“สวัสดีครับ” ผมยกมือรับไหว้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินสวนกันในซอยแคบๆกลางเมืองหลวงหลังลงมาจากสถานีรถไฟฟ้าสะพานควาย
นึกไม่ออกว่า “ใครวะ?”
นึกไม่ออกจริงๆนะครับ นี่ถ้าหากว่าสวัสดีกันในโรงพยาบาล ม.อ. ก็อาจจะเป็นคนไข้หรือญาติที่ได้เจอกัน เดี๋ยวนี้มาแนวใหม่ เพราะถึงแม้จะถูกทักในโรงพยาบาล ผมอาจจะถูกทักว่า “เห็นคุณหมอในเฟซบุ้ค” อันนี้คงไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลกันแต่อย่างใด เพียงแต่เครือข่ายผมเยอะขึ้นเท่านั้นเอง
แต่นี่คือที่กรุงเทพฯ
คนตั้งมากมาย “จะมีใครมองหน้าผมแล้วรู้จักกันเพราะเห็นทางเฟซบุ้คได้ด้วยเหรอ” ผมรำพึง
“โห..นี่ผมดังขนาดชาวบ้านยกมือไหว้เลย” บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร มันไม่ได้ดีใจ แต่กลับรู้สึกกระอักกระอ่วน ต่อไปจะทำชั่วบ้างก็คงจะลำบาก หรืออยากจะเดินสบายๆไม่ต้องคอยแขม่วพุง หรือจะเดินเกาไข่ไปบ้างก็คงจะต้องระวังกันสุดฤทธิ์
ค่อยๆปรับใจ เอามือลงจากการรับไหว้ แล้วก้าวเดินต่อไป เพราะจุดหมายของผมอยู่ที่ “Mushroom co-working space” ชื่อเค้าน่ารักดีนะครับ “ช่องว่างทำงานร่วมกัน เห็ด”
ผมมีนัดถูกสัมภาษณ์เรื่อง “มุมมองของการทำแท้ง” กับทีม Way Magazine
ตอบตกลงแบบงงๆ ที่รับปากก็เพราะอยากลองถูกสัมภาษณ์จากคนทำงานสื่อที่ไม่ใช่สำนักข่าว และช่วงเวลาที่ผมสามารถขึ้นมากรุงเทพฯได้ง่ายๆ ก็นัดเวลาให้ตรงกับวันที่ต้องขึ้นมาทำงาน เรียกว่า วินวิน คิดได้ดั่งนั้น จึงตอบเขากลับไปว่า “ได้ครับ”
“คุณหมอเดินตาม google map มาได้เลยนะคะ ไม่ห่างจากบีทีเอสมาก” คุณบีส่งสัญญาณมา
“ครับ” แล้วก็เดินก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ
“ช่องว่างทำงานร่วมกัน เห็ด” นั้นเป็นบ้านเก่า บ้านสองชั้นดูสะอาดสะอ้านมีอาณาบริเวณให้ปลูกหญ้าเดินเล่นได้ แต่เดินเล่นไม่ได้เพราะฝนตกพรำๆ
ผมถูกเชิญขึ้นชั้น ๒ และมีทีมงานรออยู่แล้ว
คุณบีและคุณอ้อย เป็นคนสัมภาษณ์
คุณเบียร์ เป็นช่างภาพ
เก้าอี้ ไม่มีชื่อ มันมี ๔ ขาตามปกติและนั่งสบาย
ห้องน้ำ ไม่มีชื่อ แต่สะอาด แบบนี้ผมคงอึได้สบายไม่ระคายแก้มตูด (ปกติ ผมจะไม่สามารถปล่อยอึที่ไหนก็ได้ตามอำเภอใจหรอกนะครับ อั้นจนสุดตัว อั้นไว้จนกว่าจะได้กลับถึงบ้าน หรือห้องพักในโรงแรมนั่นแหละ)
การสัมภาษณ์ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง สนุกมาก ขนาดช่างภาพยังสงสัยและขอถามคำถามด้วย
ผมก็สนุก
แม้ชีวิตจะห่างหายจากการทำแท้งไปร่วม ๒ ปี แต่การสื่อสารเรื่องนี้ก็ยังคงมีอยู่บ้าง นั่นเพราะสังคมไทยยังใช้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปตีตราคนอื่นอยู่ เรายังตัดสินคนอื่นง่ายกว่าการตรึกตรองอย่างมีเหตุผล หรือหากจะแสร้งบอกว่ามีเหตุผล ก็มักจะเป็นเหตุผลที่เราร่างขึ้นมาเอง มากไปกว่าการวางตัวเป็นกลางแล้วให้คนเป็นทุกข์ได้ตัดสินใจในการดำเนินชีวิตของตัวเอง ด้วยตัวเอง (อ่านยากชิปเป๋ง)
เอาเหอะ มันสนุกก็แล้วกัน
ขากลับออกมาจาก “ช่องว่างทำงานร่วมกัน เห็ด” ผมก็เดินกลับออกมาอีกทาง คราวนี้เดินมาพร้อมกัน ๔ คน เลยไม่ต้องก้มดูหน้าจอโทรศัพท์
“สวัสดีครับ” คราวนี้ผมยกมือรับไหว้ชายคนหนึ่ง
“นี่คนแถบนี้เค้ารู้จักผมเยอะจัง” ผมบ่น
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะคุณหมอ” ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของคุณบีหรือคุณอ้อยกันแน่
“นั่นสิ นี่ผมต้องรับไหว้คนไม่รู้จักเป็นคนที่ ๔ แล้วนะครับ ขามารับไหว้ไป ๓ แล้ว” ผมยังคงรู้สึกตระหนก มือเริ่มสั่น เพราะอาจจะต้องมีการแจกลายเซ็น
“คุณหมอคะ”
“เค้าไหว้พระในโบสถ์ไหมคะ ที่ที่เราเดินอยู่ตอนนี้คือในวัดนะคะ วัดไผ่ตัน”
“เหรอ” ผมเหลียวตัวหันกลับไปมองทางด้านหลัง อุโบสถหลังใหญ่ของวัดไผ่ตันดูสวยสง่าและมีบารมี ผมรู้สึกอายขึ้นมา เลือดสูบฉีดจนหน้าแดงเรื่อ ในใจหนึ่งก็รู้สึกโล่ง
“กูไม่ได้ดังหรอก เค้าไหว้พระน่ะ ไอ้แป๊ะเอ๊ย”
ธนพันธ์ ชูบุญเดินผ่านวัดไปคุยเรื่องทำแท้ง
๑๘ กค ๖๒
ไม่มีความเห็น