ต้นส้มแสนรัก : พฤติกรรมที่แตกต่าง


งั้นทำไมนายไม่ไปบ้านผม แล้วขอผมจากพ่อผมมาเลี้ยงล่ะ




       ต้นส้มแสนรัก วรรณกรรมบราซิลของ โจเซ่ วาสคอนเซลอส แปลไทยโดย มัทนี เกษกมล เป็นเรื่องราวของเซเซ่ เด็กชายที่เกิดมาในครอบครัวยากจน พ่อตกงาน แม่ทำงานคนเดียว และยังมีพี่น้องอีกหลายคนที่แม่ต้องคอยเลี้ยงดู แสดงให้เห็นถึงชีวิตของเด็กที่มีปัญหามาจากครอบครัว ซึ่งสะท้อนภาพของสังคมในความเป็นจริงได้เป็นอย่างดี

       เซเซ่ เด็กชายวัย ๕ ขวบแต่มีความฉลาดเกินวัยและด้วยความซุกซนตามประสาของเด็ก ที่ช่างซัก ช่างถาม ช่างสงสัยทำให้พ่อของเซเซ่ที่มีปมเรื่องตกงานอยู่แล้วนั้นกลายเป็นคนโมโหร้าย ชอบลงมือทุบตีเซเซ่เวลาที่เข้าไปซักถามหรือต้องการอยากคุยกับพ่อ ทำให้พ่อของเซเซ่เกิดความรำคาญและกลายเป็นโมโห จึงทำให้เป็นสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างเซเซ่และพ่อของตนเอง

       ด้วยความสัมพันธ์ของเซเซ่กับพ่อที่ไม่ค่อยดี เมื่อทั้งสองมีสถานการณ์ที่อยู่ด้วยกัน สถานการณ์นั้นมักแย่ลงถึงขั้นเลวร้ายเสมอ ดังเช่นครั้งที่เซเซ่อยู่บ้านกับพ่อ เขาเห็นพ่อของตนเองเศร้าจากการไปหางานทำในโรงงานต่าง ๆ แต่กลับถูกปฏิเสธกลับมาเพียงเพราะว่าโรงงานนั้น ๆ อยากได้พนักงานที่เป็นคนหนุ่มสาวมากกว่า ด้วยความเป็นเด็กของเซเซ่ที่เห็นพ่อของตนเองเศร้า จึงอยากจะทำให้พ่อของตนเองอารมณ์ดี จึงร้องเพลงที่ตนเองเรียนมาจากคุณอาริโอวาลโดเพื่อทำให้พ่อของตนสบายใจขึ้น แต่เนื้อหาของเพลงนั้นมีความไม่เหมาะสมอยู่ ดังนี้

       “...ฉันอยากจะได้สาวเปลือยสักนางหนึ่ง

       ยามคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง

       ฉันอยากจะได้สาวเปลือย...” (หน้า ๑๕๐)

       เมื่อร้องเพลงนี้จบด้วยความไม่ประสาของเซเซ่จึงเข้าใจว่าพ่อของตนเองชอบเพลงนี้ เพราะพ่อให้เขาร้องเพลงนี้อีกครั้งและอีกครั้ง และเซเซ่ก็ถูกพ่อของตนเองตบหน้า ด้วยความเป็นเด็กของเขานี้จึงไม่รู้ว่าคำที่พ่อของเขาให้เขาร้องเพลงนี้ซ้ำเรื่อย ๆ เพราะอะไร เขาควรจะหยุดร้องเพราะถ้าเขาร้องต่อไปก็อาจจะถูกพ่อตีเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าเขาไม่ร้องตามคำสั่งของพ่อก็อาจทำให้เขาถูกตีเช่นกัน 

       ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้เซเซ่ตั้งมั่นว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อจะได้ตีเขา เขาจึงไม่ร้องตามคำสั่งของพ่อ จึงเป็นจุดที่ทำให้ปมขัดแย้งของ ๒ ตัวละครมีความขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้น จากข้อความนี้

       “ไอ้ฆาตกร เอาซิ ฆ่าฉันเลย แล้วคุกตะรางจะแก้แค้นให้ฉันเอง” เขาลุกจากเก้าอี้โยกด้วยความโกรธจัด ถอดเข็มขัดที่มีห่วงโลหะสองอันติดอยู่ออก เขาเริ่มด่าผมเป็นห้วง ๆ         

       “ไอ้หมาบ้า ไอ้เด็กลามก ไม่มีอะไรดีเลย พูดออกมากับพ่อของตัวได้อย่างนี้” (หน้า ๑๕๑)

       แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ว่า ๒ ตัวละครนี้มีความขัดแย้ง แต่ด้วยสัมพันธ์ทางครอบครัวที่ทั้งคู่เป็นพ่อลูกที่แท้จริง ทำให้ข้อความข้างต้นแสดงถึงความรุนแรงทางวาจามากพอสมควร

       เมื่อกล่าวถึงตัวละครโปรตุก้า ตัวละครที่มีความขัดแย้งกับเซเซ่ในช่วงแรก เนื่องจากเมื่อครั้งแรกที่ทั้งคู่เจอกัน เซเซ่ได้รับความอับอายจากโปรตุก้าที่ทุบตีเขาต่อหน้าคนหมู่มาก ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบในเป็นอย่างมาก แต่แล้วโปรตุก้าก็เป็นคนที่คอยรับฟังเมื่อเซเซ่มีปัญหาหรือต้องการที่พึ่งพิง ทำให้เซเซ่รู้สึกรักโปรตุก้าเหมือนพ่อของเขาเอง ถึงโปรตุก้าจะรักเซเซ่เหมือนลูกของเขาแท้ ๆ แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะพรากเซเซ่มาจากครอบครัว

       ด้วยเหตุนี้เองทำให้เซเซ่ยิ่งรักโปรตุก้ามาขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเซเซ่มักจะแสดงออกไปอย่างชัดเจนว่าอยากให้โปรตุก้ารับตนไปเป็นลูกของตนเอง

       “แล้วนายพูดว่านายรักผมมากใช่ไหม”

       “ใช่”

       “งั้นทำไมนายไม่ไปบ้านผม แล้วขอผมจากพ่อผมมาเลี้ยงล่ะ”

       “เธออยากเป็นลูกฉันงั้นหรือ”

       “เราเลือกพ่อไม่ได้ตอนเราเกิด แต่ถ้าเลือกได้ ผมจะเลือกนาย” (หน้า ๑๖๙)

หรือ 

       “ถ้าเขาไม่อยากให้ นายซื้อผมก็ได้ พ่อไม่มีเงินเลย ผมรับรองได้ว่าพ่อต้องขาย ถ้าเขาคิดแพงนัก นายก็ต่อได้ ต่อเหลืออย่างที่คุณจาค็อบเขาขายของ” (หน้า ๑๗๐)

       ทำให้เห็นว่าเซเซ่ให้ความสำคัญกับตัวละครนี้มาก เมื่อเรื่องดำเนินไปถึงเหตุการณ์ที่โปรตุก้าถูกรถไฟชนเข้าและเสียชีวิต เซเซ่เสียใจเป็นอย่างมากกับการสูญเสียคนที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดในชีวิต เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนในจิตใจครั้งนี้ทำให้เซเซ่เปลี่ยนไปเป็นเด็กที่เอาแต่ซึมเศร้า พ่อของเขาเองที่เคยโมโหร้ายใส่เซเซ่ก็คอยปลอบประโลมเซเซ่อยู่ตลอด แต่ความรู้สึกของเซเซ่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วเพราะเขารังเกียจพ่อของตนเองไปจากเหตุการณ์ที่เขาเคยพบเจอมา ทำให้มันฝังอยู่ภายในใจของเขาเอง

       “ผู้ชายคนที่อุ้มผมนั่งตักนี่เขาต้องการอะไร เขาไม่ใช่พ่อผม พ่อผมตายแล้ว รถไฟมานการาติบาฆ่าเขา” (หน้า ๑๙๘) 

       จากข้อความข้างต้นนี้ เป็นฉากที่พ่อของเซเซ่อุ้มเขาเอาไว้บนตักของตนเอง ซึ่งข้อความข้างบนนี้เป็นคำพูดที่เซเซ่พูดกับพ่อของตนเอง 

       จะเห็นได้ว่า ทั้งพ่อของเซเซ่และโปรตุก้ามีการเริ่มต้นที่แตกต่างกัน พ่อของเซเซ่นั้นด้วยภูมิหลังที่เป็นผู้เกี่ยวพันโดยตรงทางสายเลือดกับเซเซ่ทำให้เซเซ่ให้ความเคารพและรัก แต่เมื่อเซเซ่ถูกพ่อของตนเองทำร้าย ทุบตี ด่าทอด้วยวาจาหยาบคายอยู่หลายครั้ง ทำให้เซเซ่จดจำความเจ็บปวดและฝังใจว่าบุคคลนี้ไม่ควรเข้าใกล้ เมื่อเซเซ่จดจำพฤติกรรมตรงนี้ไปแล้วนั้น เมื่อพ่อของเซเซ่พยายามที่จะดูแลและเอาใจใส่ลูกให้มากขึ้น มันก็สายเกินไปที่เซเซ่จะกลับมาให้ความรักกับพ่อแท้ ๆ ของตนเอง

       ส่วนโปรตุก้า ถึงแม้ว่าครั้งแรกที่เซเซ่จะรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความที่โปรตุก้าให้คำปรึกษา คอยรับฟังปัญหาของเซเซ่อยู่เสมอ ทำให้เซเซ่รู้สึกไว้ใจและรักโปรตุก้าเป็นอย่างมาก เพราะโปรตุก้าให้ความรู้สึกว่าเขาอบอุ่น ไม่เหมือนกับพ่อของเขาที่คอยแต่จะทุบตี ด่าทอด้วยคำหยาบคายอยู่บ่อยครั้ง เด็กที่ต้องการคนคอยดูแลเอาใจใส่ และต้องการที่พึ่งพิงจึงรักคนที่พร้อมยอมรับฟังปัญหาของเขามากกว่าใคร เมื่อเขาสูญเสียโปรตุก้าที่เขายกให้เป็นพ่อของเขา จึงทำให้เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของเขาแตกสลาย เพราะคนที่เข้าใจ รับฟังเขามากที่สุดได้จากเขาไป

       วรรณกรรมเรื่องต้นส้มแสนรัก จึงทำให้เห็นว่าการเลี้ยงดู ความเอาใจใส่ของครอบครัวมีผลต่อเด็กเป็นอย่างมาก หากไม่รับฟัง ไม่ใส่ใจเขาให้เพียงพออาจทำให้เขาลืมเลือนหรือตัดขาดความสัมพันธ์ได้เพียงเพราะมีคนที่คอยสนใจ ใส่ใจ และพร้อมที่จะรับฟังเขาเสมอ 




หมายเลขบันทึก: 688355เขียนเมื่อ 14 มกราคม 2021 22:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มกราคม 2021 23:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท