าน เรืออวนลาก ที่เป็นตัวแทนของมนุษย์ฝ่ายทำลายล้าง คิดเห็นเพียงประโยชน์ส่วนตนจนไม่คำนึงถึงอนาคตภายภาคหน้าว่าหากไม่มีสัตว์เล่านี้แล้วจะหาที่ไหนมาเลี้ยงชีพ เป็นต้น


จะเห็นได้ว่า จากตัวละครข้างต้นล้วนเป็นตัวละครที่ส่งเสริมให้ตัวละครหลักได้เข้าไปมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติจากไม่ดีเป็นดีได้ หรือแม้แต่มีส่วนในการกระตุ้นให้ตัวละครอื่นๆได้แสดงทัศนคติที่ดีภายใต้จิตสำนึกที่ยังไม่ได้แสดงออกมาให้ได้แสดงออกด้วยตนเอง ภายใต้จิตสำนึกจากที่นิ่งเฉยก็ตระหนักถึงคุณค่ามากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ตัวละครแสดงลักษณะนิสัยอีกด้านออกมาแต่ตัวละครหลักยังมีบทบาทที่ทำให้นวนิยายเรื่องนี้เห็นพัฒนาการของตัวละครอื่นๆได้เด่นชัดขึ้น


สายใยแห่งความรักมีกลวิธีการแต่งที่เป็นแบบผู้เขียนเล่าเรื่องเอง เนื่องด้วยผู้เขียนสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เคยพบเห็นระหว่างการทำงาน ทำให้ถ่ายทอดออกมาค่อนข้างดี มีกลวิธีการเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้อ่านติดตามด้วยการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ ถึงแม้สายใยแห่งความรักจะเป็นเรื่องที่เกินความเป็นจริง เช่น ความผูกพันของเงือกกับมนุษย์ การสื่อสารที่เข้าใจกัน ซึ่งคนในปัจจุบันจะรู้จักกันดีว่ามีเฉพาะในนวนิยายเท่านั้น แต่ผู้เขียนสามารถทำให้เนื้อเรื่องดูสมจริงได้ ด้วยการนำเสนอความหมายของคำว่า เงือก ภายใต้ชื่อ พะยูนซึ่งเป็นสัตว์ทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์จริงๆในปัจจุบัน


จากการพิจารณานวนิยายเรื่องสายใยแห่งความรักนั้น มีความเป็นเอกภาพเพราะยึดเนื้อเรื่องได้ตรงกับสภาพพื้นที่ในภาคใต้ ประกอบกับปัญหาการบุกรุกสัตว์น้ำในทะเลในการเขียน ทั้งตัวละครก็มีความเป็นมนุษย์ คือมีความรัก โลภ โกรธ เศร้า แทบทุกตัวละคร ส่วนฉากและโครงเรื่องมีส่วนประกอบที่สมบูรณ์ รวมทั้งแนวคิดสำคัญที่เน้นเรื่องความเป็นมนุษย์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวง


สำหรับนวนิยายสายใยแห่งความรักมีความโดดเด่นคือมีข้อความคมคายให้ข้อคิด มีชื่อตอนในแต่ละตอนและมีบทกลอนที่ไพเราะอยู่มาก ซึ่งทำให้ผู้อ่านมองเห็นเนื้อความตอนใหม่ เช่น ‘ใต้โค้งฟ้าเดียวกัน...โลกทั้งโลก กว้างใหญ่เหลือเฟือเกินพอสำหรับทุกชีวิต... แต่แทบไม่มีส่วนแบ่งสำหรับเงือกฝูงสุดท้าย’  ( พิมพ์ครั้งแรก หน้า 49 )

เงือกคงอยู่

ทุ่งหญ้าทะเลคงอยู่

ความสมดุลทางธรรมชาติคงอยู่...มวลชีวิตคงอยู่

เธอหากพลันสาบสูญ...

ทุ่งหญ้าทะเลจะพลันเหือดหาย

ความอุดมสมบูรณ์แห่งท้องทะเลจะพลันมลาย

...แม้แต่แสงแห่งดาวจะพลันเศร้าหมอง

( พิมพ์ครั้งแรก หน้า 15 )


จากที่กล่าวมาข้างต้น นวนิยายเรื่องสายใยแห่งความรัก จึงเป็นหนังสือที่มีคุณค่าทางด้านสารคดีและบันเทิงคดี แม้จะเขียนในรูปแบบบันเทิงคดี แต่เนื้อหาก็สอดแทรกสารคดีไปด้วย ทำให้ผู้อ่านได้รับเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ พร้อมทั้งสอดแทรกแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย ฉะนั้น สายใยแห่งความรักควรค่าแก่การอ่าน จึงอยากแนะนำให้นักอ่านได้ลองอ่านสายใยแห่งความรักกัน ทั้งนี้แม้จะมีฉากเดียวในเรื่องแต่ก็สามารถอ่านได้ทุกเพศ ทุกวัย อ่านได้ทุกวัน ไม่น่าเบื่อและได้รับอรรถรสจากการอ่านแน่นอน

“ปลิดใบไม้เพียงหนึ่งใบ ยังสั่นไหวถึงดวงดาว”

ความในใจของผู้ประพันธ์

หมายเลขบันทึก: 688994เขียนเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2021 21:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มีนาคม 2021 11:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท