กิจกรรมบำบัดเตี่ย


กิจกรรม(บำบัด)เตี่ย

หมายเหตุ เตี่ย (n) เป็นคำภาษาจีน แปลว่าพ่อ ก๋ง (n) คำภาษาจีน แปลว่าปู่

  หลังจากได้รับมอบหมายงานในวิชาADL ให้ไปสัมภาษณ์บุคคลที่ในอดีตหรือปัจจุบันมีปัญหา หรือความบกพร่องใดๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือจิตใจ ที่ส่งผลต่อกิจวัตรประจำวัน เมื่อเกิดปัญหานั้น บุคคลนั้นสามารถเรียนรู้และก้าวผ่านไปได้อย่างไร เมื่อรู้โจทย์ คนแรกที่ฉันนึกถึงและอยากจะไปสัมภาษณ์มากที่สุด คือคุณสุชาติ งามสิมะ พ่อของฉัน เพราะฉันคิดว่าเรื่องราวชีวิตของพ่อฉันจะสามารถเป็นแรงบันดานใจให้กับใครหลายๆคนได้  จากการสัมภาษณ์ฉันได้ทราบว่า เรื่องราวเริ่มต้นจากการที่พ่อของฉันเติบโตขึ้นมาในครอบครัวคนจีน แม้พ่อของฉันจะไม่ใช่พี่คนโต แต่ท่านดูทรงเป็นคนที่เอางานเอาการมากที่สุด สามารถใช้งาน และไว้ใจได้ ก๋งจึงมักจะให้พ่อของฉันไปช่วยงานอยู่เสมอ  พ่อของฉันไม่ใช่เด็กเรียบร้อย เตี่ยชอบออกไปเล่นกับเพื่อน เป็นเด็กแสบประจำซอยเลยทำให้รู้จักคนมาก เตี่ยเล่าด้วยความมั่นใจว่าสมัยนั้นมีแต่คนรักคนเอ็นดู เลยทำให้ช่วยก๋งขายถ่านจนหมดได้ทุกวันแค่เพราะไปแจกยิ้มให้พวกป้าๆ และอาม่าในซอย   เตี่ยไม่เคยขี้เกียจไปช่วยก๋งขายของ เพราะถือว่าเวลาออกไปช่วยก็จะได้เงินค่าแรงจากก๋งจำนวนนึงมากพอที่จะซื้อลูกชิ้นได้สองสามไม้ รวมทั้งได้ขนมจากป้าๆด้วย เตี่ยก็ถือว่าเป็นการใช้แรงงานเด็กที่วินวินทั้งสองฝ่าย ก๋งขายของหมด เตี่ยก็ได้ขนมกินจนอิ่ม  ความสัมพันธ์ของเตี่ยกับก๋งไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศ เป็นคู่พ่อลูกคนจีนที่ไม่ค่อยได้แสดงความรักต่อกัน เตี่ยเล่าว่าก๋งเลี้ยงด้วยลำแข้งจริงๆ หมายถึงเตะตีไม่ยั้งเวลาทำผิด ซึ่งเตี่ยก็เล่าต่อว่าไม่ได้กลัวอะไร เพราะเจ็บไม่กี่วันก็หาย เรื่องราวเดียวในบ้านที่คิดว่าเป็นปัญหาคือการที่ก๋งมีภรรยาน้อย และเอามาร่วมอาศัยในบ้านมากกว่า เพราะเตี่ยไม่สนิทใจกับป้าเขา และก๋งก็ดูจะทั้งรักทั้งหลงภรรยาน้อยคนนี้มากๆ(ความคิดจากการสัมภาษณ์เตี่ย) ทำให้บางครั้งเตี่ยก็บอกว่าเตี่ยหมันไส้ และไม่อยากเข้าไปยุ่ง   จนกระทบช่วงที่เตี่ยใกล้จะขึ้นมัธยม ก๋งบอกกับเตี่ยว่าจะไม่ให้เตี่ยเรียนต่อแล้ว ด้วยปัญหาทางการเงิน จึงอยากให้เตี่ยออกมาช่วยค้าขายมากกว่า แต่เตี่ยไม่เห็นด้วย เตี่ยอยากเรียนต่อ และมองว่าถ้าก๋งหยุดเอาเงินไปเลี้ยงสาว ก๋งก็จะมีเงินมาส่งลูกเรียน เตี่ยกับก๋งเลยทะเลาะกัน และจบด้วยการตกลงกันว่าถ้าเตี่ยสอบได้เลขตัวเดียวของชั้นเรียน เตี่ยจะต้องได้เรียนต่อ  และแน่นอนว่าความเส็งเคร็งที่ทำให้น่าติดตามต่อมาคือเตี่ยสอบได้ที่10ของชั้นเรียน และเตี่ยอดเรียนต่อ  เตี่ยยอมรับข้อตกลงและออกมาช่วยก๋งทำงานขายถ่านในตลาด ซึ่งตอนนั้นถือว่ารายได้ค่อนข้างดี เตี่ยช่วยจนขายหมดทุกวัน ทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างจนฟ้ามืด เตี่ยเล่าว่าเงินเข้าบ้านเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็ไม่เคยเก็บอยู่เพราะก๋งเอาเงินไปให้ภรรยาน้อยที่ติดการพนัน จนเตี่ยทะเลาะกับก๋งรุนแรงอีกครั้ง ด้วยสาเหตุที่ก๋งเอาเงินในกระปุกเตี่ยไปให้ผู้หญิง  เตี่ยเล่าว่าทะเลาะกับก๋งรุนแรงมากๆ จนในที่สุดก็ถูกก๋งไล่ออกจากบ้าน  ตอนนั้นเตี่ยอายุแค่12ขวบ โดนพ่อแท้ๆไล่ออกจากบ้าน ด้วยสาเหตุที่ตัวเองไม่เข้าใจมากๆ มันเปรียบเสมือนเป็นปมในจิตใจ เป็นจุดที่ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้รับความรัก ชีวิตเหมือนหลงทางไปต่อไม่ถูก เพราะตอนนั้นไม่มีอะไรติดตัวเลยนอกจากเสื้อผ้าชุดเดียวที่ใส่ออกมาตอนออกจากบ้าน  เตี่ยเล่าว่าตอนนั้นต้องไปนอนที่ป้ายรถเมอยู่หลายวัน ไม่ได้กินข้าว ไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้ดูแลตัวเอง สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวนั้นไม่ได้สะอาดเลย จนรู้สึกว่ารับกับสภาพไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เตี่ยเล่าติดตลกว่าเพราะจากทรงไม่น่าตายในพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ และตัวเองก็รู้สึกว่าอดข้าวนานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว อยากกินลูกชิ้นปิ้ง ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างแล้ว จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เตี่ยกลับเข้าไปในตลาด เสนอตัวช่วยพ่อค้าแม่ค้าในนั้นทำงาน เข็นผัก ขนของ พอให้ได้ค่าขนมสามบาท สี่บาท ห้าบาท พอจะซื้อขนมปังมากินรองท้อง เริ่มเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำวัด เพื่อดูแลรักษาความสะอาดของตัวเอง ช่วงนั้นก็ค่อยๆเก็บเงินเหลือที่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดให้ แต่ก็ยังนอนที่ป้ายรถเมลอยู่ จนโชคดีมีคนเข้ามาช่วยแนะนำให้ได้ไปทำงานในร้านอะไหล่รถยนต์  งานแรกที่เตี่ยได้ทำเป็นแค่การเอาลูกปืนรถไปส่งตามร้าน ลงของเข้าร้าน และวางบิลเท่านั้น เป็นฝ่ายที่ไม่ค่อยจำเป็นต้องใช้กึ๋นเท่าไหร่ สักแต่ว่าทำ ซึ่งเงินตอบแทนก็ดีกว่าตอนไปช่วยเข็นผักในตลาดอยู่มาก เตี่ยจึงเริ่มคิดจะทำงานในร้านอะไหล่รถยนต์นี้อย่างจริงจัง  แต่ด้วยหน้าที่ที่ไม่ต้องใช้สมองมากนัก ทำให้เตี่ยรู้ดีว่ามันจะไม่มีทางก้าวหน้า เป็นการทำงานในหน้าที่ที่จะย่ำอยู่กับที่ เตี่ยจึงเริ่มเรียนรู้ที่จะศึกษาอะไหล่รถยนต์แต่ละชิ้น แต่ละตัว จำขนาด ไซส์ ยี่ห้อ ทุกๆอย่างที่เป็นข้อมูลประกอบการขายได้เตี่ยศึกษาและจำทั้งหมด  ทำให้หลังๆเตี่ยเริ่มพยายามสร้างซีนโชว์ความรู้เกี่ยวกับอะไหล่ ตอบคำถาม แนะนำลูกค้าโดยไม่ผ่านฝ่ายขาย ทำให้หัวหน้าเริ่มเห็นศักยภาพ เริ่มให้เตี่ยขึ้นมาทำงานเป็นเซล ขายของลูกค้ามากขึ้น และเพิ่มเงินเดือนให้   เตี่ยเล่าว่าแต้ะเอียแรกจากร้านอะไหล่ในฐานะเซลเยอะมาก เพราะเตี่ยทำยอดได้สูง เตี่ยไม่ใช่คนเก่ง แต่เตี่ยเป็นคนขยัน รู้ศักยภาพของตัวเอง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และทำ รวมทั้งมีความสามารถในการพูด พูดเก่ง สร้างสัมพันธภาพเป็น ทำให้ประสบความสำเร็จในการเป็นเซลมาก  แต้ะเอียแรกเตี่ยเอาไปดาวน์บ้าน ในตอนแรกเตี่ยเล่าว่าในบ้านไม่มีอะไรเลย ไม่มีทีวี ไม่มีโต๊ะ ไม่มีโซฟา มีแต่ตัวบ้านเท่านั้น เตี่ยเอาเสื้อผ้ามากองๆรวมกันเป็นหมอนนอน แม้จะไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยแต่เตี่ยก็มีความสุขมาก เพราะภูมิใจในตัวเอง   เตี่ยค่อยๆเก็บเงิน ได้มาเท่าไหร่ก็พยายามเก็บไว้ให้ได้มากที่สุด กินข้าวพอให้ดำรงชีวิตต่อได้อย่างไม่เจ็บป่วย เงินเอาไปลงกับบ้าน ค่อยๆเก็บเงินซื้อเฟอร์นิเจอร์ และเก็บเงินโปะ เงินผ่อนบ้าน จนสำเร็จเพียงในระยะเวลาแค่5ปี  พอมีบ้าน เตี่ยก็เริ่มเก็บเงินซื้อรถ โดยคำนึงถึงความจำเป็นก่อน เตี่ยซื้อรถมอเตอร์ไซต์ที่ใหญ่ขึ้น กำลังแรงขึ้นเพื่อให้เอื้อต่อการทำงาน ที่จะต้องขับรถไปขายของ โปะบิลวางบิลไกลๆ ก่อนจะซื้อรถยนต์ที่เอาไว้ขับตอนอยากไปเที่ยวต่างจังหวัด  เตี่ยเล่าว่าใช้ชีวิตเป็นเซลไปอีกหลายปี ค่อยๆทำยอดให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่รู้ศักยภาพของตัวเอง และมีเครือข่ายมากจากประสบการณ์การทำงาน จึงทำให้การขายไม่ใช่เรื่องยากหรือลำบากมากนัก พอยอดสูงขึ้นเรื่อยๆ เงินเดือนก็สูงตาม  พอทุกอยางอยู่ตัว เตี่ยก็เริ่มคิดจะลาออก ด้วยความที่เห็นช่องทางว่าตัวเองสามารถไปได้ไกลกว่านี้ มีหลายครั้งที่เข้าไปลาออก แต่เจ้านายก็ไม่ให้ และจบด้วยการขึ้นเงินเดือนแทน แต่สุดท้ายเตี่ยก็เลือกที่จะลาออกอย่างเด็ดขาด และออกมาทำกิจการอะไหล่รถยนต์ของตัวเอง  “ปรีชาอะไหล่ยนต์” (ไปอุดหนุนได้นะคะ)  ในช่วงแรกก็ยังไม่ค่อยอยู่ตัว แม้จะมีคอนเนคชั่นอยู่มาก แต่เครดิตก็เปลี่ยน ทำให้ยังต้องพิสูจน์อะไรหลายๆอย่าง จนตอนนี้ผ่านมา6-7ปีแล้ว ที่ร้านอยู่ตัวมากขึ้น แต่ก็ยังมีหลายๆอย่างที่ยังต้องคอยจัดการและระมัดระวังอยู่  จากเรื่องราวทั้งหมดจะเห็นว่าที่มีวันนี้ได้ เป็นความพยายาม มุมานะของพ่อของฉันล้วนๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยสองมือ ไม่ใช่โชคช่วย เพราะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เพราะก้าวผ่านความรู้สึกอยากจะยอมแพ้ ความรู้สึกด้อยค่าไม่ได้รับความรักนั้นมาได้ พ่อของฉันจึงมีวันนี้  ฉันมองว่าพ่อของฉันเก่งมากๆ สุดเท่ มีแค่สิ่งเดียวที่ฉันเป็นห่วง คือการที่เตี่ยชอบทำอะไรคนเดียว ฉันเข้าใจว่าเพราะเรื่องราวในอดีตหล่อหลอมให้เตี่ยรู้ว่าทุกอย่างที่มีในวันนี้มันมาจากเตี่ยเพียงคนเดียว ทำให้เตี่ยไม่ไว้ใจใครนอกจากตัวเอง แต่การทำงานทุกอย่างคนเดียว ไม่พัก ไม่แจกงาน แบกรับทุกอย่าง ทุกปัญหาไว้คนเดียวไม่น่าใช่วิธีที่ถูกต้องนัก เพราะนอกจากจะทำให้เครียดแล้ว เรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดคือการพักผ่อน ก็ทำให้ทำได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ พักผ่อนไม่เพียงพอ รวมทั้งการจัดการสุขภาพที่ดูเตี่ยมักจะมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเตี่ยมองข้าม ฉันจะเป็นคนที่มองเห็น และช่วยดูแลเตี่ยเอง
หมายเลขบันทึก: 687312เขียนเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2020 23:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2020 23:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท