ของหายและหวย



“แม่ ซื้อเบอร์ให้หน่อยดิ” ผมโทรศัพท์ไปหาแม่บังเกิดเกล้า
“เลขอะไรลูก” น้ำเสียงแม่ออกจะงงสักหน่อย

เพราะปกติแล้วผมเป็นคนไม่ซื้อหวยใต้ดินเลยครับ เป็นแบบนี้มานานมากแล้วตั้งแต่เรียนจบหาเลี้ยงชีพได้ หรือตั้งแต่พ่อแม่ส่งเสียให้เรียนก็ไม่เคยซื้อหวยใต้ดินเอง (แต่ฝากคนอื่นซื้อน่าจะสักครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น)

จำได้ว่าในช่วงปี ๒๕๔๓ ที่พ่อเพิ่งตายไปใหม่ๆ หลังเผาพ่อไปได้ ๒ สัปดาห์พ่อก็มาหาในความฝัน บอกให้ผมไปซื้อหวยโดยการส่งกระดาษเขียนตัวเลขไว้ชัดเจนติดตา 

“แต่พ่อก็รู้ ว่าผมไม่ซื้อหวยนี่นา” ผมบอกพ่อไป ตอนนั้นอาจจะหงุดหงิด แต่ผมคิดถึงพ่อมากกว่าจะมาสนใจเรื่องหวยๆ แล้วพ่อก็ยกกิ่งไม้ที่มีหนอนตัวโตมาตีที่หัวไหล่ผมจนสะดุ้งตื่น

ผมเก็บเรื่องนี้ไว้จนถึงวันที่หวยออก ในช่วงเช้าก็โทรไปบอกแม่ แม่ไปซื้อ แต่ผมไม่สนใจ จนในช่วงเย็นไปนั่งกินขนมจีนรสชาติห่วยๆแถวอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 
“เดี๋ยวขอตัวไปซื้อหนังสือพิมพ์หน่อยนะเธอ” ผมบอกเธอ คนที่กำลังเป็นเมียผมในตอนนั้น (เดี๋ยวๆ และตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่....รู้นะ ว่าคิดอะไร) ด้วยหวังอย่างเดียว คืออยากรู้ว่าเบอร์ออกอะไร
“เรียงเบอร์ครับ เรียงเบอร์” เด็กคนนั้นยืนขายหนังสือพิมพ์อยู่ริมถนน

ผมไม่ได้ซื้อหนังสือของเขา สายตาเหลือบไปเห็นตัวเลขบนแผ่นกระดาษนั้นแล้วใจมันฝ่อ เลขที่ออกคือ “๗๑๕” พ่อให้มาตรงเสียชนิดที่ว่าไม่ต้องเสียเวลาพลิกเลขกลับไปกลับมาด้วยซ้ำ

แม่ถูกหวยดีใจ ส่วนผมกลับมานอนตาค้าง

นั่นคือการไม่ซื้อหวยที่ผมรู้สึกเสียดายมากที่สุดในชีวิต แต่ก็เสียดายไม่นาน เพราะผมไม่ใช่คนเล่นหวยไง
...................

“น้องครับ เอกสารสำคัญในงานที่เราเคยทำร่วมกันของเราอยู่ที่ไหนครับ” ผมพิมพ์ข้อความนี้ส่งไปให้ลูกศิษย์ เพราะในขณะนั้นกำลังนั่งเรียนหนังสืออยู่แล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าเอกสารสำคัญที่ว่านั้น มันสำคัญมาก

“ผมทิ้งไว้ที่หอครับอาจารย์ และผมคืนห้องพักไปแล้ว” ลูกศิษย์ตอบมาด้วยข้อความปกติ แต่มันทำให้ผมร้อนวูบไปทั้งแผ่นหลังและใบหน้า

“ซีเรียสว่ะ เป็นอย่างนั้นจริงๆเหรอ แล้วนี่นายคืนห้องพักไปนานเท่าไหร่แล้ว” นิ้วมือผมสั่นขณะพิมพ์ข้อความลงไป

“๒ เดือนครับ” อันที่จริงเจ้าลูกศิษย์ผมมันพิมพ์เป็นเลขอารบิก

“นายอยู่หออะไร ห้องไหน บอกมาเลย เดี๋ยวผมจะลองไปหาดู” 

หึหึ หายนะชัดๆ 
หอพักถูกคืนไปแล้วราว ๒ เดือน การจัดสรรห้องพักก็น่าจะเสร็จไปแล้ว แล้วหมอคนใหม่ก็น่าจะย้ายเข้าไปอยู่แล้ว แล้วเอกสารสำคัญที่ว่าในตอนนี้จะไปอยู่ที่ไหนแล้ว แล้ว แล้ว แล้วมากจริงๆ

ผมนั่งเรียนแทบไม่รู้เรื่อง

แต่อาจเป็นไปได้ ที่แม่บ้านจะเก็บเอาไว้เพื่อรอขายของเก่า เราควรติดต่อแม่บ้าน ดังนั้นผมจึงเริ่มกระบวนการในทันที
“มน ช่วยหน่อย ใครดูแลหอดาราคาม” ผมโทรหามน เธอเป็นแม่บ้านที่ผมสนิทมากคนหนึ่ง
“หมอ..มนว่าไม่เหลือแล้วหรอก เพราะตอนนี้คนเข้าหอพักหมดแล้ว และพวกกองกระดาษก็จะถูกขายทุกวันศุกร์” มนไม่ให้กำลังใจกันเลย
“เอาเหอะ เผื่อยังเหลือ” ผมตอบไป พลางจินตนาการเข้าข้างตัวเองอย่างสุดตัว มนบอกว่า แม่บ้านประจำหอนั้นชื่อ “ป้าจิต”

“สาธุ ขอให้เอกสารยังอยู่ด้วยเถิด” ผมอธิษฐานของความช่วยเหลือจากหลวงปู่ทวดหน้าตึกของโรงพยาบาล ในใจก็นึกขำตัวเองที่เรียกหาแต่ท่าน ไอ้ที่ขำก็เพราะนึกไม่ออกเลย ว่าท่านจะช่วยผมได้อย่างไร เอกสารมันน่าจะถูกขนออกไปหมดแล้ว ท่านเปลี่ยนอดีตไม่ได้หรอก

“ห้องอะไร” ผมยังคงต้องการคำตอบจากลูกศิษย์ และเพียงไม่นานก็ได้ข้อความตอบกลับมา เขาคงรู้สึกถึงความหงุดหงิดของผม

“ป้าจิตครับ ช่วยผมหน่อย” แล้วผมก็เล่าความต้องการ
“อาจารย์คะ ห้องนั้นจัดสรรไปแล้ว แม่บ้านเข้าไปเคลียร์ของเรียบร้อยแล้ว” ป้าจิต แม่บ้านที่ผมไม่รู้จักตอบมาทางโทรศัพท์
“แต่ของที่ถูกวางไว้นอกห้องนั้น แม่บ้านจะไม่เก็บทิ้งนะคะ เราจะเก็บรวมเอาไว้ค่ะ” นั่นไง มันอาจจะอยู่รวมในกองนั้นก็ได้ ถึงแม้ว่ามันจะดูลมๆแล้งๆ แต่มันก็น่าลุ้นอยู่ไม่น้อย

“งั้นผมจะไปที่หอพักตอนเที่ยงนะครับ” ผมนัดกับป้าจิต และนั่งเรียนต่อด้วยใจไม่สงบ ครูสอนไป ผมสวดมนต์ไป แอร์ในห้องเย็นเฉียบ แต่แผ่นหลังและจั๊กแร้ผมมีเหงื่อซึม

“อาจารย์ทานข้าวเที่ยงก่อน” เสียงของน้องผู้จัดการอบรมเรียกผม แต่ผมไม่ได้รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย

“ป้าครับ ผมมาถึงแล้ว” ผมโทรหาป้าจิต

ป้าจิตออกมาพร้อมน้องแม่บ้านอีกคน เธอทั้งคู่สวัสดีผมก่อน (อันที่จริง ควรเป็นผมต่างหากที่ต้องสวัสดีเธอก่อน)
“อาจารย์คะ หนูเป็นคนเก็บห้องของคุณหมอเค้าเองค่ะ” เธอบอกหมายเลขห้องยืนยันตามที่ผมได้แจ้งไว้

“แล้วน้องทิ้งไปหรือยังครับ” 

ผมแทบหยุดหายใจ

“ยังค่ะ หนูเก็บทุกอย่างของคุณหมอเค้าไว้ในห้องเก็บของของหอพัก” ประโยคนี้ทำเอาผมขนลุกซู่ และวิ่งนำแม่บ้านทั้งคู่ขึ้นหอพักในทันที

ผมแวะหยุดที่ชั้น ๒ เพียงแว้บหนึ่ง มองไปทางซ้าย มันคือรังรักของผมและเมียเมื่อครั้งเราทั้งคู่ยังเป็นแพทย์อินเทิร์น ผมอยู่ห้องนั้นทางขวามือ ส่วนห้องของเธอเลยไปอีก ๒ ห้องทางซ้ายมือ

แล้วผมก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องเก็บของบนชั้น ๓ ของหอพัก บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไร

ประตูถูกเปิดออก

บนกล่องกระดาษติดเทปกาวใบนั้นถูกเขียนด้วยปากกาว่า “เอกสารสำคัญ” แล้วมันต่อด้วยชื่อของลูกศิษย์

ผมตื่นเต้น นั่งคุกเข่าลงและแกะเทปกาวเหนียวๆนั้นออก 

“มันไม่ใช่” ผมพึมพัม ความรู้สึกผิดหวังประดังประเดเข้ามา 
ผมรื้อค้นดูเอกสารทุกชิ้นในกล่องอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

“อาจารย์คะ ของจากในห้องคุณหมอยังคงมีถุงใส่ขยะอยู่อีกกองค่ะ” น้องแม่บ้านบอกผมพลางชี้ไปยังถุงพลาสติกใสใบใหญ่ใบนั้น มันคือถุงขยะที่บรรจุกระดาษอยู่มากมาย มันคงรอการถูกนำไปทิ้งหรือชั่งกิโลขาย

ผมพุ่งตรงไปที่ถุงใบนั้น เปิดปากถุงออก มันบรรจุกระดาษเอสี่ปึกใหญ่ ส่วนมากเป็นวารสารทางการแพทย์ที่ลูกศิษย์ผมอ่านในช่วงที่เรียนต่อ
ผมค่อยๆรื้อขยะกระดาษในถุงออกมาอย่างระมัดระวัง พยายามดูทีละชุด ทีละชุด

แล้วผมก็น้ำตาแทบไหล ผมเจอมันแล้ว 

ดีใจจนแทบจะกอดคุณแม่บ้านเสียเดี๋ยวนั้น

“มันสุดยอดมากกกกกก” ผมชูกระดาษชุดนั้นขึ้น ตะโกนออกมาเบาๆประหนึ่งเจอล๊อตเตอร์รี่รางวัลที่ ๑ ที่ถูกทำหายไป

“น้องครับ ผมยังคงสงสัยนิดหนึ่ง ทำไมเอกสารของลูกศิษย์ผมจึงไม่ได้ถูกรวมอยู่ในกองนั้น” ผมหมายถึงกองกระดาษกองโตที่อยู่บริเวณชั้นล่าง มันกำลังถูกเตรียมขายในช่วงบ่ายของวันนี้พอดี

“ค่ะอาจารย์” เธอคงหยุดเพื่อกลืนน้ำลาย หรือไม่ก็คงหาคำอธิบาย 

“ปกติ ของทุกชิ้นในห้องพักที่ถูกคืนนั้น จะถูกนำมากองตรงนี้แหละค่ะ แต่ในวันที่หนูทำความสะอาดห้องของคุณหมอ และเตรียมจะเอากองกระดาษลงมาทิ้ง ก็มีงานด่วนเรียกเข้ามา เลยเอากระดาษใส่ถุงทั้งหมดของคุณหมอมากองไว้ในห้องเก็บของก่อน แล้วก็ยุ่งไปยุ่งมาจนลืมไปเลย กระทั่งอาจารย์มาถามหาในวันนี้แหละค่ะ”

ผมว่ามันเป็นความบังเอิญที่สุดแสนมหัศจรรย์

หรือกระดาษชุดนั้นคงรอผมมารับมันอยู่จริงๆ

เดินกลับมาเข้าห้องเรียนในช่วงบ่ายอย่างอารมณ์ดี ณ โถงชั้นหนึ่งตึก ฉบ. ผมยกมือไหว้ไปยังวิหารหลวงปู่ทวดเหมือนดั่งทุกครั้ง แต่คราวนี้ผมถามท่านไปว่า “หลวงปู่รู้ได้อย่างไรครับ” ผมยิ้มให้ท่าน ซึ่งแน่นอนว่าท่านไม่ตอบ

“อาจารย์น่าจะซื้อหวยนะคะ ห้องนี้คงมีอะไรดี” เธอคนนั้นบอกผมเมื่อผมได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

“บ้าเหรอ ฉันไม่เล่นหวย” ผมบอกเธอไป

ผมไม่ซื้อหวยใต้ดิน แต่ก็ยังลองไปเดินหาดูที่แผงขายสลากกินแบ่งของหลวง หมายเลขที่ต้องการมันไม่มีแบบตรงๆ ผมเลยซื้อมาใบหนึ่งที่มีเลขสลับกัน

แต่มันก็ยังไม่ใช่เลขที่ต้องการไง 

“แม่ ซื้อเบอร์ให้หน่อยดิ” ผมโทรศัพท์ไปหาแม่บังเกิดเกล้าในเช้าวันที่มีกำหนดออกผลสลากกินแบ่ง
“เลขอะไรลูก” น้ำเสียงแม่ออกจะงงสักหน่อย

“พ่อท่าจะเป็นเอาหนัก” น้องจ้าเหลือบตามองผมนิดหนึ่งแล้วหัวเราะ ผมรู้สึกเหมือนถูกลูกหัวเราะเยาะ เพราะผ่านมาถึงช่วงเย็นก็ได้ทราบว่า
.
.
.
.
“หวยแดก” 

สลากใบละ ๘๐ บาทใบนั้น ตรวจกี่ทีก็ไม่ถูก
ส่วนแม่จะซื้อไปกี่บาทนั้น ผมไม่ได้ถาม 

ธนพันธ์ ชูบุญแหกด๋วย
๒ ตค ๖๒

คำสำคัญ (Tags): #ของหาย#หวย
หมายเลขบันทึก: 673147เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท