บันทึกชุด ครูเพื่อศิษย์ สอนสู่รู้เชื่อมโยง ตีความ (ไม่ใช่แปล) จากหนังสือ Visible Learning for Literacy, Grades K-12 : Implementing the Practices That Work Best to Accelerate Student Learning (2016) เขียนโดย Douglas Fisher, Nancy Frey, และ John Hattie ซึ่งเป็นหนังสือที่นำเอาหลักการ Visible Learning ที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องโดย John Hattie ในช่วงเวลาเกือบ ๔๐ ปี สู่ภาคปฏิบัติ
บันทึกชุดนี้ต้องการสื่อความและสื่อวิธีการเรียนรู้ที่ประจักษ์ชัดในสองมุม คือมุมนักเรียนที่เรียนอย่างชัดเจนในเป้าหมาย ในความก้าวหน้าของตน ทั้งในการเรียนวิชาและวิธีเรียน และมุมของครู ที่สอนอย่างประจักษ์ในผลที่เกิดขึ้นต่อนักเรียน และโดยใช้การกระตุ้นสายตาของนักเรียนด้วยเป้าหมายการเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนเรียนรู้อย่างมีเป้าหมายอยู่ตลอดเวลา
บันทึกที่ ๔ เรียนรู้ระดับผิวนี้ ตีความจากบทที่ 2 Surface Literacy Learning ในหนังสือ หน้า ๓๕ – ๔๙
ธรรมชาติของการเรียนรู้ดำเนินอย่างเป็นขั้นตอน คือ เรียนระดับผิวก่อน สั่งสมความรู้ระดับผิวเพื่อฝึกเชื่อมโยง ขยายความ สู่การคิดและเรียนรู้อย่างลึก การเรียนรู้ในช่วงแรกจึงเน้นวางพื้นฐานความรู้และความคิดระดับผิวก่อน และพร้อมๆ กันก็เตรียมสู่ความรู้และความคิดระดับลึกด้วย โดยดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน และการวัด ES ก็ต้องวัดตามระดับความลึกที่เป็นเป้าหมาย
ผมตีความว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่ครู ต้องมีความเข้าใจ และมีทักษะการจัดการเรียนรู้ ๓ ระดับ เพื่อไม่หลงจัดย่ำอยู่กับการเรียนรู้ระดับตื้น ไม่ก้าวหน้าสู่ระดับลึก และระดับเชื่อมโยง ซึ่งหมายความว่า ครูต้องมีทักษะการประเมินผลการเรียนรู้ ๓ ระดับนี้ด้วย
นักเรียนก็ต้องเข้าใจ และฝึกทักษะการเรียนรู้ ๓ ระดับ รวมทั้งฝึกทักษะการประเมินตนเอง สู่การเป็นคนที่คิดลึกและคิดเชื่อมโยง
กล่าวได้ว่า ทุกกิจกรรม ทุกบทเรียน นำไปสู่การเรียนรู้ทั้ง ๓ ระดับได้ทั้งสิ้น (แต่อาจจะดีมากดีน้อยแตกต่างกัน) ผู้ที่ทำให้การเรียนรู้เหมาะสม และเกิดผลตามเป้าหมายระดับการเรียนรู้คือครู โดยที่ในระดับผิวมีกิจกรรม ๒ อย่างคือ รับรู้ (acquire) กับ หลอมรวม (consolidate) เข้ากับความรู้เดิม
ทำไมการเรียนรู้ระดับผิวจึงมีความสำคัญ
การเรียนรู้ระดับผิวมีความจำเป็น เพราะเป็นพื้นฐานเริ่มต้นสำหรับการเรียนรู้ระดับต่อไปคือ ระดับลึก และระดับเชื่อมโยง หากการเรียนรู้ระดับผิวไม่มั่นคง การต่อยอดสู่ระดับลึกและเชื่อมโยงก็ทำไม่ได้ดี
ปัจจัยสำคัญคือครูต้องมีทักษะในการใช้วิธีการที่มีผลกระทบต่อการเรียนรู้สูง ในช่วงที่ต้องการเรียนระดับผิว คือการฝึกรับรู้ (acquire) และหลอมรวมความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิม (consolidate)
กาละ เป็นเรื่องสำคัญ ครูต้องรู้ว่า เมื่อไรจะต้องใช้วิธีการอะไร เพื่อส่งเสริมการรับรู้ และการหลอมรวมความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิม การนำเอาวิธีการเพื่อการเรียนรู้ระดับลึกและระดับเชื่อมโยง (เช่น PBL – Problem-Based Learning) เข้ามาตั้งแต่ต้น ในช่วงที่นักเรียนควรเรียนพื้นความรู้ระดับตื้นก่อน จะทำให้การเรียนรู้ไม่ได้ผลดี และการประเมินความรู้ระดับลึกและเชื่อมโยง เช่น ตั้งคำถามเชิงประยุกต์ ก็ไม่ถูกกาละในช่วงนี้ ดังนั้น คำพูดที่ว่า คำถามความคิด (inferential question) ดีกว่าคำถามความจำ (recall question) จึงไม่ใช้คำพูดที่ถูกต้องเสมอไป ในขั้นเรียนรู้ระดับผิว คำถามความจำ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
หลักการของการสอน จึงต้องคำนึงถึงบริบทของนักเรียน ว่าอยู่ที่การเรียนรู้ระดับไหน และกำลังพัฒนาไปสู่ระดับใด ใน ๓ ระดับของการเรียนรู้
รับและหลอมรวม (Acquisition and Consolidation)
การเรียนรู้ระดับผิว (และระดับลึก) ประกอบด้วย ๒ ขั้นตอนคือ การรับรู้ และการหลอมรวม ในขั้นตอนรับรู้ วิธีจัดการเรียนรู้ทำโดยให้นักเรียนสรุป (summarize) และบอกโครงเรื่อง (outline) ของการเรียน ส่วนขั้นตอนหลอมรวม เรียนรู้ได้โดยให้นักเรียนทำข้อทดสอบ หรือปฏิบัติ และได้รับคำแนะนำป้อนกลับ
เขาเปรียบเทียบการเรียนช่วงนี้กับการเริ่มหัดขับรถ ซึ่งต้องเริ่มที่การเรียนรู้ระดับผิวก่อน ได้แก่ทำความรู้จักกฎจราจร และป้ายจราจร แล้วจึงทำความรู้จักรถยนต์ ได้แก่พวงมาลัย เกียร์ คันเร่ง เบรค กระจกมองหลัง ฯลฯ แล้วฝึกวิธีหมุนพวงมาลัย เปลี่ยนเกียร์ เหยียบ-ถอนคันเร่ง เหยียบ-ถอนเบรก ขยับกระจกมองหลัง นี่คือความรู้ระดับผิว ที่มักเรียกกันว่า เบสิก ในขั้นตอนแรก คือการรับรู้ ในขั้นนี้ การสอนเทคนิคการขับรถบนท้องถนน เป็นการสอนที่สูญเปล่า ไร้ประโยชน์ ยังไม่ถึงเวลา
ขั้นตอนที่สอง คือการทำความเข้าใจในเรื่องการหัดขับรถก็คือ การฝึกขับรถ ให้รถเคลื่อนที่อย่างราบเรียบไม่กระตุก เลี้ยวโค้งได้อย่างราบรื่นไม่ปีนขอบถนน ขับเดินหน้าถอยหลังได้ ถอยหลังเข้าจอดชิดขอบทางได้ ฯลฯ ในขั้นตอนนี้ ต้องการครูฝึกคอยให้คำแนะนำและคำแนะนำป้อนกลับมากมาย ขั้นตอนนี้เรียกว่า ขั้นหลอมรวม (consolidation)
หัวใจของผู้ทำหน้าที่ครูคือต้องสังเกตให้เห็นความก้าวหน้า (หรือไม่ก้าวหน้า) ของการเรียนรู้ของศิษย์เป็นรายคน ให้คำแนะนำป้อนกลับ และสังเกตผลกระทบของสิ่งที่ครูปฏิบัติ ต่อการเรียนรู้ของศิษย์ นี่คือหลักการของการเรียนรู้อย่างเห็นผลประจักษ์ชัด
รับความรู้อย่างเห็นชัด
หนังสือเล่มนี้เน้นเฉพาะการเรียนเพื่อ อ่านออกเขียนได้ (literacy) ดังกล่าวแล้วในตอนที่ ๑ คือเน้นที่การอ่าน เขียน ฟัง พูด คิด ซึ่งแค่นี้ก็เป็นการสอนที่ซับซ้อนมาก เพราะนักเรียนจะต้องใช้ทักษะเหล่านี้เพื่อหาความรู้เพิ่ม เพื่อวิเคราะห์แนวความคิด เพื่อการแสดงออก และเพื่อสร้างความรู้ใหม่ที่อาจนำไปใช้โดยผู้อื่น
โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า การรับความรู้เป็นทักษะการเข้ารหัส และแปลรหัส เป็นตัวๆ ไป
เด็กอนุบาลมีความสามารถรับความรู้ และพัฒนาทักษะเป็นด้านๆ และพัฒนาสู่การคิดซับซ้อน หากมีเวลาและได้รับการสอนที่ดี ในด้านวิธีการรับความรู้ วิเคราะห์ความคิด ฯลฯ โดยการเรียนรู้เหล่านี้เริ่มจากการเรียนรู้วิธีรับความรู้ที่ดี โดยมีปัจจัยสำคัญ ๔ ประการคือ
มีข้อเตือนใจ ๒ ประการสำหรับครู สำหรับการจัดการเรียนรู้เพื่ออ่านออกเขียนได้
ยกระดับความรู้เดิม
ความสำเร็จในการเรียนขึ้นอยู่กับความรู้เดิม การเรียนรู้เป็นกระบวนการต่อยอดความรู้เดิม หากครูสอนความรู้ใหม่ที่นักเรียนไม่มีความรู้เดิมไว้รองรับ การเรียนรู้ก็ไม่เกิด ดังนั้นครูจึงต้อง (๑) ตรวจสอบว่านักเรียนมีความรู้เดิมแค่ไหน และ (๒) จัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อต่อยอดหรือยกระดับจากความรู้เดิม
ความรู้เดิมของนักเรียนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอาจเป็นเสี่ยงๆ เลือนราง ไม่ครบ และยุ่งเหยิง และที่ร้ายที่สุดคือ รู้มาผิดๆ ครูจึงต้องมีเครื่องมือประเมินความรู้เดิมของนักเรียน และดำเนินการประเมิน เครื่องมือที่เขาแนะนำคือ anticipation guide หลักการคือ ครูเตรียมกระดาษหนึ่งหน้า แบ่งเป็น ๓ ช่อง ช่องกลางเป็นช่องหลัก เขียนข้อความที่เป็นความรู้เดิม ช่องซ้ายเป็นช่องก่อนเรียน ช่องขวาเป็นช่องหลังเรียน ให้นักเรียนเขียนแค่ A (agree) หรือ D (disagree) การตอบอาจให้นักเรียนทำคนเดียว หรือร่วมกันทำสองสามคนก็ได้ โดยอาจมีช่องเพิ่มให้บอกเหตุผลว่าทำไมเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย
จะเห็นว่า anticipation guide จะช่วยทั้งครูและนักเรียน ช่วยให้ครูรู้ว่านักเรียนแต่ละคนมีความรู้เดิมแค่ไหน ในลักษณะใด ช่วยให้นักเรียนได้ฟื้นความรู้เดิม และทำให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น เตรียมพร้อมรับความรู้ใหม่
ผมตีความว่า anticipation guide เป็นทั้งตัวกระตุ้นความรู้เดิม และเป็นทั้งตัวไกด์เป้าหมายการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือง่ายๆ ใช้เวลาไม่กี่นาที แต่มีพลังช่วยการเรียนรู้ได้มาก
อีกเครื่องมือหนึ่งคือ Cloze Procedure ซึ่งก็คือคำถามแบบให้เติมคำลงในช่องว่างของข้อความ ซึ่งมีประโยชน์หลายอย่าง และมีรายละเอียดวิธีสร้างข้อความเพื่อเป็นโจทย์ที่เหมาะสมตาม ลิ้งค์ ที่ให้ไว้
ความสำเร็จในการเรียนช่วงก่อน (prior achievement) มีผลต่อความสำเร็จของการเรียนรู้ในอนาคต (future achievement) EF = 0.65
เป้าหมายของการเรียนรู้ในระดับนี้คือ นักเรียนบอกได้ว่าประเด็นหลักของเรื่องที่เรียนคืออะไร
สอนวิธีออกเสียง และ Direct Instruction
