วิ่งกับชะนี


ผมอยากจะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “วิ่งกับชะนี”

ผมเคยเล่ามาแล้วว่า ผมมักจะวิ่งตอนกลางคืน นั่นเพราะผมเป็นคนแพ้เตียงนอนตอนหัวรุ่ง คือแบบว่า ในช่วงเวลาเช้าตรู่ที่หมู่มวลนกเริ่มตื่นหาหนอนตัวอ้วนและไก่เริ่มขันนั้น เตียงนอนจะนุ่มเป็นพิเศษ ผ้านวมก็จะมีน้ำหนักกดทับลำตัวที่แสนจะพอดีกับความสบาย ดีไม่ดี เวลาที่เมียขยับมาซุกข้างตัวนี่มันฟินนัก เนื้อตัวอุ่นๆ กลิ่นตัวที่คุ้นเคย และ...พอๆๆ

ตื่นไม่ไหว

ผมจึงต้องมาวิ่งเอาตอนช่วงค่ำแทน อย่างเช่นค่ำวานนี้

“กินข้าวก่อนนะพ่อ วันนี้แม่ทำหมูสามชั้นคั่วเกลือไว้” เมียส่งเสียงออกมาจากห้องซักผ้า

“อูย..กำลังหิว” ว่าแล้วผมก็ตักข้าวมาครึ่งทัพพี จ้วงหมูคั่วเกลือที่เหลือกินมาจากน้องจ้าใส่จานข้าวตัวเอง คลุกๆจนน้ำมันหมูเคลือบเมล็ดข้าวสวยจนทั่วจาน แล้วค่อยๆละเลียดกินในทันที

“อร่อยจังแม่ เสียดาย เป็นมื้อค่ำ เดี๋ยวพ่อจะเหลือหมูไว้หน่อยนะ จะกินต่อพรุ่งนี้เช้า” ครูผมสอนว่า อย่ากินข้าวเย็นมากไป มันไม่ดีต่อสุขภาพ แต่เอาเหอะ เดี๋ยวจะไปวิ่งนี่นา ถ้าไม่กินเดี๋ยวจะวิ่งไม่ไหว

พลังงานมีความสำคัญต่อการออกกำลังกายมากนะครับ สำหรับผม การได้มีอาหารสักนิดตกลงถึงท้องก่อนวิ่งสักระยะนั้น มันคือสวรรค์ มันคือแหล่งพลังงานที่สำคัญมาก ผมเคยวิ่งแล้วรู้สึกหมดพลังกระทั่งจะก้าวต่อไปด้วยซ้ำ ดีที่วันนั้นในระยะก่อนถึงจุดกลับตัวที่ห้ากิโลเมตรเศษ ได้แวะซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่เข้าไปเติมพลังให้ จึงสามารถวิ่งได้จนจบระยะสิบกิโลครึ่ง รับเหรียญได้เหมือนคนอื่นๆเขา

จากนั้น ผมไม่เคยออกไปวิ่งโดยที่ท้องว่างอีกเลย หากไม่มีของกินติดบ้าน ก็จะดื่มน้ำเกลือแร่เข้าไปก่อน

ครั้งหนึ่ง ได้นอนดูสารคดีวิทยาศาสตร์เรื่องที่เกี่ยวกับ “การวิ่งและเครื่องดื่มที่ควรดื่ม” เค้าบอกว่า กาแฟช่วยเพิ่มความทน เกลือแร่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพของการวิ่ง แต่เครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลมากๆ อาจจะทำให้ลดสมรรถภาพในการวิ่งได้ เพราะร่างกายจะเสียน้ำมากกว่าปกติ แบบว่า น้ำตาลในเลือดมันสูงไง

แล้วผมก็เหลือบตาเห็นทุเรียน

“แม่..มากินทุเรียนกัน” ปีนี้มีคนหิ้วชะนีมาให้ ๒ ลูก กินกันไม่หวาดไม่ไหว ต้องแกะใส่ตู้เย็นและทยอยกินวันละยุมสองยุมหลังมื้อเช้า และแถมบ้างในมื้อเย็น

เม็ดแรกถูกหยิบเข้าปาก 

ชะนีที่ได้มารอบนี้หวานไม่มาก เนื้อเหนียว เส้นใยเยอะกว่าที่เคยกิน สรุปได้ว่าอร่อย

ขออีกเม็ด ขอยุมใหญ่ๆหน่อย เอาเหอะ กินเท่านี้แหละ กินมากในมื้อค่ำมันไม่ดี เดี๋ยวจะไปวิ่งชด

ผมเรียกชะนีที่ได้มานี้ว่า ชะนีหวงพันธุ์ เพราะเมล็ดลีบเสียทุกยุม อย่างพูที่หยิบขึ้นมานี้ เมล็ดก็ยังคงลีบ และมี ๒ เมล็ด สงสัยเป็นพูแฝด

“เอ๊ะ เดี๋ยวๆๆ” ผมอุทาน

“นี่มัน ๒ ยุมนี่นา กลายเป็นว่ากินไปสามเลยเหรอเนี่ย” แบบว่าตกใจ เพราะครั้นจะแบ่งให้เมียช่วยกินเธอก็ไม่ยอม

“แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไรมั้ง เพราะเดี๋ยวก็ไปวิ่งนี่นา จะได้เป็นแหล่งพลังงาน” มันคือการรำพึงล้วนๆ ว่าแล้วก็เรอออกมาหอมหึ่งอบอวลทั่วทั้งช่องปาก

ค่ำนี้ ผมตั้งใจจะวิ่งเพียง ๔ กิโล

มันคือความตั้งใจก่อนออกวิ่งทุกครั้ง ขอแค่สี่ พ้นจากนั้นคือกำไร อย่างเช่นครั้งนี้

ชะนีที่กินไปทั้ง ๓ ยุมนั้นให้พลังงานเหลือเฟือ เพราะผ่านไป ๒ กิโลเมตรแรก ซึ่งมักจะเป็น ๒ กิโลวัดใจเสียทุกครั้ง ไหนจะเหนื่อย ไหนจะเมื่อยต้นคอ ไหนจะสารพัดจะถ่วงกำลังใจ แต่คราวนี้กลับไม่มีอาการเหล่านั้น น้ำตาลจากชะนีมันดีอย่างนี้นี่เอง

ผ่านเข้ามากิโลเมตรที่ ๔ ผมนึกถึงการวิ่งรายการศิครินทร์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มันคือจุดกลับตัวบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ ผมตัดสินใจว่าจะไปต่อ (เป็นแบบนี้ทุกครั้งนั่นแหละ) คืนนี้น่าจะวิ่งได้สัก ๖ กิโลเมตร

แรงเยอะ แต่คอแห้งจัง

ผมพยายามหาคำอธิบาย

โดยปกติ เวลาเรากินของหวานมากๆ น้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นสักหน่อย ฮอร์โมนอินซูลินจะออกมาทำหน้าที่เก็บน้ำตาลเข้าไปไว้ในเซลล์ เราจึงคงระดับน้ำตาลที่ไม่สูงเกินไปไว้ได้ แต่ในคนที่ระบบการจัดเก็บเริ่มมีปัญหา กำลังจะเป็นเบาหวานหรือเป็นแล้ว น้ำตาลในเลือดจะสูงเกินปกติ จากนั้นมันก็จะท้นออกมาในระบบไต และเมื่อมีน้ำตาลในระบบกรองของไตมากขึ้น น้ำตาลในระบบไตนี่แหละจะดูดน้ำออกมาจากหลอดเลือดตามออกมาด้วย ทำให้คนที่เป็นเบาหวานหรือน้ำตาลในเลือดสูงๆจะฉี่บ่อย และเมื่อเราฉี่บ่อยไป เลือดเราก็จะข้น เราจะขาดน้ำ จึงมีอาการคอแห้ง

แล้วทำยังไงจึงจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ล่ะ

คำตอบคือ “ใช้สิ” 

“หึหึ พูดง่ายไปไหม” คงมีคนคิดแบบนี้อยู่

ผมพูดจริงๆครับ ผมกำลังจะบอกว่า ใช้น้ำตาลโดยการออกกำลังกายไงครับ

การออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อต้องการพลังงาน กล้ามเนื้อเป็นตัวกินน้ำตาลที่ดีที่สุด ดังนั้น เพียงแค่เดินๆวิ่งๆ มันก็สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้แล้วจริงๆ

ผมจึงออกวิ่งยังไงล่ะ

ชะนี ๓ ยุม ขวนให้ผมต้องออกวิ่งต่อไป และวิ่งได้ดีเสียด้วย เพียงแต่คอแห้ง

“เฮ้ย..เหมือนตำราเลย” ผมกระหยิ่มกับการค้นพบในใจ 

“แต่เอ๊ะ คนที่น้ำตาลในเลือดสูงๆนี่ หากจะคอแห้ง ก็ต้องเกิดจากฉี่เยอะสิ นี่เราวิ่งนะ เราไม่ได้ฉี่เลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมคอแห้งวะ” มันคือคำถามที่คาใจตั้งแต่ราวๆกิโลเมตรที่ ๕ มันยังไม่ได้คำตอบ

ผ่านไป ๗ กิโลก็ยังคงสบาย ผมรู้สึกว่าวิ่งเร็วไปนิด เพราะหัวใจเต้นเร็ว เพียงแต่ยังไม่ค่อยเหนื่อย ในใจพาคิดไปว่า วิ่ง วจก. ม.อ. หาดใหญ่ต้นเดือนหน้า จะเพิ่มระยะตัวเองให้ได้ ๑๒ กิโล

ผมจบการวิ่งที่ ๘ กิโลเมตรอย่างฟินๆ เพราะรู้สึกว่าแรงยังเหลือ

วิ่งกับชะนี ทำให้มีแรงพอใช้ได้เลย มันคือแหล่งน้ำตาลชั้นดี แต่ยังไงก็ตาม คอแห้งเหลือเกิน จะโทษว่าทุเรียนใส่ผงชูรสก็ไม่น่าจะใช่ หรือว่าผมเสียน้ำมากกว่าปกติจริงๆอย่างที่รายการสารคดีว่าไว้ ไม่ได้เสียทางเยี่ยวก็เสียทางเหงื่อและลมหายใจนั่นแหละ น้ำตาลมันทำให้ร่างกายต้องเผาผลาญพลังงานมากขึ้นไง ลมหายใจของผมจึงอาจจะมีน้ำมากกว่าปกติก็เป็นได้

“คราวหน้าถ้าจะวิ่งกับชะนีอีก เม็ดเดียวก็น่าจะพอดี ใช่ไหม” ผมพึงพัมกับตัวเองขณะคูลดาวน์หลังกิโลที่ ๘ จบลง

..........................

มีหมอรุ่นน้อง ๒ คนที่เป็นนักวิ่งตัวยงของคณะแพทย์

ผมสังเกตเห็นว่า เขาทั้งคู่จะต้องสรรเสริญเมียทุกครั้งที่ได้ออกไปวิ่ง ทั้งๆที่เกือบทุกครั้งนั้น ก็ไม่เห็นว่าเมียของเขาจะได้ออกไปวิ่งด้วยเลยสักครั้ง 

มันช่างน่าสงสัยจนต้องถามออกไป ว่าทำไม

“ไม่สำคัญหรอกว่าทางจะไกลแค่ไหน อยู่ที่ว่าเมียจะให้ไปหรือเปล่าครับพี่แป๊ะ” เค้าอ้างว่าเป็นคำเปรยของปราชญ์ท่านหนึ่ง แถมในอีกคอมเม้นต์หนึ่ง ยังอุตส่าห์ส่งข้อความเพิ่มเติมมาอีกว่า

“ระหว่างวิ่งควรฟังเสียงร่างกาย ก่อนออกไปวิ่งควรฟังเสียงภรรยา”

ผมนึกขำหมอกระดูกทั้ง ๒ ท่านนั้นยิ่งนัก ท่าทางจะกลัวเมียเสียจริงๆ ดูอย่างผมสิ ใครใคร่วิ่งก็วิ่ง เมียจะเล่นแต่เทนนิสก็เล่นไป อย่ามายุ่ง !(แม่ง..โคตรเท่ห์)

“พ่อจะไปวิ่งนะแม่” 

ผมบอกเมียในค่ำวันนั้นเฉกเช่นทุกครั้ง เธอกำลังดูดฝุ่นในบ้าน และเจ้าจ้ามีปาร์ตี้เลี้ยงส่งพี่โรงเรียนที่จะไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ผมกะเวลาว่าน่าจะวิ่งได้สัก ๔ กิโลกว่าลูกจะเรียกให้ไปรับ และระหว่างนี้หากลูกเสร็จก่อน แม่มันน่าจะไปรับได้

วอร์มอัพร่างกายสัก ๔-๕ ท่าก็ได้เวลาก้าวออกตัว

๓๐๐ เมตรแรก เหงื่อยังไม่ทันซึมก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์

“พ่อจ๋า จ้าเสร็จแล้ว” เสียงเจ้าจ้าดังเข้ามา น้ำเสียงดูซึมๆ ท่าทางจะเพิ่งเสียน้ำตาในงานเลี้ยงส่ง แม่คนนี้เธอ emotional มาก

“ลูกบอกแม่ได้ไหมครับ พ่อเพิ่งออกวิ่งเอง ยังไม่ได้ครึ่งกิโลเลย” ผมต่อรอง

“จ้าโทรหาแม่แล้ว แม่บอกว่าให้โทรหาพ่อ”

จบ...

ผมนึกถึงปราชญ์ คนที่น้องหมอกระดูกทั้งคู่อ้างมา

“ไม่สำคัญหรอกว่าทางจะไกลแค่ไหน อยู่ที่ว่าเมียจะให้ไปหรือเปล่า”

จบกันครับ 

หนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น ระยะที่เคยเหนื่อยจนลิ้นห้อยยาวเท่าหมาขาดน้ำ เดี๋ยวนี้ผมแข็งแรงจนระยะหนึ่งกิโลเมตรนั้นแทบทำอะไรกับหัวใจผมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มันน่าเจ็บใจนัก 

หยุดพล่ามเถอะ..ไปรับลูกก่อน

ธนพันธ์ ชูบุญวิ่งกับชะนี

๒๓ สค ๖๒

คำสำคัญ (Tags): #วิ่ง
หมายเลขบันทึก: 673136เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท