มะลิร่วงโรย


แล้วมะลิกลีบสุดท้ายจากลำต้นที่แสนจะผุพังต้นนั้นก็ร่วงหล่นบนผืนดิน เธอได้กลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างสงบและสวยงามท่ามกลางคนที่เธอรักและรักเธอ

ยังจำมะลิช่องามที่ผมได้เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้กันได้ใช่ไหมครับ เธอเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อครู่นี้นี่เอง
.......................

“คุณหมอคะ” ผู้เป็นแม่ได้เรียกนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๖ ที่เข้ามาดูแลลูกสาวในห้องที่ถูกจัดไว้ให้อย่างเป็นส่วนตัวแม้จะอยู่ในหอผู้ป่วยสามัญ

“คุณหมอจำพี่เค้าได้ไหมคะ” เธอคงชั่งใจอยู่นานกว่าที่จะเอ่ยประโยคคำถามนี้ขึ้นมาได้ นั่นเพราะลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียงได้กระซิบบอกเธอว่า น้องนักศึกษาแพทย์คนนั้นเธอรู้จักเขาดี

และพลันที่ได้ยินคำถามจากแม่ของคนไข้ นักเรียนแพทย์หนุ่มน้อยก็หยุดกิจกรรมต่างๆที่ได้รับมอบหมายให้มาจัดการที่ตัวคนไข้ที่มีรูปร่างซูปผอมที่อยู่ตรงหน้า เขาหยุดมองหน้าผู้เป็นแม่ และมองหน้าคนไข้อยู่พักหนึ่ง

“พี่มะลิไงลูก จำพี่เค้าได้ไหม” เสียงแม่แผ่วเบา

เขานิ่งไป

“พี่มะลิ” เสียงอุทานฟังดูแหบพร่า
“พี่มะลิ.....” น้ำเสียงขาดห้วงไป แล้วน้ำตาของเขาก็เอ่อล้นและหยดลงมา กิจกรรมทางการแพทย์เมื่อครู่ถูกเปลี่ยนมาเป็นการจับมือ กุมมือและบีบไว้แน่นๆ 
คนไข้ที่เขาเองก็แทบจะจำเธอไม่ได้ พี่มะลิของเขาสวยกว่านี้ หน้าตาน่ารักกว่านี้ ผิวพรรณผ่องใสมีน้ำมีนวล ไม่ใช่เหลือเพียงแค่หนังหุ้มกระดูกแบบนี้

มะลิสบตาและยิ้มให้เบาๆ เธอยังคงมีอาการเจ็บปวดทรมานเป็นช่วงๆ 
พักหลังๆนี้ ระดับของยามอร์ฟีนที่เธอได้รับมันมากเสียจนคนสั่งยาอย่างพวกผมยังรู้สึกตกใจ 

“ผมเสียใจครับ ผมจำพี่ไม่ได้” เขายังคงยืนร้องไห้อยู่ข้างเตียง

“ไม่เป็นไร พี่เห็นน้องอยู่หลายวันแล้ว เห็นทำงานยุ่งอยู่ตลอด จึงไม่กล้าทักทาย” มะลิตอบกลับมาเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ แต่กระนั้นคนฟังก็ยังคงจับได้ถึงความอ่อนโยน

“พี่เป็นพี่รหัสของผมสมัยเรียนชั้นม.ปลาย พี่ดูแลผมอย่างดี หนังสือเรียนและคู่มือของพี่ พี่ก็ให้ผมมาอ่านต่อ ตอนที่ผมสอบได้เรียนแพทย์ พี่ยังเคยบอกผมเลยว่าจะมางานรับปริญญาของผม” แล้วน้ำตาของชายหนุ่มก็ยังไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่อง

“พี่คงไม่ได้อยู่ดูงานรับปริญญาของน้องแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว มันทรมานเหลือเกิน” มะลิพยายามส่งเสียงออกมา ในพักหลังนี้ เธอเหนื่อยมากขึ้น นั่นคงเป็นเพราะมะเร็งที่ลุกลามมาที่ปอดมันขยายขนาดโตขึ้น

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้คุยกันเรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะให้มะลิได้กลับบ้าน
น้องชายซึ่งตัดสินใจดร็อปเรียนเทอมหน้าได้กลับมาเพื่อดูแลพี่สาวของเขา ห้องหับได้ถูกตระเตรียมเอาไว้โดยเขาเป็นผู้ออกแบบ จัดหาข้าวของเครื่องใช้ ของทุกอย่างที่พี่สาวรัก เขาจดจำได้ทุกสิ่ง ภาพถ่ายของห้องที่เขาจัดการในโทรศัพท์มือถือถูกยื่นให้พี่สาวดู
“นี่ทำเองจริงๆเหรอ” มะลิถามน้องชายของเธอ
“ใช่สิ รอให้พี่กลับไปนอนพักที่นั่นด้วยกัน” เขาตอบพี่สาวไป

