คุณป้าคือใครหนา


“สวัสดีค่ะคุณหมอ จำป้าได้ไหม” หญิงชราท่านหนึ่งทักทายผมในงานวันเผาศพของอาจารย์ที่เคารพ

ผมสวัสดีท่านและยิ้มตอบจนแก้มปริแทนคำตอบ เพราะนั่นคือ จำไม่ได้ แต่ก็นะ หน้าตาของคุณป้านั้นแสนจะคุ้นเคย ผมต้องรู้จักท่านมาก่อนสิ คือแบบว่าหัวใจมันพองโตที่ได้เจอ แต่ดันจำไม่ได้ว่าท่านคือใคร

ในช่วงเวลาที่ต้องเคลื่อนศพอาจารย์ไปยังเมรุ ผมก็เดินตามร่างที่บรรจุอยู่ในโลงศพสีขาว ลูกศิษย์ลูกหาหลายคนช่วยกันประคองโลงศพ บางคนเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ บางคนเป็นข้าราชการระดับสูง มาช่วยกันประคองโลงของอาจารย์ผู้เป็นที่รักของคนมากมาย

ผมไม่ได้แบกโลงศพ เพียงเดินตามท่านไปอย่างสงบ และเพียงแวบหนึ่งนั้น คุณป้าท่านเดิมก็ยืนอยู่ที่ริมทางเดินและส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง

“ใครกันหนา” ผมรำพึงกับตัวเอง ทำไมผมจึงจำท่านไม่ได้ ทั้งๆที่ในใจกลับรู้สึกคุ้นเคยเสียเป็นอย่างมาก

..........................

นานมาแล้ว มีชายชราท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า “คนเรา ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่จะหมดลมหายใจ ใครทำดี ใครทำชั่ว เลวร้ายยังไง สิ่งเหล่านั้นมันจะเข้ามาหา มาหลอนกันก่อนสิ้นลมนั่นแหละ”

ผมเลยทึกทักเอาเองว่า คนที่ทำดีมาตลอด เวลาตายหน้าตาจะผ่องใส แม้นซูบตอบก็ยังผ่องใส เหมือนเมื่อครั้งที่พ่อตายเพราะโรคหัวใจ แม้ว่าพ่อจะเหนื่อย หายใจไม่สะดวก แต่แม่บอกว่า แม่มองเห็นพ่อนอนยิ้มแก้มบุ๋มอยู่บนเตียงคนไข้ แล้วสิ้นใจตายตอนนั้น

ส่วนคนที่ทั้งชีวิตมีแต่กรรมชั่ว ก็คงเป็นไปในทางที่ต่างกัน เช่นผวาตลอดเวลา เพราะมองเห็นแต่ตัวตึกล้มลงมาทับ ผมมโนไปว่าเขาคงกินตึกมาก่อน หรือหายใจไม่ออกในช่วงใกล้สิ้นลม เขาดูทุรนทุรายเหมือนถูกธรณีสูบ ชวนให้มโนไปว่า เป็นพวกกินดินกินทราย หรือกระทั่งกินงบน้ำมาอย่างมากมาย

ผมก็ว่าไปเรื่อย เพราะไม่อิน ผมยังไม่เคยใกล้ตาย บางทีก็ยังนึกจินตนาการไปว่า ในช่วงเวลาก่อนจะสิ้นลมของผมนั้น อะไรหนาที่จะวิ่งเข้ามาหา มาดีหรือมาหลอกหลอน

แล้วผมก็ได้เห็นเรื่องแบบนี้เป็นเชิงประจักษ์กับตา เมื่อคราวที่ครูแพทย์ผู้เป็นที่รักได้ป่วยหนักและเสียชีวิตจากไป

ครูของผมคนนี้ท่านเป็นหมอผ่าตัดและท่านเป็นโรคมะเร็ง

หลายๆคนรู้จักท่าน ในภาพจำคือผู้ชายร่างเล็ก แต่มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่มหาศาล

ตลอดชีวิตการเป็นหมอ อาจารย์ได้สร้างคุณูปการมากมาย ทั้งการดูแลรักษาผ่าตัดคนไข้ ช่วยเหลือคนไข้ ช่วยเหลือญาติคนไข้ ช่วยเหลือใครต่อใครที่เข้ามาขอพึ่งบารมีของครู นี่คือหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ในฐานะแพทย์

นี่ยังไม่รวมถึงการไปช่วยผ่าตัดตามโรงพยาบาลต่างๆที่ขาดศัลยแพทย์ หรือกระทั่งไปช่วยพัฒนาศักยภาพการผ่าตัดในโรงพยาบาลขนาดเล็กระดับอำเภอ ในอำเภอที่เป็นบ้านเกิดของท่านหลังจากที่เพิ่งผ่านการรักษามะเร็งในครั้งแรกจนหาย เพียงไม่กี่ปี อาจารย์ได้ผ่าตัดรักษาคนไข้ในโรงพยาบาลอำเภอแห่งนั้นไปมากมายหลายร้อยคน 

อีกหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน นั่นคือการสร้างลูกศิษย์ โดยเฉพาะการปั้นศัลยแพทย์มือดีออกไปเป็นกำลังสำคัญตามโรงพยาบาลต่างๆมากมาย ผมเข้าใจว่า หน้าที่นี้นี่แหละ ที่หล่อเลี้ยงหัวใจของท่านมายาวนานตลอดอายุราชการที่ผ่านมา

ในช่วงวาระสุดท้ายขณะที่ท่านป่วยหนักมาก จำได้ว่าในวันนั้นท่านถูกพาไปฉายแสงบริเวณลำคอเพื่อหยุดเลือดที่กำลังออกมาจากเนื้อมะเร็ง 

“ไปรอที่ห้องผ่าตัดก่อน เดี๋ยวผมจะตามไป เตรียมผ่าตัดได้ทันทีเลย” นั่นคือคำสั่งของท่านที่ส่งมายังลูกศิษย์ที่ดูแลใกล้ชิด พร้อมๆกับการวาดรูปวางแผนการผ่าตัดให้คนไข้คนหนึ่ง ซึ่งเป็นมะเร็งบริเวณหลอดอาหารส่วนต้นและกำลังมีเลือดออก 

ท่านไม่รู้ตัวหรอก ว่าคนไข้ที่ท่านกำลังจะไปช่วยผ่าตัดให้เขานั้น คือตัวอาจารย์เอง

เห็นไหม ว่าในวาระท้ายที่สุด ท่านก็ยังคงเป็นหมอผ่าตัดที่ทรนง แม้นท่านป่วย แต่ท่านเป็นหมอผ่าตัดที่เก่ง ท่านจึงต้องไปทำงานในห้องผ่าตัด ไปช่วยคนไข้

ชีวิตของชายผู้ทำงานเป็นหมอผ่าตัดมาทั้งชีวิต ช่วยเหลือคนอย่างจริงใจมาทั้งชีวิต เมื่อใกล้สิ้นลม ความสุขอย่างแท้จริงก็หวนกลับมาหา นั่นคือการผ่าตัด 

อาจารย์คงกำลังผ่าตัดอยู่อย่างมีความสุขจริงๆ

ร่างไร้ลมหายใจของอาจารย์ที่นอนอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียงในห้องไอซียูดูผ่องใส ชุดสีเขียวและหมวกผ่าตัดที่ท่านสวมอยู่นั้น ทำให้เรานึกไปว่า ท่านคงเพิ่งไปผ่าตัดกลับมาแล้วกำลังนอนหลับพักผ่อน

คำสั่งเสียสุดท้ายคือการให้จัดการงานศพเพียง ๓ วัน

แต่ผมเชื่อว่าสวรรค์คงรับรู้ เพราะการจัดงานเพียง ๓ วันสำหรับผู้ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญ มีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณของคนอีกหลายๆคนอย่างเช่นอาจารย์นั้น มันย่อมไม่ใช่เรื่องดี คนรักอาจารย์มีล้นเมือง ดังนั้น วัดที่ท่านระบุไว้ในคำสั่งเสียจึงยังไม่ว่าง เคลื่อนศพไม่ได้ คนอยู่ข้างหลังจึงได้พอหายใจจัดเตรียมงาน แจ้งข่าว เคลียร์งาน จองตั๋วเรือบิน ขับรถ ลงเรือ ทุกคนอยากจะมาส่งอาจารย์

คนมาร่วมงานเยอะมาก คนไข้ ญาติคนไข้ ลูกศิษย์ลูกหา อดีตเพื่อนร่วมงาน ใครต่อใครก็อยากมาส่งอาจารย์ ทั้งคน ทั้งเทวดา และอาจจะรวมถึงที่ไม่ใช่เทวดา 

เชื่อผมไหม

...........................

เวลาผ่านมาหลายวัน ผมก็ยังคงนึกไม่ออก ว่าคุณป้าท่านนั้นคือใคร หลับตาก็นึกหน้าออก แต่นึกชื่อ นึกเรื่องราวไม่ออก

กระทั่งวันหนึ่งที่ผมเดินผ่านหน้าสำนักงานมูลนิธิของโรงพยาบาล พลันก็รู้สึกได้ถึงความปีติ

ผมนึกออกแล้ว ผมเคยเจอคุณป้าท่านนั้นในงานหลายๆงานท่ีจัดขึ้นในโรงพยาบาลของเรา ท่านรู้จักกับอาจารย์ของผม เขาทั้งคู่ดูสนิทกัน

แต่เอ๊ะ...แล้วขนทั้งร่างของผมก็ลุกชันเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ผมก็เพิ่งไปงานศพของคุณป้ามาเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง

ว่าทำไม “คุ้นนัก”

...........................

นานมาแล้ว มีชายชราท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า “คนเรา ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่จะหมดลมหายใจ ใครทำดี ใครทำชั่ว เลวร้ายยังไง สิ่งเหล่านั้นมันจะเข้ามาหา มาหลอนกันก่อนสิ้นลมนั่นแหละ”

ผมมานั่งนึก นอนนึก ยืนนึก วิ่งนึก ว่าในช่วงท้ายก่อนสิ้นลม ผมจะหวนให้ถึงสิ่งใด

เหล่าเด็กๆที่ผมเอาออกก่อนวันอันควร (ที่เรียกว่าแท้ง) หรือกลิ่นฉี่ (แน่สิ อย่าลืมว่าผมเป็นหมอรักษาโรคฉี่เล็ด) คุณยายคุณย่าหลายร้อยคนที่ผ่านมาในชีวิต (ก่อนตายคงรวบรวมได้ราวพันคนสินะ) หรือ....

แฮร่..

อูย..คิดเร็วไปมั้ย 

ผมจะตายตอนอายุ ๙๐

ธนพันธ์ ชูบุญจะอยู่ให้ถึงเก้าสิบ

๗ พย ๖๒

คำสำคัญ (Tags): #หมอประเสริฐ
หมายเลขบันทึก: 673156เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 17:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 17:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท