ตกเลือดเพราะรกผิดปกติ



“พ่อ หันหน้าไปทางนู้นหน่อย เดี๋ยวจ้าถ่ายรูปให้” เธอบอกผมในช่วงที่เรากำลังรอกินข้าวมื้อเย็นในร้านไม่ประจำแต่มาบ่อย

วันนี้เรายุ่งกันทั้งพ่อและลูก พ่อดูห้องคลอด สอนหนังสือ และต้องทำคลอดให้คนไข้ที่มีปัญหาบางอย่างที่สำคัญ ส่วนลูกสาวเป็นกรรมการนักเรียนที่ต้องคอยเก็บกวาดสถานที่ที่โรงเรียนหลังจากแข่งขันกีฬาเสร็จ กว่าเธอจะได้ฤกษ์เลิกงานกลับบ้านก็ไม่น่าจะก่อนหกโมงเย็น

“เสร็จแล้วหรือยังลูก” ผมถอดถุงมือเปื้อนเลือดที่โชคมาจนถึงข้อศอกรับโทรศัพท์จากเธอ
“ขอเวลาอีกหน่อยนะพ่อ ยังไม่เสร็จเลย ขออีก ๔๐ นาที” นั่นคือเวลาหกโมงเย็น (นั่นไง)

“งั้นพ่อไปร้านก่อนนะลูก อยากกลับเมื่อไหร่ก็เรียกนะครับ” ผมบอกเธอ 

ลูกมีกิจกรรมเมื่อไหร่ มันก็จะทุ่มกับงานสุดตัว ถ้าเสียงของลูกยังสดใส ผมก็ทิ้งเธอไว้ที่โรงเรียนได้ แต่หากเสียงมาอีกแบบ ชนิดที่คาดเดาได้ว่ามีจมูกแดงๆ ผมก็จะหยุดทุกอย่าง แล้วรีบออกรถไปหาเธอ อย่างรอบนี้ มันคงยังสนุกอยู่กับ “กีฬาลีค” ของโรงเรียน

ผมปิดร้านเร็วกว่าปกติ เพื่อจะไปรับลูก คือว่าวันนี้เมียไม่อยู่ ผมจึงต้องทำมันหลายอย่างหน่อย อย่างเรื่องรับลูกแบบนี้โดยปกติแล้วเป็นหน้าที่ของแม่มัน

“พ่อว่าเรากินข้าวใกล้ๆโรงพยาบาลได้ไหมลูก เพราะพ่อมีคนไข้ตกเลือดอยู่คนหนึ่ง อาจจะต้องรีบเข้าไปดูหากเค้ามีปัญหา” ผมเสนอร้านอาหารให้ลูก
“ได้เลย จ้าจะได้กินทุเรียนนมสดด้วย” นั่นคือร้านไอคิทเช่น ร้านไม่ประจำแต่มาบ่อยของครอบครัวผม

แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังเข้ามาในช่วงเวลาที่เรากินข้าวเสร็จและเริ่มตักทุเรียนก้อนนั้นเข้าปากตามด้วยนมสดซดดังพรูดดดดดด

“อาจารย์ขา คนไข้ตกเลือดอีกแล้ว” เสียงรายงานเรื่องราวของคนไข้หลังคลอดคนนั้น “คุณเป็ด” คนไข้ที่เราดูแลการคลอดมาตั้งแต่เมื่อตอนเย็น และตอนนั้นเธอตกเลือดออกมารอบหนึ่งแล้ว
...........................

“เป็ด” เธอเป็นคนท้องที่ผมจะได้กล่าวถึง เธอบอกว่าอยากให้ผมทำคลอดให้ และผมก็รับมาดูแลอย่างงงงง (อ่านว่า อย่าง งง งง)

ที่งง ก็เพราะปกติจะไม่รับทำคลอดไง แต่เอาเหอะ เมื่อตกลงรับเธอมาเป็นคนไข้ของผมเรียบร้อย ก็ได้ดูประวัติของการฝากครรภ์ที่ผ่านๆมา พบว่ามันไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก การตรวจอัลตราซาวนด์ที่ผ่านมาหลายครั้ง หมอที่ดูแลเธอมาก่อนหน้านี้พบว่าตัวรกมันมีแอ่งเลือดที่ผิดปกติอยู่หลายแอ่ง บางแอ่งก็จะมีเลือดไหลเข้ามามองเห็นจากหน้าจออัลตราซาวนด์เหมือนเปิดก๊อกน้ำใส่ เธอบอกว่า “turbulance มากค่ะหมอ”

“ฉันกำลังสงสัยว่ามันอาจจะมีปัญหาบางอย่างที่มดลูก หรือไม่ก็รกผิดปกติ แต่อย่างไรก็ตาม การที่ลูกยังโตได้ตามปกตินั้น เราก็จะคิดว่ามันโอเค” เธอตอบผมมาว่าอาจารย์หมอที่กรุงเทพฯก็ว่ามาอย่างนั้น

“แต่สิ่งที่ผมกังวลก็คือ เวลาคลอดลูกออกมาแล้ว รกอาจจะติดไม่ยอมคลอดตามออกมา หรืออาจจะมีอาการตกเลือดได้นะครับ” ผมบอกคุณเป็ดไปอย่างนั้น พลันในใจก็นึกเห็นอุปสรรคบางอย่างข้างหน้าในวันที่เธอคลอดลูก

ในวันที่อายุครรภ์ได้ ๔๐ สัปดาห์พอดี เธอยังไม่มีวี่แววจะเจ็บครรภ์เลยสักนิด หัวของเจ้าตัวน้อยมันก็ไม่ยอมมุดลงมาในอุ้งเชิงกรานสักที การตรวจภายในก็พบว่าปากมดลูกของเธอยังไม่เปิดเลย  
“เป็ด ผมว่าลูกเธอดูแปลกไปนะ รู้สึกว่าไส้ของลูกมันดูสีเข้มกว่าปกติ” ผมหันจอเครื่องอัลตราซาวนด์ให้เธอดู ว่าแล้วก็รีบปรึกษาคนเก่งกว่าให้ช่วยมาดูร่วมกัน 
“อาจจะเป็นเพราะเด็กกินน้ำคร่ำที่มีเลือดปนเข้าไป แอ่งเลือดที่เราเห็นนั้นอาจจะแตกเข้ามาในถุงน้ำคร่ำได้ หรือไม่ก็เด็กอาจจะมีเลือดออกในลำไส้ หรือลำไส้เค้าอุดตัน” เสียงอาจารย์รุ่นน้องคนเก่งบอกมาอย่างนั้น

“เป็ด” ผมเรียกเธอ
“ผมว่าเราให้ลูกคลอดเลยดีกว่านะ ในใจผมคิดว่าลูกของเธอไม่น่าจะมีอะไร เพราะเค้าดูปกติมาตลอด แต่เพื่อความไม่ประมาท เราน่าจะให้เค้าออกมาได้แล้ว อีกอย่างตอนนี้ก็อายุครรภ์ล่วงมาถึง ๔๐ สัปดาห์แล้วด้วย” ผมเสนอทางออกให้เธอ

แล้ววันนั้นก็มาถึง
มันคือวันที่ผมบอกไปข้างต้น ว่ามันคือวันที่ยุ่งเหยิงสำหรับผมตั้งแต่เช้า เที่ยง บ่าย และเย็น 

เราจะให้เธอเบ่งเอง เพราะรูปทรง ก้น สะโพก และเชิงกรานของเธอมันเยี่ยมมาก 

แล้วเราก็เริ่มกระบวนการกระตุ้นการเจ็บครรภ์ตั้งแต่ค่ำๆวันอาทิตย์ มันคือการสอดยาเข้าไปในช่องคลอดเพื่อทำให้ปากมดลูกอ่อนนุ่มลง จากนั้นในเช้าวันต่อมาก็ส่งเธอลงห้องคลอดเพื่อให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก

เราพบว่ามดลูกเธอบีบตัวดี ปากมดลูกเริ่มเปิดอ้าตามเวลาที่เราคาดประมาณไว้ และการเต้นของหัวใจเจ้าตัวน้อยนั้นก็ดูปกติ 

ทุกอย่างไปได้สวย

การคลอดของเธอผ่านพ้นไปด้วยดี คุณหมอไผ่เป็นคนช่วยทำคลอดลูกให้ เจ้าตัวเล็กน้ำหนักเกินสามกิโลมานิดเดียวและถูกส่งต่อไปให้หมอเด็กในทันที เพราะเขาต้องพาไปสังเกตอาการดูว่ามีลำไส้อุดตันหรือไม่

แต่เรื่องราวมันยังไม่จบ เพราะรอไปอีกสักครู่ใหญ่ รกยังไม่ยอมคลอดออกมา

ผมนึกถึงวันที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ เธอทราบดีถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น

“เป็ดครับ สงสัยว่าเราคงต้องล้วงรกให้เธอนะครับ มันติดว่ะ ผมพยายามแล้วมันก็ยังไม่ยอมคลอดออกมา มันน่าจะมีบางส่วนที่ติดอยู่ ลอกไม่ออก” ผมบอกข่าวไม่ดีกับเธอไป
“เราจะตามทีมหมอดมยาให้มาดมยาสลบให้นะครับ”

“หนูไม่อยากดมยาสลบค่ะหมอ” เธอน้ำตาไหล

“ไม่ได้หรอกครับเป็ด เพราะมันจะเจ็บมาก เธอทนไม่ไหวหรอก” แล้วการต่อรองก็สิ้นสุด เพราะความปลอดภัยต้องมาก่อน ผมเดินออกไปหาครอบครัวของเธอ

“เราจะทำการล้วงรกกันในห้องคลอดนะครับ หมอดมยาสลบและทีมมาถึงแล้ว ถ้าหากว่ารกมันกินลึก เราอาจจะดึงไม่ออก เป็ดจะถูกเราเข็นไปผ่าตัดในห้องผ่าตัดใหญ่ทันทีนะครับ และหากว่ามีการตกเลือดมากจนไม่ปลอดภัย เราอาจจะต้องตัดมดลูก” ผมมองเห็นน้ำตาของน้องสาว แม่ และสามีของเธอ

เมื่อสิ้นสุดการ time out เพื่อทบทวนกระบวนการของการล้วงรก ตรวจสอบความปลอดภัยรอบด้าน ยานำสลบจึงถูกฉีดเข้าเส้นเลือด คุณหมอบูมใช้มือกดที่บริเวณลูกกระเดือกของเธอเพื่อป้องกันการไหลย้อนของอาหารเข้าหลอดลม และท่อช่วยหายใจถูกสอดผ่านเข้าไปยังหลอดลมโดยปลอดภัย

ผมสวมถุงมือที่ยาวถึงข้อศอก ชโลมด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ งุ้มปลายนิ้วทั้งห้าเข้าหากัน สอดเข้าไปในช่องคลอดของเธอ แล้วทำการล้วงรกตามปกติ 

“เรียบร้อย” ผมบอกทีม พร้อมกับการดึงมือออกมาจากช่องคลอดพร้อมด้วยรกทั้งอัน

ก็นึกว่าจะจบ แต่แล้วก็มีเลือดปริมาณหนึ่งไหลตามออกมาด้วย 

“ฉีดยาเม็ทเธอจิ้นเข้าหลอดเลือด เพิ่มซินโตอีกสิบยูนิต” ผมออกคำสั่งให้ฉีดยากระตุ้นการหดตัวของมดลูกทั้ง ๒ ชนิด

เลือดยังไม่หยุดไหล ผมคลึงมดลูกอย่างรุนแรงเพื่อกระตุ้นให้มันหดรัดตัว การหดตัวของมดลูกคือการหยุดเลือดที่ดีที่สุด ซึ่งตอนนี้ผมพบว่ามันนุ่มเกินไป เลือดจึงไหลพลั่กๆ

“ฉีดเม็ทเธอจิ้นอีกเข็ม เอายาทรานซามีนมาหนึ่งกรัมด้วย” ผมสั่งการ ยาตัวที่ ๒ นั้นคือสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวนานขึ้น

ผู้คนเริ่มชุลมุน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองในภาวะฉุกเฉิน

“โทรหาอาจารย์เป้ เราอาจจะต้องเข้าไปตัดมดลูก ระหว่างนี้รีบไปหาบอลลูนมา เผื่อได้ใช้” เสียงผมดังเพื่อให้ทีมรีบปฏิบัติ ระหว่างนั้นได้สอดมือเข้าไปในช่องคลอดอีกครั้ง และมืออีกข้างกดที่หน้าท้องบริเวณยอดมดลูก กดมือทั้ง ๒ ข้างเข้าหากันโดยมีมดลูกอยู่ตรงกลาง มันเหมือนการกดแผลห้ามเลือด
“จับเวลา ๕ นาที” ผมบอกนักเรียนแพทย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“อาจารย์ขา เรายังเหลือ นาลาดอร์ อีกอย่างนะคะ” คุณหมอไผ่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆช่วยเตือนสติ 

นี่ไงครับ สิ่งที่ผมเคยพูดเสมอว่า ทีมที่ดี คือทีมที่มีการบอก การเตือน และดูภาพกว้างของการทำงานในช่วงชุลมุน

“นาลาดอร์ เอามาฉีดได้เลย” ผมสั่งการ
นาลาดอร์ คือยากระตุ้นการหดตัวของมดลูกอีกชนิด ผมมองภาพไปว่า นี่น่าจะเป็นยาชนิดสุดท้ายที่จะให้เธอได้แล้ว
“ขอบคุณนะไผ่” ผมบอกเธอ หลังจากที่พบว่า การฉีดนาลาดอร์เข้าไปแล้วนั้น เลือดเริ่มหยุด มดลูกหดรัดตัวดีขึ้นมาก ผมจึงเอามือออกมาจากช่องคลอด คลายการกดมดลูกลง

“ผมขอเวลาอีกแปล๊บเดียวนะครับ ขอเย็บแผลที่ฝีเย็บอีกไม่นาน อย่าเพิ่งให้คนไข้ตื่น” ผมร้องขอหมอดมยาแบบนั้น
“เอาสายสวนปัสสาวะมาใส่เลยครับ เสร็จแล้ว” ผมพูดเสียงดัง แล้วหมอดมยาก็หยุดการปล่อยแก๊ซยาสลบ และเพียงไม่ถึงนาที คุณเป็ดก็เริ่มตื่นขึ้นมา

“เป็นไงบ้างคะอาจารย์” เธอยังคงสะลึมสะลือ แต่คงเป็นห่วงว่ามดลูกจะถูกผมตัดทิ้งไป
“ทุกอย่างยังอยู่ครบ แต่ผมต้องสังเกตอาการเธอดูก่อนนะ หากมันผ่านคืนนี้ไปได้ก็จะจบ แต่หากตกเลือดซ้ำ คราวนี้ผมคงต้องใช้วิธีการผ่าตัด” ผมบอกข้อความนี้ให้ทั้งเป็ด สามีและครอบครัวของเธอได้รับทราบ 

นั่นคือเวลาหกโมงเย็น

……………………………………

“อาจารย์ขา คนไข้ตกเลือดอีกแล้ว” คุณหมอจูนรายงานมาทางโทรศัพท์ขณะที่ผมตักทุเรียนก้อนนั้นเข้าปากและซดนมสดตามเข้าไปดังพรูด สายตาสัญญาณฉุกเฉินถูกส่งไปยังน้องจ้า เราทั้งคู่จึงรีบจ้วงทุกอย่างเข้าปากอย่างเร็ว 

“ลูกอยู่บ้านคนเดียวได้นะ” ผมถามเธอ
“ได้สิพ่อ” เธอตอบ น้ำเสียงยังคงสดใส

กอดและจูบลูกหนึ่งที แล้วผมก็รีบบึ่งไปโรงพยาบาล

“มดลูกยังนุ่มเป็นพักๆ และไม่ค่อยตอบสนองต่อการนวดคลึงผ่านหน้าท้อง” หมอเวรรายงานเมื่อผมมาถึง 
มันเป็นเช่นนั้น เลือดยังคงออกอยู่เรื่อยๆ เป็ดเริ่มดูซีดลง แต่สติเธอยังครบถ้วน

“สงสัยต้องผ่าตัดแล้วนะครับ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ปลอดภัยแน่นอน” ผมอธิบายสิ่งที่ผมวางแผนจะทำจากนี้ให้เธอและสามีรับทราบ นั่นรวมถึงการตัดมดลูกหากเราห้ามเลือดไม่อยู่

“สู้ๆนะตัวเอง เค้ากับลูกจะรอตัวเองนะ” ผู้ชายตัวโตแต่น้ำเสียงนิ่มนวลบอกกับภรรยาของเขา

หมอดมยาและทีมพยาบาลผ่าตัดรอเราอยู่แล้ว และทันทีที่การดมยาสลบเสร็จสิ้น เราจึงจัดท่าในการผ่าตัด อาจารย์ชัชปวิตร หมอสูติชื่อดังเพิ่งผ่าตัดเสร็จจากห้องหนึ่งจึงเข้ามา
“อาจารย์อย่าเพิ่งออกไป ช่วยผมดูหน่อยครับ” ผมไม่ละโอกาสที่จะมีอีก ๑ สมอง ๒ ตา และมากประสบการณ์ให้มาช่วยกันดูในขณะที่ผมใส่เครื่องมือเข้าไปในช่องคลอดเพื่อตรวจดูร่องรอยของเลือดออกอีกครั้งให้มั่นใจ
“แป๊ะครับ ผมว่าช่องคลอดและปากมดลูกดูปกติ ปัญหามันอยู่ในมดลูกนั่นแหละ รีบจัดการเลย” อาจารย์ผมบอกมาอย่างนั้น

“ผ่าท้องครับ” ผมบอกหมอดมยาในทันที พร้อมกันนั้นทีมห้ามเลือดของผมก็พร้อม พวกเขาคือหมอมะเร็งนรีเวช คนที่จะลุยเข้าไปหาหลอดเลือดที่เข้ามาเลี้ยงมดลูก และทำการเย็บผูกมัน
“อาจารย์ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับ” อาจารย์เติ๊กบอกให้ผมออกมานั่งพัก เขาคือคนที่จะมารับช่วงเป็นหัวหน้าทีมต่อจากนี้

มดลูกนุ่มๆ ถูกดันเบี่ยงมาด้านหนึ่ง เยื่อบุช่องท้องถูกเปิดแยกออก ท่อไตอยู่ใกล้ๆกันก็ถูกเบี่ยงออกมา หลอดเลือดแดงเส้นใหญ่เป้าหมายอยู่ลึกลงไปไม่มากนัก คีมปลายฉากที่ถูกเรียกว่า “right angle clamps” ถูกสอดลอดใต้หลอดเลือดเส้นนั้นอย่างนุ่มนวล ไหมเส้นดำถูกส่งให้ถึงปลายคีม การผูกหลอดเลือดเริ่มต้นขึ้น 

“เรียบร้อย” นั่นคือด้านซ้าย 
จากนั้นหลอดเลือดด้านขวาก็ถูกทำเช่นเดียวกัน

“สำเร็จ” เสียงของอาจารย์เติ๊กบอกมา ผมจึงใช้เครื่องมือถ่างปากช่องคลอด ผ้าก๊อซถูกส่งมาให้ซับเลือด

“หยุดครับ” ผมแจ้งให้คนด้านบนรับทราบ การผูกหลอดเลือดทำให้เราไม่ต้องผ่าตัดเอามดลูกออก

……………………………………………….

กลับถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน 
แม่สาวน้อยของผมเปิดไฟในบ้านทิ้งไว้ในแทบทุกจุดที่จะเปิดได้ หน้าบ้าน ห้องครัว ห้องกินข้าว ห้องรับแขก ชานบันไดชั้นล่าง ชานบันไดชั้นบน
คืนนี้เธอย้ายตัวเองมานอนห้องพ่อ

“พ่อกลับมาแล้วนะครับ” ผมกระซิบข้างหู และจูบเธอฟอดหนึ่ง
จ้าพลิกตัวเหมือนรับทราบถึงการกลับมาของพ่อ 
“ก.ไก่แล้วจะไปไหนต่อดี” เธองึมงำ นั่นคงเป็นเพียงการละเมอ เมื่อช่วงหัวค่ำบนโต๊ะอาหาร เราเล่นเกมทายคำกันในร้านอาหารไม่ประจำแต่มาบ่อย

ผมยิ้ม ดูมันยังคงมีความสุขดีอยู่

หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ล้มตัวลงนอน นอนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น นึกถึงการตกเลือดของคุณเป็ด นึกถึงการผ่าตัดผูกหลอดเลือด และกระเป๋าใบนั้น

กระเป๋าใบนั้น

………………………………………………

เที่ยงคืนกว่าแล้ว ผมและหมอเวรลูกศิษย์อีก ๒ คนเดินออกมาจากห้องผ่าตัดพร้อมกัน 
ผมจะกลับไปนอน แต่พวกเขาต้องอยู่เวรดูแลคนไข้อีกทั้งคืน

“ขิม” ผมเรียกลูกศิษย์ขณะที่เราทั้งสามคนเดินมาถึงมุมเลี้ยวที่หน้าห้องคลอด
“เธอเห็นกระเป๋าใบนั้นไหม” ผมหยุดเดิน และส่งสายตาให้ลูกศิษย์มองไปตามที่บอก มันคือกระเป๋าสะพายของใครสักคนถูกตั้งทิ้งไว้บนเก้าอี้หน้าห้องคลอดชิดกับผนัง
“เธอเห็นคนนั่งอยู่แถวนี้บ้างไหม” ผมยังคงถาม
“ไม่มีนี่คะอาจารย์ นี่ก็มีเรายืนอยู่กันแค่ ๓ คน ทำไมเหรอคะ” เธอคงสงสัย คุณหมอแพ็ตตี้ขยับแว่นของตัวเองและเอื้อมมือมาจับแขนคุณหมอขิมไว้อีกที

“ขิมเห็นไหม ว่าสายซิปของมันแกว่งไปมา” ผมบอกให้เธอมองกระเป๋าใบนั้น สายซิปของมันยังคงแกว่งอยู่อย่างนั้น ทั้งๆที่ไม่มีคนอยู่ ไม่มีพัดลม และไม่มีคนนั่งบนเก้าอี้ 

แล้วใครแกว่งมันอยู่หรือ ผมมองไม่เห็น และไม่มีจิตสัมผัส จึงตอบคำถามโง่ๆนี้ไม่ได้

“แล้วกูจะยืนมองอยู่อีกทำไม” ผมบอกตัวเองแล้วแยกจากลูกศิษย์มาอย่างใจสงบ พลางพึมพำบางอย่างในใจ
“สัพเพ สัตตา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด” ท่องได้แค่นี้ เพราะไปต่อไม่เป็น

ธนพันธ์ ชูบุญยังไงก็ไม่มีจิตสัมผัส
๖ กย ๖๒

หมายเลขบันทึก: 673143เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท