เรื่องเมียน้อยและเฮียสี่เข็ม



“เกิดเป็นผู้หญิง อย่าหยุดสวย” ใครสักคน หรือหลายคนบอกมาอย่างนี้

ในใจลึกๆผมก็เห็นด้วยนะ แต่อีกเสี้ยวหัวใจนั้น ผมอยากจะเปลี่ยนวลีนี้เสียจริงๆ

“เกิดเป็นผู้หญิง อย่าหยุดทำงานนะ”

ผมกลับรู้สึกว่า วลีที่ผมเขียนขึ้นมานี้ มันน่าถูกใจมากกว่าความสวยงาม ที่วันหนึ่งมันก็เสื่อมลง เสื่อมลง
....................

“ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ” ผมถามคนไข้วัยเลยกลางคนคนหนึ่งที่ทีมผมได้เคยผ่าตัดรักษามะเร็งรังไข่ไปให้เธอเมื่อกว่า ๒ ปีที่แล้ว

“มะเร็งรังไข่ระยะที่ ๑ ขนิดเกรด ๑” ผมรีบทบทวนประวัติ เอาเหอะ อย่าได้ไปใส่ใจว่ามันคืออะไร รู้แค่ว่า การผ่าตัดที่ผ่านมาสามารถทำให้เธอหายขาดจากโรคนี้ได้ และไม่ต้องใช้ยาเคมีบำบัดเพิ่มเติม

“ก็สบายดีค่ะ” เธอตอบ และเตรียมพร้อมที่จะลงจากเตียงตรวจภายใน

“แล้วได้มีเพศสัมพันธ์กับสามีบ้างไหมครับ” ผมก็ยังคงถามสารทุกข์สุกดิบต่อไป เรื่องเพศ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมสามารถพูดคุยกับคนไข้ตรงหน้าได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา และสำหรับเธอคนนี้ ผมรู้สึกว่า “ต้องถาม” เพราะช่องคลอดแห้งผาก จินตนาการได้เลยว่า น่าจะไม่ได้กรำงานด้านนี้มาระยะหนึ่ง ไม่ก็ยังคงใช้งานบ้าง แต่น่าจะทรมานจากการแสบปากช่องคลอดพอดู

“ไม่ได้มีเลยค่ะ” เสียงตอบดังออกมาจากหลังม่าน เธอกำลังเปลี่ยนผ้าและออกมานั่งคุยกับผมต่อ
“กี่ปีแล้วครับ” แน่ะ ยังถามอีก

“สามปีเศษได้มั้งคะ” 

เพียงแวบหนึ่งที่หางตาผมกวาดไปหลังจากใกล้เสร็จภาระการบันทึกในเวชระเบียนประวัติคนไข้ ผมเห็นเธอปาดน้ำตา จึงต้องรีบวางมือจากการบันทึกในทันที

“เล่าได้ไหมครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมนึกไปถึงคำตอบที่อาจจะได้รับกลับมา มันมีไม่กี่อย่างหรอก เธอป่วยเป็นมะเร็งจึงไม่อยากมีเซ็กส์ สามีตาย สามีป่วย สามีไปบวชไม่สึก แก่ทั้งคู่ และสามีมีเมียน้อย หากคำตอบจะเป็น “สามีไปมีผัวใหม่” ก็อาจจะมีนะครับ แต่มันก็เคยเจอแบบนั้นเพียงครั้งเดียว และเป็นครั้งเดียวที่หนักมาก เพราะเล่นเอาผมไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

เธอไม่ได้ตอบผมในทันที แต่น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องนั้นผมพอจะคาดเดาได้
กระดาษทิชชู่ถูกยื่นออกไป มันทำงานได้อย่างซื่อสัตย์ เธอใช้มันซับน้ำตาและน้ำมูก

“ซื่อสัตย์?”
ใช่ ผมเขียนว่าซื่อสัตย์ เพราะกระดาษทิชชู่ไม่เคยมีเมียน้อยเหมือนผู้ชายไงล่ะ (เอ๊า..)

“เมียน้อยใช่ไหมครับ” ผมเปรยออกมาเบาๆ
เธอพยักหน้าตอบ

“สามีพี่ไปมีเมียใหม่ เค้าได้แม่หม้ายลูกติดมาคนนึง” คนนึงนั่นคือลูกที่พ่วงมาด้วยนะครับ 

“แล้วสามีพี่ออกจากบ้านไปเลย หรือว่ายังอยู่บ้านเดียวกันครับ” ผมจะอยากรู้ไปทำเหียกอะไรวะ
“เค้ากลับบ้านทุกวันค่ะ ไม่เคยนอนนอกบ้านเลย วันไหนที่ไปบ้านนู้นก่อนก็จะเข้าบ้านสี่ห้าทุ่ม” น้ำตายังคงทำงานของมันต่อไปอย่างซื่อสัตย์ (เอาอีก)

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่หม้าย อายุน้อยกว่าพี่เกือบยี่สิบปี” สมองผมทำงานเร็วกว่าที่คนไข้จะเล่าประโยคต่อไป เธอคนนั้นมีอายุน่าจะราวๆปลาย ๓๐ หรือไม่ก็ต้น ๔๐ ในขณะที่สามีของเธอนั้นล่วงไปต้นหกสิบ

“ของมันสดกว่า” ผมพูดออกมาสายตายังจับจ้องไปที่ผู้หญิงที่กำลังนั่งร้องไห้ ผมนึกไม่ออก ว่าไอ้คำว่า “ของมันสด” นั้น เคยได้ยินมาจากที่ไหน

เธอมองตาผม พยักหน้า แล้วปาดน้ำตาอีกรอบ

“และพี่ก็ไม่ได้มีอะไรกับสามีพี่อีกเลย”
เธอพยักหน้า

“สามปีที่พี่บอกผม หมายความว่า เค้ามีเมียใหม่มาสามปีแล้วใช่ไหมครับ” 
“ค่ะ” 
ผมกำลังคำนวณ นั่นหมายความว่า เค้ามีเมียน้อยก่อนเธอคนนี้เป็นมะเร็งเสียอีก

“ผมเดาว่าน่าจะมีค่าเลี้ยงดู” นี่เป็นประโยคคำถาม 
“ค่ะ ผู้หญิงคนนั้นกำลังผ่อนบ้านอยู่ด้วย สามีพี่เลยต้องช่วยเหลืออยู่ทุกเดือน” แม่ง! มันโคตรคลาสสิก

“แล้วลูกๆว่าไงครับ”
“ลูกก็พูดกับพ่อเค้านะคะ แต่พ่อบอกว่า เป็นเรื่องส่วนตัว ลูกก็เลยหยุดพูดตั้งแต่ตอนนั้น โชคดีที่ลูกๆของพี่เค้าโตหมดแล้ว ทุกคนมีงานทำ เค้าเลยหันมาดูแลพี่อย่างเดียว” ผมว่าในความโชคร้ายสั่วๆ เธอยังคงมีเรื่องที่โชคดี

“แล้วพี่เป็นไงบ้างครับ”
“พี่ก็พยายามจะลืมนะคะหมอ”

“มันแทงตากันอยู่ทุกวัน พี่โอเคเหรอครับ” ผมทำตัวเหมือนคนโหมเชื้อไฟ

“มันก็เจ็บค่ะ เจ็บมาก พี่จึงต้องพยายามลืมไงคะ”

“ผมว่าพี่กำลังหลอกตัวเอง” เชี่ย! พูดอะไรออกไปวะ 
“พี่คิดว่าพี่จะลืมมันได้เหรอ”

“ก็พยายามค่ะ ลืมไม่ได้หรอก แต่ดีกว่าไม่พยายามเลย เวลาเค้าเข้าบ้านช่วงดึกทีไร พี่ก็แอบร้องไห้ทุกที”
“ผมจึงบอกว่าพี่หลอกตัวเองไงครับ เรื่องแบบนี้ผมว่าการพยายามลืมมันไม่น่าจะใช่ทางออก ผมกำลังจะบอกว่า พี่ต้องหันหน้ามารับความจริงและอยู่กับมัน” ผมพูดง่ายชะมัด 

“พี่มีเงินใช้ไหม”
“ค่ะ งานการพี่ก็ดีค่ะหมอ มีเงินใช้ ไม่ต้องแบ่งให้ใคร ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้เงินสามีด้วย พี่อยู่ได้”

“นั่นไงครับพี่ พี่เป็นอิสระมาก พี่มีรายได้ พี่ไม่ต้องส่งเสียลูก พี่มีลูกที่รักพี่อยู่อีก ๓ คน แบบนี้เรียกว่าอิสรภาพจริงๆ ผมว่าพี่น่าจะลองปรับเปลี่ยนมุมมองดูสักนิด การจมอยู่กับความทุกข์อย่างที่เป็น มันไม่น่าจะทำให้ชีวิตพี่ดีขึ้นหรอกนะครับ”

กระดาษทิชชู่หยุดทำหน้าที่ในช่วงท้ายของการสนทนา

“ขอบคุณค่ะหมอ ทำไมพี่ไม่เคยคิดอย่างที่หมอบอกมา พี่ร้องไห้มาตลอด ๓ ปี ที่ร้องไห้หนักๆก็ตอนที่เป็นมะเร็ง พี่คิดว่าชีวิตพี่ไม่มีความหมายเสียแล้ว”
“แต่มันก็ผ่านมาสามปีแล้วนะครับ นี่ยังรวม ๒ ปีที่ผ่านการรักษาโรคมะเร็งมาด้วย” ผมกลายเป็นครูสอนวิชาบวกเลข ไม่ใช่สิ มันคือวิชา “สับเซ็ต”
“และที่สำคัญ ผมพูดแบบนี้ได้ เพราะผมไม่ได้ประสบกับตัวเองไง ผัวผมก็ไม่เคยมี มะเร็งก็ไม่ได้เป็น และเมียผมก็ไม่ได้ไปมีเมียใหม่หรือผัวใหม่เหมือนครอบครัวพี่ไง”

แล้วเราก็จากกันด้วยเสียงหัวเราะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าในปีหน้า เธอจะยังคงร้องไห้แทบทุกคืนเหมือนสามปีที่ผ่านมาหรือไม่

ผมจึงบอกเสมอว่า “เกิดเป็นผู้หญิง อย่าหยุดทำงาน” อย่าหยุดทำงานเพื่อเลี้ยงตัว

ผมนึกถึงเรื่องราวที่ไกลออกไป 

ราวสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทีมผมเคยได้มีโอกาสดูแลคนไข้วัยกลางคนคนหนึ่ง เธอมีโรคประจำตัวหลายอย่าง และที่สำคัญก็คือ โรงมะเร็งในโพรงมดลูกระยะต้น คราวนั้น การประชุมในทีมรักษา เราเห็นตรงกันว่าเธอควรรับการผ่าตัด แต่การปฏิเสธของเธอนั้นทำให้เราอึดอัด

“ดิฉันอยากมีลูก ขอให้ได้มีลูกกับสามีสักคน จากนั้นจะตัดก็ตัดไป”

พวกเราหงุดหงิดกันมาก เพราะรู้อยู่เต็มอกว่ามันต้องแลกกับชีวิต แต่อะไรล่ะ ที่เป็นมูลเหตุของการเสี่ยงของเธอ

“สามีและครอบครัวของเขายื่นคำขาด หากไม่มีลูกด้วยกัน เค้าจะขอหย่า”

“เชี่ยมาก!” ผมยังจำคำสบถของตัวเองในที่ประชุมแพทย์วันนั้นได้

แต่การรักษาของพวกเราก็ดีเหลือเกิน คำขอของคนไข้มีความสำคัญมากพอๆกับความเสี่ยงในการกระจายของโรค เนื้อมะเร็งถูกขูดออก การกระตุ้นไข่ถูกนำมาใช้ เด็กหลอดแก้วถูกใช้เป็นวิธีที่ทำให้เธอท้องได้เร็วที่สุด เธอท้อง และการท้องดำเนินไปอย่างทุลักทุเลด้วยเพราะโรคประจำตัว การคลอดถูกกำหนด และการตัดเอามดลูกออกได้ดำเนินไปตามแผนของทีม

ผมไม่ได้เจอเธอคนนั้นมานานมาก ได้แต่ช่วยส่งใจ ขอให้เธอมีความสุขกับครอบครัวตามอัตภาพ ซึ่งบอกตรงๆ ว่าผมแอบหวั่นใจ เพราะหากจะมีสามีคนไหนที่อยากมีลูกมากไปกว่าความปลอดภัยของเมียตัวเองแล้วนั้น ชายคนนั้นย่อมไม่ธรรมดา

ผมจึงบอกไง “เกิดเป็นผู้หญิง อย่าหยุดทำงาน” อย่าหยุดทำงานเพื่อเลี้ยงตัว เพราะยามเมื่อถูกทิ้ง เธอจะได้หาเลี้ยงตัวเองได้ต่อไป
........................

“เฮีย บอกผมมา คราวนี้เสร็จใครมาอีก” ผมจ้องหน้าชายคนนั้น คนที่มาพบผมด้วยอาการเยี่ยวแสบ หนองไหล 

เฮียยิ้มแหยๆ บางทีผมก็รู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมแกต้องติดหนองในมาทุกทีปีละหน คนอื่นเค้าก็ไปเที่ยวผู้หญิง แต่ก็ไม่เห็นจะติดโรคมาเลย 

เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งชะล่าใจไป ไอ้ที่ว่าไม่ติดโรคที่ผมเปรยนั้น คือหนองในนะครับ มันคือหนองไหลออกมาทางท่อเยี่ยวชนิดที่แสบสันถึงทรวง พวกแบบนี้ไม่พ้นมือพวกผมหรอก แต่ไอ้ที่มันติดแบบไม่เห็นอาการก็มีเยอะนะครับ อย่างเริม หูดหงอนไก่ ไวรัสต่างๆ รวมทั้งเอดส์ มันยังไม่แสดงอาการรวดเร็วเหมือนหนองในหรอก ดังนั้นจะว่าไม่ติดโรคมา น่าจะเป็นความคิดที่ประหลาดมาก 

“เพื่อนพาไปเที่ยวครับหมอ ผมขัดไม่ได้” แกบอก
“ขัดไม่ได้หรือไม่อยากขัด บอกมา” ผมสอบสวนค่อนข้างดุดัน แต่เชื่อเหอะ เห็นหน้าเฮียแกแล้วโกรธไม่ลงหรอก

“แหม..หมอ เด็กมันสด ใครจะอยากพลาดล่ะหมอ” แล้วแกก็เกินเข้าไปในมุมห้องตรวจอย่างคนชำนาญทาง ถอดกางเกงแล้วยื่นเจี๊ยวมาให้ผม 

“หนองไหลเลยอย่างนี้ ไม่สดจริงหรอกเฮีย” ผมเย้ย

“ไม่ใช่อย่างนั้นหมอ สดในที่นี้ไม่ใช่ซิง แต่มันสาว เข้าใจไหม” แกทำท่าเหมือนสอน

“เฮียจ่ายไปเท่าไหร่”
“พันห้า”
“แล้วทำอะไรกันได้บ้าง พันห้าน่ะ” ผมอยากรู้ นี่มันวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตล้วนๆ
“เค้าใช้ปากให้ผมด้วยนะหมอ” เฮียแกคงภูมิใจ
“ตอนใช้ปาก ไม่ใช้ถุงยางใช่ไหม” ผมถาม แกส่ายหน้า

“ขึ้นเตียงครับเฮีย เด็กมันสดนัก สดจริงๆ” น้ำเสียงแสดงออกชัดเจน ว่านี่คือการเย้ยหยัน

“ว่างๆ ให้ผมตรวจเลือดบ้างนะครับเฮีย ผมนี่วิตกแทนเลยจริงๆ”

ผมนึกออกแล้ว ไอ้ที่คุ้นๆว่า “ของมันสด” นั้น ได้มาจากเฮียนี่เอง

เฮ้อ.....เฮียนะเฮีย

ธนพันธ์ ชูบุญยังรู้สีกสดเสมอ
๒๙ กค ๖๒



หมายเลขบันทึก: 673130เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท