ต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว...
“บ้าน”...ฉันไม่อยากอยู่ (1)
“การสร้างบ้าน” ทำไมต้องขึ้นต้นบันทึกด้วยการสร้างบ้าน...เป็นคุณครูนะไม่ใช่สถาปนิกใจดีซะหน่อย...แต่คนนี้เป็นทั้งคุณครูและ สถาปนิกใจดี ส่วน พี่ "คนดีคนนี้" เป็นนักวิชาการทำโครงการครอบครัวเข้มแข็ง อ้าว!! เล่นโปรโมทกันขนาดนี้ครอบครัวไม่อบอุ่นให้มันรู้ไป...ใครเป็นใครคลิ๊กเข้าไปดูกันเอง...เอ๊ะ!! แล้วเจ้าของบันทึกเป็นคุณครู ครูก็ต้องสำคัญมากเลยแหละในการสร้างบ้านสร้างครอบครัวให้น่าอยู่ ก็เพราะการสร้างบ้านคือ การสร้างชีวิตและรองรับชีวิตใหม่ที่จะเกิดขึ้น ให้การอบรมสั่งสอนชีวิตใหม่ที่จะเกิดขึ้นและดำเนินชีวิตอยู่อย่างสวยงาม นี่ถือเป็นการล้อมรั้วสร้างครอบครัวให้เข้มแข็งเลยนะ และครอบครัวจะแตก จะร้าว จะรั่วหรือไม่ ก็อยู่ที่ความสัมพันธ์ของคนในบ้านนั่นแหละ หากครอบครัวเข้มแข็งอบอุ่นทุกอย่างก็มั่นคง ครอบครัวถือเป็นสถาบันที่สำคัญยิ่งในการสร้างชีวิตใหม่อันหล่อหลอมทุกสิ่งทุกอย่างให้มนุษย์ได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และครอบครัวก็เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาต่าง ๆ มากมายด้วยเช่นกัน
เด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่มีความบกพร่องทางด้านจิตใจอันสืบเนื่องมาจากปัญหาทางด้านครอบครัว บ้านแตก พ่อแม่หย่าร้าง ทำให้ลูกขาดความรักความอบอุ่น และต้องแสวงหาสิ่งที่ขาดจากแหล่งที่เขาคิดว่าจะมีให้เพื่อมาเติมเต็ม หากเขาหาส่วนที่ขาดนั้นเจอและนำมาเติมเต็มได้ก็นับว่าชีวิตโชคดีไป แต่ส่วนใหญ่ยิ่งแสวงหากลับยิ่งพบว่าตนเองยิ่งขาดมากยิ่งขึ้น จึงก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย มีเด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่รวมตัวกันโดยการตั้งแก๊งอันธพาล เพื่อเรียกร้องส่วนที่ขาดจากครอบครัวโดยสื่อผ่านทางสังคม ด้วยการหันมาทำกิจกรรมที่สังคมไม่ยอมรับเพื่อให้ตนเป็นที่ยอมรับในสังคม จะเห็นได้ว่าเกิดคดีต่าง ๆ ขึ้นมากมายแค่ช่วงกระพริบตาของแต่ละวันสถิติคดีเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนอาจจะมากพอ ๆ กับการเกิดใหม่และการดับสลายของชีวิตในแต่ละเสี้ยววินาทีก็ว่าได้ นี่คือปัญหาสังคมที่เกิดจากสถาบันที่เล็กที่สุด มีความสำคัญมากที่สุดที่เราเรียกว่า “ครอบครัว” แต่กลับกลายสร้างปัญหาสังคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระดับชาติไปซะแล้ว
เด็กและเยาวชนที่กระทำผิด และต้องโทษพวกเขาเหล่านั้นจะไปไหน? อยู่กันอย่างไร? มีใครหรือหน่วยงานใดในสังคมรับผิดชอบชะตากรรมของพวกเขาเหล่านั้นบ้าง...สถานพินิจและคุ้มครองเด็ก เป็นสถานที่ที่มีหน้าที่ให้การสงเคราะห์คุ้มครองและแก้ไขพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนที่ต้องคดีอาญา ทั้งก่อนและหลังการพิจารณาพิพากษา ซึ่งมีหน่วยงานต่าง ๆ ในที่นี้ดิฉันของใช้คำว่า “บ้าน” ซึ่งเขาอาจตั้งชื่อให้ดูอบอุ่นคุ้มครองปกป้องผู้กระทำผิดฟังดูก็น่าอบอุ่นดีนะคะ ไม่โหดร้ายทางด้านจิตใจเท่ากับคำว่า “คุก” มาดูลักษณะบ้านที่ว่านะคะว่ามีหน้าที่ให้ความปกป้องคุ้มครองอย่างไรกันบ้าง
บ้านหลังแรก เป็นบ้านรับขวัญค่ะ เรียกว่า “บ้านเมตตา” มีการบริการบ้านพักแก่เด็กและเยาวชนที่ต้องหาคดีอาญาเป็นครั้งแรก ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนหรือพิจารณาของศาลค่ะ ทำการพิเคราะห์เบื้องต้นเกี่ยวกับความประพฤติและบุคลิก เพื่อที่จะรายงานต่อไปยังสถานพินิจฯ เสนอศาลเพื่อพิจารณาพิพากษาอีกครั้งค่ะ ในระหว่างรอก็จะมีการบริการด้านการศึกษาวิชาสามัญถึงระดับประถมปลาย และวิชาชีพเบื้องต้น ควบคู่กับการอบรมบ่มนิสัยด้วยจริยศึกษาค่ะ
บ้านหลังที่สอง เป็น “บ้านกรุณา” ให้อยู่เฉพาะเด็กและเยาวชนชายที่ศาลสั่งให้ฝึกอบรมแก้ไขความประพฤติค่ะ บริการด้านการศึกษาและฝึกอบรมมีการสอนวิชาสามัญถึงระดับประถมปลาย ฝึกวิชาชีพทางด้านช่างประเภทต่าง ๆ ควบคู่จริยศึกษาค่ะ แถมวิชาพลศึกษาให้ด้วย แก้ไขความประพฤติผิดปกติ จบออกไปก็จะจัดหางานให้ค่ะ
บ้านหลังที่สาม คือ “บ้านอุเบกขา” รับเฉพาะเด็กและเยาวชนชายค่ะ ซึ่งศาลสั่งให้กักและอบรม จะมีการฝึกอย่างเข้มงวดในเรื่องของระเบียบวินัย ส่วนมากเด็กเหล่านี้จะเคยผ่านการฝึกจากบ้านกรุณามาแล้ว แต่ไม่ได้ผลหรือมีความประพฤติผิดปกติมากก็เลยส่งต่อมาบ้านหลังนี้ ส่วนบริการด้านการศึกษาและฝึกอบรมจะเหมือนกับบ้านกรุณาค่ะ
บ้านหลังสุดท้าย คือ “บ้านปรานี” ทำการฝึกและอบรมเฉพาะเด็กและเยาชนหญิง ที่ศาลมีคำสั่งให้อบรม มีการฝึกวิชาชีพ ประเภทเย็บ ปัก ถัก ร้อย เสริมสวย และให้การศึกษาวิชาสามัญในระหว่างการสอบสวนและพิจารณาคดี เช่นเดียวกับบ้านเมตตาและบ้านกรุณาค่ะ
เป็นไงค่ะ...เลือกบ้านให้ลูก ๆ หลาน ๆ คุณได้หรือยังค่ะ แต่ดิฉันว่า “บ้านเรา” อบอุ่นที่สุดใช่ใหมค่ะ
เอกสารอ้างอิง : สุชา จันทน์เอม จิตวิทยาเด็กเกเร