ตกเลือดหลังคลอดอีกแล้ว



พลันที่เราได้ตัดไหมที่หน้าท้อง แหวกชั้นไขมัน เลาะเส้นไหมที่เย็บชั้นพังผืดชั้นสุดท้ายของผนังหน้าท้องเข้าไปได้นั้น เลือดปริมาณหนึ่งก็ทะลักออกมา

ผ้าซับเลือดสองผืนถูกใส่ดันลำไส้ไว้ด้านบนช่องท้อง

แล้วเราก็เห็นมดลูกของเธอ

“นั่นไง ว่ายังไงอาการจึงได้แย่ลงมากนัก” ผมอุทานออกมา

...........................

“อาจารย์ขา จะมีการส่งต่อเคสเข้ามารายหนึ่งค่ะ คนไข้ผ่าท้องคลอดไปเมื่อตอนเช้า แล้วตกเลือกมากจนต้องเข้าไปผ่าตัดซ้ำรอบสอง หมอที่โรงพยาบาลต้นทางบอกว่ามีก้อนเลือดไหลเซาะเข้าไปหลังผนังช่องท้องปริมาณมาก เค้าเกรงว่าจะหยุดเลือดไม่ได้ จึงขอส่งตัวมาค่ะ” คุณหมอแป๋ม หัวหน้าทีมแพทย์ประจำบ้านส่งเสียงมาทางโทรศัพท์

“แล้วแป๋มว่าไงล่ะ” ผมถาม หลังจากที่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย

“หนูรับมาแล้วค่ะ แต่คงต้องรออีกสักระยะเพราะที่นู่นกำลังจัดการเรื่องที่คนไข้กำลังช๊อคอยู่ค่ะ” เธอตอบ

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า คนไข้รายนี้เธอต้องรับการผ่าตัดคลอดเป็นการเร่งด่วนเนื่องจากคลอดไม่ออก เธอตัวเล็ก และมีปัญหาครรภ์เป็นพิษ

การผ่าท้องคลอดเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากทารกคงติดอยู่ในช่องคลอดค่อนข้างลึก การล้วงเอาเด็กออกมานั้นจึงทุลักทุเล ดังนั้นมันจึงมีรอยฉีกที่รอยแผลของมดลูกยาวไปจนถึงจุดที่หลอดเลือดวิ่งเข้ามาเลี้ยงมดลูกพอดี

นั่นจึงเป็นเหตุให้การตกเลือดที่คุณหมอสูติท่านนั้นเจอจึงเป็นเรื่องใหญ่

ผมจินตนาการเห็นเหงื่อผุดตามใบหน้าของคุณหมอที่กำลังผ่าตัดอยู่เพียงคนเดียว ผู้ช่วยที่สำคัญที่สุดด้านตรงข้ามคือพยาบาลประจำห้องผ่าตัด

นิ้วชี้มือซ้ายกดหลอดเลือดส่วนต้นไว้ มือขวาจับ needle holder ปักเข็มลงไปเพื่อให้คร่อมหลอดเลือดที่ฉีกขาด แต่พลันที่การผูกไหมเสร็จสิ้น เลือดก็ยังไหลเอ่อออกมาอีก

“เย็บ” สิ้นเสียงสั่งการ มือขวายื่นออกไปรับ needle holder อีกครั้ง 
การเย็บยังดำเนินไป เขาคงรู้ได้ว่า สงครามยังไม่เสร็จสิ้น

ในตำราผ่าตัดทางสูติกรรมเขียนไว้ว่า ให้ผูกหลอดเลือดทั้ง ๔ เส้น เพื่อหยุดเลือดจากมดลูก

คุณหมอคนเดิมใช้มือซ้ายดึงตัวมดลูกเข้ามาหาตัว จากนั้นจึงปักเข็มลงในตำแหน่งที่ตำราเขียนบอกเอาไว้ 
“ตรงนี้คือ uterine vessels” ผมคิดว่าเขาก็คงนึกแบบนี้ แล้วก็ผูกไหม จากนั้น จึงเลื่อนมือขึ้นไปถึงตำแหน่งยอดมดลูก “ovarian vessels” แล้วก็ปักเข็มลงไป สาวไหมมาจนสุด แล้วผูก

นั่นคืองานชุดแรกในช่วงรุ่งเช้า

คนไข้ถูกส่งออกมาสังเกตอาการที่หอผู้ป่วย

แต่ความดันเลือดยังคงต่ำ เลือดที่ไหลออกมาในกระเปาะที่ต่อออกมาจากในช่องท้องแสดงให้เห็นว่า “ยังมีเลือดออกในช่องท้องอยู่” 

การตัดสินใจผ่าท้องในครั้งที่ ๒ จึงเกิดขึ้นในอีก ๒ ชั่วโมงต่อมา แล้วทุกคนก็พบว่า จุดที่ต่อมาจากรอยเย็บหลอดเลือดในครั้งแรกนั้นมันไม่ได้ผล เลือดที่ซึมเซาะออกจากรอยฉีกขาดและรอยเย็บนั้นมันเข้าไปขังอยู่หลังเยื่อบุผนังช่องท้องขนาดใหญ่

“ปิดท้อง เตรียมส่งไปม.อ.” นั่นคงเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วจริงๆ

แล้วพวกเราก็ได้เจอเธอ

ทีมหมอเอ็กซเรย์อินเตอร์เว็นชั่นถูกปรึกษาเพื่อฉีดสีที่หลอดเลือดหารอยเลือดออก และหากเป็นไปได้ก็จะได้ฉีดสารอุดหลอดเลือดไปด้วยเลย ถ้ามันสำเร็จ คนไข้จะไม่ต้องถูกผ่าตัดซ้ำ

มันก็เป็นไปตามนั้น

เรื่องมันควรจะจบสักที เธอบอกว่าอยากกลับบ้าน อยากเห็นหน้าลูกเต็มทีแล้ว

ในช่วงค่ำของวันที่ ๓ หลังจากที่ได้รับส่งตัวมา ทีมเราตัดสินใจผ่าท้องเธออีกครั้ง เพราะอาการจองเธอแย่ลง

เธอปวดท้องมาก ผมลองกดที่ยอดมดลูก เธอสะดุ้งโหยง หัวใจเธอเต้นเร็วมาก และมีไข้สูงปรี๊ด เราสงสัยว่า ก้อนเลือดที่เหลือค้างอยู่นั้นเป็นสาเหตุของการติดเชื้อรุนแรงในช่องท้องและมดลูก

“หมอคิดว่า เราต้องเอาก้อนเลือดที่ค้างอยู่นั้นออกให้มากที่สุด อาจจะต้องตัดมดลูกออกด้วยถ้าหากการติดเชื้อมันลุกลามเข้ามาในมดลูกนะครับ” ทีมเราแจ้งให้เธอและสามีรับทราบ

“รู้สึกเหมือนจะขาดใจใช่ไหม” ผมถามเธอก่อนที่การดมยาสลบจะเริ่มขึ้น เธอเหลือบตามามองผมแล้วพยักหน้าช้าๆ

“เดี๋ยวก็จะเรียบร้อยนะ” ผมตีที่หัวไหล่เธอเบาๆ ตีเหมือนทุกครั้งที่มาราวนด์แล้วพบว่าเธอยังสู้อยู่ด้วยกันกับเรา

เธอถูกสอดท่อช่วยหายใจ สายต่างๆที่ใช้ในการให้สารน้ำ ให้เลือด ถูกจัดเรียง แรงดันเลือดถูกวัดด้วยการสอดเข็มเล็กๆเข้าที่หลอดเลือดแดงจากข้อมือขวาแล้วต่อเข้าเครื่องวัดโดยตรง เราพบว่า เธอยังขาดน้ำพอประมาณ
อาจารย์น้องแจ๋มเป็นผู้บัญชาการรบอยู่ที่หัวเตียง ผมรู้สึกวางใจ 

อาจารย์อาร์ทมาถึงแล้ว ผมให้เขาเป็นเบอร์หนึ่ง และผมจะขยับลงมาเป็นเบอร์สอง อาจารย์กระแตก็มาร่วมด้วย คุณหมอพีทและคุณหมอเอิร์ทเปลี่ยนชุดเข้ามาเป็นผู้ช่วย

และพลันที่เราได้ตัดไหมที่หน้าท้อง แหวกชั้นไขมัน เลาะเส้นไหมที่เย็บชั้นพังผืดชั้นสุดท้ายของผนังหน้าท้องเข้าไปได้นั้น เลือดปริมาณหนึ่งก็ทะลักออกมา

ผ้าซับเลือดสองผืนถูกใส่ดันลำไส้ไว้ด้านบนช่องท้อง

แล้วเราก็เห็นมดลูกของเธอ

“นั่นไง ว่ายังไงอาการจึงได้แย่ลงมากนัก” ผมอุทานออกมา

ก้อนเลือดเจ้าปัญหานั่นมันกำลังติดเชื้ออย่างสุกงอม มันกำลังจะกลายเป็นหนอง 
ยังครับ มันยังไม่ใช่หนองเสียทีเดียว แค่เกือบๆ ลองหลับตานึกถึงช๊อกโกแล็ตฟองดูดูสิ

การอักเสบลุกลามมาที่มดลูกด้านที่มีการฉีกขาดของหลอดเลือดค่อนข้างมาก หลอดเลือดมีร่องรอยการอุดตัน รังไข่ด้านเดียวกันเริ่มมีคราบเนื้อตาย

“เอาล่ะ เข้าใจได้” ผมบอกให้ทุกคนทราบว่า เราจะตัดมดลูกและรังไข่ด้านหนึ่งทิ้งไป ก้อนเลือดเจ้าปัญหาถูกทยอยควักออก อาจารย์อาร์ทเลาะเนื้อเยื่อเพิ่มเติมเพื่อดูท่อไต ตรวจจนแน่ใจว่ามันไม่มีการบาดเจ็บ เราล้างท้องด้วยน้ำอุ่น ผมแซวหัวเตียงไปว่า “คนไข้มีไข้สูงปรี๊ด เราจะเพิ่มอุณหภูมิในช่องท้องให้อีก โอเคไหม”

“ไม่เป็นไรอาจารย์ หนูกำลังเอาเจลเย็นมาช่วยกันประคบลดไข้อยู่” น้องพยาบาลดมยาตอบกลับมา

“เราจะปิดท้องแล้วนะครับ” ผมแจ้งในทีม แล้วสายระบายเลือดจากช่องท้องก็ถูกนำมาใช้ 

งานผ่าตัดจบ

แต่การดูแลยังไม่สิ้นสุด 
คืนนี้คนที่จะไม่ได้นอนก็คือทีมไอซียู หมอเวรของผม และเธอเองที่เริ่มตื่นและรู้ตัว 

“เราเรียนรู้อะไรจากการได้ดูแลคนไข้คนนี้บ้าง” ผมถามลูกศิษย์

ตำตอบในเรื่องโรค เรื่องเทคนิคการผ่าตัดห้ามเลือด หรืออะไรที่มันเกี่ยวกับวิชาการคือคำตอบที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ผมกำลังจะสื่อสารมันกลับต่างออกไป 

หมอสูติที่ทำงานในโรงพยาบาลประจำอำเภอ หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างๆนั้น เขาทำงานอยู่กับคนไข้ หลายๆคนต้องผ่าตัดคนเดียว เผชิญสถานการณ์กับปัญหาที่เกิดขึ้นตามลำพัง พวกเราอยู่ในโรงพยาบาลที่มีหมอเก่งๆอยู่มากมาย มีหมอและพยาบาลจากแผนกอื่นมาร่วมกันช่วยดูแล อย่างผมเอง บอกได้เลยว่าได้ขอความช่วยเหลือจากทีมบ่อยมาก ผมไม่ต้องคิดคนเดียว ไม่ต้องผ่าตัดคนเดียว หลายๆครั้งยังถูกดันให้ออกมานอกการผ่าตัด เพราะเขาต้องการผู้อำนวยการนอกเคสเพื่อดูภาพรวมและประสานงานต่างๆที่จำเป็น

ดังนั้น เมื่อมีการร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จากโรงพยาบาลข้างนอก เราต้องรีบช่วยเหลือในทันที อย่าอิดออด 

จำไว้!

เพราะในช่วงวิกฤติ เวลาที่สูญเสียไปแม้เพียงนาทีที่จะให้ล้อรถพยาบาลหมุนออกมา มันหมายถึงชีวิตคน

...........................

ผมนึกถึงบรรยากาศที่ผ่านมาเมื่อครู่ รู้สึกเหมือนราวกับอยู่ในสงคราม

เสียงอึกทึกจากภายนอกดังจนรบกวนโสตประสาท “ตึงๆๆๆๆๆ” มันดังมาเป็นชุดๆ ผมกำลังสงสัยว่าอาจจะมีการยิงกันอยู่ด้านนอก ทุกคนต้องตะโกนเพื่อสั่งงาน

“๓ ถุง รีบๆหน่อย รออยู่นานแล้ว” นั่นไง สงสัยห้องผ่าตัดกำลังขาดเลือด

ตำรวจ ๔-๕ นายเดินเข้ามา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดตรวจวัตถุระเบิด

“โรตีมะตะบะ ๒ ข้าวหน้าเนื้อแดง ๓ ไข่ลวก ๕ ชาร้อน ๔ แก้ว” เขาสั่ง

“พี่ตำรวจไปนั่งเลย เดี๋ยวจัดการให้ หนุ่มน้อยผู้มีอารมณ์ดีตลอดเวลาตะโกนใส่ตำรวจกลุ่มนั้น

ออ..ผมกำลังนั่งกินข้าวสวย ซดซุปเนื้อเปื่อยอยู่ที่ร้าน “ก๊ะนุ้ย” นั่นเอง

ธนพันธ์ ชูบุญสายเนื้อ
๒๗ ตค ๖๒

หมายเลขบันทึก: 673151เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท