ท่านรัฐมนตรี อว. ศ. (พิเศษ) เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เชิญคน ๑๖ คน ไปประชุมหารือเรื่อง การสร้างปัญญาชนและปราชญ์จากนักวิชาการ ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับเชิญ ทำให้ได้รับฟังความเห็นจากผู้ใหญ่ที่มีความหลากหลายมาก ประเทืองปัญญายิ่ง
ก่อนเข้าประชุม ผมลองค้นดูว่า มีการนิยามคำว่า ปัญญาชนไว้อย่างไร ไปพบใน วิกิพีเดีย (๑) จึงรู้ว่าปัญญาชนที่เรียกว่า intelligentsia เกิดจากความคับแค้นจากการถูกกดขี่ และบทความในวิกิพีเดียให้นิยามไว้ดังนี้ พฤติกรรมซึ่งบ่งบอกถึงปัญญาชนจาก หนังสือ 'วัฒนธรรมและปัญญาชน' โดย Dr. Vitaly Tepikin มีดังนี้[5]
ผมจึงได้นิยาม (ผมตั้งเอง) ของคำว่า ปัญญาชน ว่า ผู้ก่อการทางปัญญา คือเป็นกลุ่มคนที่ต้องการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงสังคม และร่วมกันลงมือดำเนินการ คนมีปัญญาที่ไม่ลงมือกระทำการ ไม่ถือเป็นปัญญาชน
ผมจึงมีคำถามว่า ราชบัณฑิต น่าจะถือเป็นปัญญาชนของชาติ ค้นพบในวิกิพีเดียจึงพบว่า ราชบัณฑิตแปลว่า นักปราชญ์หลวง (๒) และเวลานี้มีเพียง ๘๓ คน ท่านเหล่านี้จึงน่าจะถือได้ว่าเป็นยอดของปัญญาชน ตามที่ได้รับยกย่องโดยกลไกของราชการ และมีหลายสาขา ดำเนินการโดยราชบัณฑิตยสภา
เมื่อกว่า ๒๐ ปีมาแล้ว ผมมีส่วนร่วมก่อตั้ง บัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (บวท. – TAST) มีฐานะเป็นมูลนิธิ (๓) มีสมาชิก ๓ แบบ คือสมาชิกกิตติมศักดิ์ สมาชิกสามัญ และภาคีสมาชิก เป็นการแต่งตั้งยกย่องกันเอง ให้ได้เข้ามาร่วมกันทำงานเพื่อบ้านเมือง โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ท่านเหล่านี้ก็น่าจะถือเป็นปัญญาชนของบ้านเมืองได้ด้วย โดยเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
บวท. มีที่มาจาก ศ. นพ. อารี วัลยะเสวี ได้รับเลือกเป็น member ของ National Academy of Science (NAS) ของสหรัฐอเมริกา (๔) เป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวที่ได้รับเกียรตินี้ ท่านจึงอยากให้ประเทศไทยมีกลไกใช้ปราชญ์ทำประโยชน์แก่บ้านเมืองในลักษณะนั้นบ้าง
เมื่อเข้าไปดูเว็บไซต์ ของ NAS (๔) จะพบว่า เขาประกาศตัวเป็น private, non-profit organization ซึ่งที่จริงเขาตั้งขึ้นโดยรัฐบาลออกกฎหมายสมัย ปธน. ลินคอล์น ให้เป็นอิสระจากรัฐบาลและจากการเมือง แต่ระบุให้รัฐบาลกลางตั้งงบประมาณสนับสนุน รวมทั้งมีการร้องขอจากรัฐให้ช่วยให้ความเห็นเชิงนโยบายในเรื่องสำคัญๆ โดยที่มีเงินสนับสนุนให้ทำงานนั้น NAS มีผลงานมากมาย ดูได้จากเว็บไซต์ น่าจะถือเป็นกลไกที่รัฐใช้ประโยชน์จากปราชญ์แบบที่สนับสนุนให้ปราชญ์ได้ทำงานอย่างอิสระ (และรับผิดชอบ)
ลองค้นดูว่า ปราชญ์หมายความว่าอย่างไร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า “ผู้มีปัญญารอบรู้” น่าจะเน้นที่ “รอบรู้” คือรู้กว้าง
ค้นพบเว็บไซต์ ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน(๕) ดำเนินการโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ ยกย่องปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ๔ สาขา คือ
อีกกิจกรรมหนึ่งของประเทศที่ยกย่องและใช้ประโยชน์คนดีคนเก่ง คือ โครงการศิลปินแห่งชาติ (๖) ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ริเริ่มโดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เวลานี้ดูแลโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
ปราชญ์ชาวบ้านเป็นอีกคำหนึ่งที่เราใช้กันบ่อย มีเว็บไซต์ (๖) นิยามว่า บุคคลผู้เป็นเจ้าของภูมิปัญญาชาวบ้าน และนำภูมิปัญญามาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตจนประสบผลสำเร็จสามารถถ่ายทอดเชื่อมโยงคุณค่าของอดีตกับปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม และจัดหมวดหมู่เป็น ๖ สาขา พร้อมทั้งให้ชื่อของปราชญ์แต่ละสาขา ซึ่งผมคิดว่า น่าจะมีปราชญ์ชาวบ้านสาขาอื่นๆ อีกมาก
ข้างบนนั้น เป็นเรื่องการยกย่องและใช้ประโยชน์ปัญญาชนและปราชญ์ แต่ประเด็นที่หารือกันในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ คือการสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก มองภาพกว้างที่สุด ต้องปฏิรูประบบการศึกษาในภาพใหญ่ เราก็จะได้ประชากรเพิ่มขึ้นมากมาย ที่จะค่อยๆ พัฒนาตนเองสู่ความเป็นปัญญาชนและปราชญ์ โดยที่เวลานี้คุณภาพของระบบการศึกษาไทยทำให้คุณภาพพลเมืองไทยต่ำอย่างน่าเสียดาย
คำถามสำคัญคือ การสร้างที่ตัวคน กับการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อ ยุทธศาสตร์ไหนจะได้ผลมากกว่ากัน ผมคิดว่าคงต้องทำทั้งสองทาง
อีกคำถามหนึ่งคือ การสร้างกลไกใหม่ กับการเปลี่ยนแปลงระบบที่มีอยู่แล้วที่เป็นตัวปิดกั้น ยุทธศาสตร์ไหนจะได้ผลมากกว่ากัน ซึ่งผมก็คิดว่าต้องทำทั้งสองทาง แต่อดคิดไม่ได้ว่า ระบบที่มีอยู่แล้วมันใช้เงินมาก โดยที่การใช้เงินนั้นมันก่อผลร้ายต่อสังคมเหลือคณา
คำถามของท่าน รมต. เอนก คือ การสร้างปัญญาชนและปราชญ์จากนักวิชาการ เป็นคำถามที่เน้นวิธีการที่ปลายทาง คือเมื่อเข้าไปเป็นนักวิชาการแล้ว โดยที่ผมมีความเห็นว่า หากเน้นที่การสร้าง ecosystems ให้เอื้อ การเปลี่ยนโฉมระบบการศึกษาก็มีความสำคัญยิ่ง และเวลานี้ ฝ่ายการเมืองก็ยังเข้าไปตักตวงผลประโยชน์เข้าสู่ตนเองจากระบบการศึกษาอย่างที่ WDR 2018 ว่าไว้
หากคิดที่ปลายทางตามโจทย์ และคิดในบริบทที่กระทรวง อว. มีอำนาจหน้าที่ กลไกสำคัญที่สุดคือ การส่งเสริมวิชาการข้ามศาสตร์ (transdisciplinary) มีการสร้าง academic platform ที่เป็นสหศาสตร์ (multidisciplinary) สำหรับนักวิชาการที่ประสบความสำเร็จในศาสตร์ของตนแล้ว เข้าไปดำเนินการ
ย้ำว่า ต้องเป็น platform สำหรับนักวิชาการที่ประสบความสำเร็จสูงหรือสูงสุดในศาสตร์ของตนแล้วเป็นหลัก อย่าให้เป็น platform ที่เปิดโล่งให้แก่นักวิชาการขั้นเริ่มต้น เพราะจะมีความเสี่ยงต่อวิชาการแบบผิวหรือตื้น
ผมมีความเชื่อว่า ฐานวิชาการที่มีอยู่ในปัจจุบันเน้นที่ความลึก ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และในช่วงต้นของชีวิตนักวิชาการควรเน้นไต่ลงลึก เพื่อให้เมื่อประสบความสำเร็จในชีวิตนักวิชาการเฉพาะสาขาแล้ว สามารถใช้ความลึกนั้นเอง มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนนักวิชาการที่ประสบความสำเร็จในสาขาอื่น แล้วขยายแนวกว้างให้แก่ตนเอง และแก่แวดงวงวิชาการ ซึ่งจะช่วยพัฒนายกระดับนักวิชาการ ที่เชี่ยวชาญเชิงเทคนิค ให้มีความกว้างและเชื่อมโยง เกิดการผสมผสานระหว่างศาสตร์ เกิดปัญญาชนและปราชญ์จากนักวิชาการ
การมี issue-based, inter-disciplinary platform ตามดำริของท่านรัฐมนตรีเอนกเรื่อง วิทยสถานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย เน้นงาน ๕ ด้านคือ ช่างศิลป์ท้องถิ่น พิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ ศูนย์วิเทศศาสตร์ ศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์สุวรรณภูมิศึกษา จึงเป็นกลไกที่ดีต่อการสร้างปัญญาชนและปราชญ์จากนักวิชาการ
โปรดสังเกตว่า ปัญญาชนต้องผูกพันอยู่กับสภาพความเป็นไป และปัญหาของสังคม ที่ในยุคปัจจุบันมีความ VUCA มาก และภาคส่วนในสังคมที่ไวต่อสภาพ VUCA คือภาคทำมาหากิน ที่เรียกว่า real sector ดังนั้น กลไกสร้างปัญญาชนและปราชญ์จากนักวิชาการจึงต้องฟังเสียงของฝ่ายผู้ประกอบการทุกรูปแบบ ต้องไม่ใช่ฝ่ายวิชาการคิดเองเออเองอย่างในอดีต การมีพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็นและเรียนรู้ระหว่างกันโดยทุกภาคส่วนจึงมีความจำเป็นยิ่ง
เนื่องจากโจทย์ของท่านรัฐมนตรี ต้องการใช้นักวิชาการในมหาวิทยาลัยเป็นตัวเริ่มต้น จึงต้องคิดย้อนกลับไปว่า platform การทำงานของนักวิชาการมหาวิทยาลัยที่เอื้อคืออะไร ผมเสนอว่า คือการทำงานวิชาการแบบ holistic 4 = 1 คือทำภารกิจหลัก ๔ ด้านของมหาวิทยาลัยในกิจกรรมเดียว ที่จะช่วยให้นักวิชาการในมหาวิทยาลัยได้ตระหนักในคุณค่าที่หลากหลายของวิชาการ
ซึ่งหมายความว่า ต้องรื้อกฎเกณฑ์กติกาว่าด้วยการคิดเวลาทำงานของอาจารย์ โครงสร้างหลักสูตร การบริหารหลักสูตรให้มีคุณภาพ และเกณฑ์ความก้าวหน้าของอาจารย์ใหม่หมด ให้มหาวิทยาลัยมีอิสระในการกำหนดเกณฑ์ความเป็นเลิศของตน สกอ. กำกับที่ปลายทาง คือผลลัพธ์และผลกระทบ ซึ่งหมายความว่า สกอ. ต้องมีระบบข้อมูลเพื่อประเมิน outcome และ impact ของแต่ละมหาวิทยาลัยได้ และจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนตาม performance
ประเทศไทยต้องการ performance-based governance ต่อระบบอุดมศึกษา ไม่ใช่ connection-based อย่างในอดีตมาจนปัจจุบัน ซึ่งมีผลทำให้อุดมศึกษาของประเทศอ่อนแออย่างที่เห็น
ทั้งหมดนั้นเป็นการทำการบ้านของผมเพื่อเตรียมตัวไปร่วมประชุม ซึ่งก็เป็นบันทึกที่ยาวเกินไปแล้ว ข้อเสนอแนะของเหล่านักปราชญ์ที่ท่านรัฐมนตรีเชิญมา ประเทืองปัญญายิ่งต่อผม จะอยู่ในอีกบันทึกหนึ่ง
วิจารณ์ พานิช
๒ ม.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น