การฝึกทักษะการอ่านขั้นรับรู้ ขั้นหลอมรวม และขั้นลึก ต้องการการสอนอย่างมีหลักการและวิธีการ ตลอดช่วงชั้นอุบาลถึง ม. ๖ เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ไม่สามารถเรียนได้ด้วยตนเองตามธรรมชาติเหมือนอย่างการพูด เพราะการพูดเป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ที่วิวัฒนาการมากับความเป็นมนุษย์ เมื่อเวลาระหว่าง ๑.๗๕ ล้านปี ถึง ๕ หมื่นปีมาแล้ว แต่ตัวหนังสือและการอ่าน เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ๖ พันปีมานี้เอง โดยที่มนุษย์ต้องใช้โครงสร้างการพูดในชีวิตประจำวันช่วยฝึกการอ่าน การฝึกให้สมองคุ้นเคยกับการอ่าน ต้องการการดำเนินการที่จำเพาะ ที่เรียกว่า “การสอนอ่านที่ได้ผลดี” (effective reading instruction)
ทักษะการอ่านประกอบด้วย ๖ ทักษะย่อย ที่ในที่สุดจะรวมกันเข้าเป็นหนึ่งเดียว ได้แก่
๔ ทักษะแรกเมื่อฝึกดีแล้วก็เป็นอันจบ ไม่ต้องฝึกต่อ ครูต้องเอาใจใส่ ๓ ทักษะแรกจริงจังเพียงแค่ถึง ป. ๓ เท่านั้น และเอาใจใส่สอนทักษะที่ ๔ ไปถึงประมาณ ม. ๒ สี่ทักษะนี้รวมเรียกว่า constrained skills คือมีขอบเขตแน่นอนตายตัว เช่นภาษาไทยมีพยัญชนะ ๔๔ ตัว สระ ๒๑ รูป วรรณยุกต์ ๕ ตัว แต่ ๒ ทักษะหลังจะมีการเรียนรู้และพัฒนาไปตลอดชีวิต และครูต้องเอาใจใส่พัฒนาให้ศิษย์ไปจนจบ ม. ๖ สองทักษะหลังรวมเรียกว่า unconstrained skills
ผมขอเสนอว่า น่าจะมีทักษะย่อยที่ ๗ ของการอ่านคือ
ครูมีหน้าที่ต้องสอนทั้ง constrained skills และ unconstrained skills โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูชั้นประถมศึกษา พื้นฐานสำคัญคือ การฝึกออกเสียง สัมพันธ์กับตัวอักษร เชื่อมโยงไปสู่การตีความตัวหนังสือที่ตามกันมาเป็นทิวแถว ทั้งหมดนั้น ก็เพื่อฝึกสมองให้คล่องแคล่ว ทำได้อย่างเป็นอัตโนมัติ ซึ่งหมายความว่า โครงสร้างของสมองได้เปลี่ยนแปลงไป ให้รับรู้และเข้าใจความหมายของภาษาเขียนได้โดยอัตโนมัติ และบรรจุทักษะนี้ไว้ในความจำระยะยาว (longterm memory) โดยครูต้องเข้าใจว่าศิษย์แต่ละคนกำลังเรียนได้ถึงขั้นไหน ต้องการความช่วยเหลือตรงจุดไหน
ภาษาพูด เรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ภาษาเขียน เรียนรู้อย่างมีวิชาการ ต้องมีครู และหากมีการสอนผิดๆ อาจก่อผลร้ายต่อชีวิตของเด็กไปตลอดชีวิต เพราะนี่คือพื้นฐานไปสู่การเรียนรู้ขั้นสูงต่อไปในชีวิต
Direct Instruction
เป็นการให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติ หรือทำเอง ครูคอยให้คำแนะนำป้อนกลับ แก้ไขการออกเสียง บอกคำอ่านที่ถูกต้อง บอกเป้าหมายและคุณค่าของการเรียนรู้ในขั้นนี้ว่ามีความหมายต่อชีวิตภายหน้าอย่างไร EF ของ Direct Instruction เท่ากับ 0.59
หลักการของ Direct Instruction มีดังต่อไปนี้
ครูต้องมีทักษะในการ “มองเห็น” ความคิดในหัว (สมอง) ของนักเรียน และสนุกกับการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับกิจกรรมที่ศิษย์กำลังทำ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีเป้าหมายของศิษย์ นี่คือทักษะจำเป็นของครู ที่คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ต้องฝึกให้แก่นักศึกษาครู และเป็นประเด็นของ PLC ของครูในโรงเรียน
(มีต่อในบันทึกที่ ๕)
วิจารณ์ พานิช
๑ ม.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น