ในช่วงกลางสัปดาห์ มะลิเริ่มมีอาการเปลี่ยนไป เธอดูหงุดหงิด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนไม่เป็นที่ถูกใจ น้องชายซื้อน้ำส้มมาให้ก็ไม่ถูกใจ น้องสาวจะช่วยป้อนน้ำให้ก็ไม่เป็นที่ถูกใจ

“ผมรู้สึกว่า มันน่าจะใกล้ถึงเวลานั้นเต็มทีแล้วนะครับ อาการที่น้องเป็นอยู่มันอาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ เพราะกินอะไรไม่ได้เลยมานานแล้ว ไม่ก็เกิดจากอาการติดเชื้อที่รุนแรงมากขึ้น หรือไม่ก็มีอาการขาดอ็อกซิเจน ปอดแลกเปลี่ยนก๊าซไม่ดี” ผมอธิบายให้แม่ฟังนอกห้องพัก

“แต่ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหาสาเหตุหรอกนะครับ เราจะไม่เจาะเลือดมะลิอีกแล้ว มันไม่เกิดประโยชน์” 

“ค่ะหมอ” ผู้เป็นแม่ดูเข้มแข็งมาก

“สิ่งหนึ่งที่ต้องระวัง คือดูแลใจของเจ้าสองคนนั้นด้วย ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะเสียใจ จะน้อยใจพี่สาวบ้างไหม” ผมหมายถึงน้องทั้งสองคนของเธอ
“ค่ะ พี่ก็สงสาร แต่ทั้งคู่เข้าใจดีค่ะ เค้าตั้งใจมาดูแลพี่สาวมาก นอนด้วยกันในห้องนี้ตลอดเวลา ดูแลปรนนิบัติทุกอย่าง” 

ผมรู้สึกรักน้องของมะลิทั้งคู่

เมื่อวาน ทีมของอาจารย์เอ๋ หัวเรี่ยวหัวแรงในการดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายก็มาช่วยวางแผนการให้มะลิได้กลับบ้านพร้อมๆกับทีมผม เราจะใช้เครื่องฉีดยามอร์ฟีนเข้าใต้ผิวหนังให้กลับไปใช้ที่บ้าน แนะนำวิธีติดต่อกับพยาบาลที่รับอาสาดูแลหากมีปัญหาเกิดขึ้น เธอและครอบครัวคงพร้อมแล้ว

เช้าวันนี้มะลิดูแย่ลงมาก เธอเริ่มไม่ค่อยตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม 

“สงสัยคงกลับบ้านไม่ไหวแล้วนะพี่” ผมบอกกับแม่ของเธอ
“ค่ะหมอ ตั้งแต่เมื่อคืนช่วงดึก ลูกก็ไม่ได้คุยกับพี่อีกเลย” เธอผู้เป็นแม่ดูเข้มแข็ง นั่นเพราะเวลาที่ผ่านมานั้น เธอได้ทำทุกอย่างอย่างที่ควรจะทำ การดูแล พูดคุย รองรับอารมณ์ กล่าวอโหสิกรรมกับลูกสาวแทบจะทุกวัน นิมนต์พระมาช่วยทำบุญให้ลูกข้างเตียง

“พี่ไหวไหม” ผมถามออกไป เพราะตอนนี้มะลิดูเหนื่อย คนดูแลที่ไม่เข้มแข็งอาจจะปวดร้าวหัวใจ
“ดูเค้าเหนื่อย หายใจกระหายอากาศแบบนี้ แต่ตอนนี้เค้าแทบจะไม่ค่อยรู้ตัวแล้วนะครับ พี่ทนดูได้ไหม หรือจะให้เราเพิ่มยานอนหลับให้สักหน่อย จะได้หายใจช้าลง”
“ไม่เป็นไรค่ะหมอ พี่รู้สึกว่าลูกอยากลืมตามองอยู่”

ผมเอื้อมมือไปกุมมือมะลิไว้
“มะลิ..ไหวไหม”

อาการบีบมือตอบกลับเล็กน้อยนั้นผมแปลไม่ออก ผมเข้าใจว่ามันคือการตอบสนองต่อสิ่งเร้าตามปกติ แต่อาจารย์พี่เปิ้ลบอกว่า “เธอยังรู้สึกตัว แต่ตอบสนองเราไม่ไหว” 

“ถ้าอย่างนั้น เราจะเพิ่มยานอนหลับอ่อนๆ เข้าไปอีกนิดนะครับ” คราวนี้แม่เธอพยักหน้าคล้อยตาม

“เพื่อนๆเค้าเพิ่งรู้ ว่ามะลิป่วย วันพรุ่งนี้เค้าจะมากันหลายคน” แม่เธอบอก

“พี่ไปอ่านบันทึกที่ลูกเขียนถึงเพื่อนไว้ มันจะเสียใจมากหากไม่บอกพวกเขา”

“รักพวกแกทุกคนว่ะ ขอโทษที่ยังไม่ได้บอก โรคมันดำเนินมาจนถึงจุดที่เราก็ไม่ค่อยไหวแล้ว แต่รับความรู้สึกเสียใจจากน้ำตาของพวกแกได้ เรารักเพื่อนๆทุกคนจริงๆ มาถึงวันนี้ เพิ่งจะเข้าใจว่า กาลเวลาจะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นความทรงจำที่ดีจริงๆ” นี่ผมจดมาเพียงเล็กน้อย แต่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกทึ่เธอบอกลาเพื่อนๆอย่างจริงใจ

“พรุ่งนี้จะได้พบเพื่อนแล้วนะมะลิ” ผมกระซิบไปที่ข้างหูของเธอ โดยที่ไม่ค่อยจะแน่ใจนัก ว่าเธอจะรอพบเพื่อนไหวไหม

“อาจารย์ครับ” เสียงเรียกที่ต้นสายคือคุณหมอเอิร์ท หัวหน้าทีมรักษาในสายผม นั่นคือเวลาบ่ายสามโมงพอดี
“น้องมะลิเสียชีวิตแล้วนะครับ” 

ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับข้อความดังกล่าวมากนัก
“ครับ เดี๋ยวผมขึ้นไป”

มะลินอนหลับตา 

มะลิในวันแรกที่เราเจอกันเธอสวยกว่านี้มาก ผมนึกถึงความตกใจของลูกศิษย์ที่มายืนร้องไห้อยู่ข้างเตียงในทันทีที่รู้ว่าคนไข้คือพี่รหัสที่เขาจำไม่ได้ 

ผมนึกถึงพินัยกรรมชีวิตที่เธอเขียนเอาไว้

“แต่งหน้าให้หน่อย เอาลิปสติกสีสัม ปัดแก้มสีส้มหรือพีช eye shadow สีน้ำตาลอ่อนๆ คิ้วสีน้ำตาลเข้ม ไม่ต้องลงรองพื้น เอา BB ก็พอ ใช้แป้งฝุ่นศรีจันทร์”
เธอถูกแต่งหน้าอย่างที่ต้องการ แป้งฝุ่นศรีจันทร์วางอยู่ข้างมือ ๒ กระปุก ริมฝีปากบางๆนั้นมีสีส้มอ่อนๆ 

“ดอกกุหลาบสีเหลือง ขอเพียงช่อเดียวก็เพียงพอ ดอกมะลิ หรือดอกอะไรที่มี๊คิดว่าสวย” เธอสื่อสารกับแม่

“บอกคนในงาน ว่าฉันจากไปอย่างสบายใจ จึงอยากให้ทุกคนยินดีที่มาร่วมส่งฉัน ให้ทุกคนรู้ว่าฉันมีความสุขแล้ว” เธออยากให้มีสมุดบันทึกเพื่อให้คนมาร่วมงานได้เขียนข้อความฝากไว้

“ร้องไห้ได้นะ แต่ไม่ต้องฟูมฟาย เพราะฉันยืนดูทุกคนอยู่ รู้แล้วว่ารักฉันมากแค่ไหน” 
ใช่เลย ผมไม่ได้เห็นน้ำตาของผู้เป็นแม่และน้องสาวของเธอเลย พวกเขาคงได้แอบร้องไห้กันมานานมากแล้ว

“อยากให้ที่งานมีกระดานเขียนเนื้อเพลง Live and learn ให้คนได้อ่านความหมายของเพลง อาจจะเปิดในงานด้วย” ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมากมายด้วยวัยเพียง ๒๔ ปีเท่านั้น

ทั้งหมดนี้ผมคัดมาจากส่วนหนึ่งที่ได้เคยขออ่านเอาไว้

“มะลิ สบายแล้วนะ หายเจ็บหายปวด หมอรู้สึกขอบคุณที่เธอมาให้ฉันได้ดูแลเธอ” ผมยืนสงบนิ่งต่อหน้าร่างผอมบางที่นอนอยู่บนเตียง

มะลิสบายแล้วนะครับ เรือนร่างที่พร้อมกลับคืนสู่ธรรมชาติได้จากไปอย่างสงบและสวยงาม
ผมจึงขออนุญาตปิดบันทึกเรื่องราวของดอกไม้กลิ่นหอมที่เขียนมาก่อนแล้วถึง ๓ ตอน รู้สึกขอบคุณคุณรวิศ เจ้าของบริษัทศรีจันทร์ ที่อุตส่าห์ส่งข้อความมาถามว่าจะให้ช่วยเหลืออะไรน้องบ้าง (อันที่จริงก็เตรียมขอไปแล้ว แต่ยังไงเสีย เรายังคงดูแลเธอได้อยู่)
ขอบคุณคุณบี๋ ใครก็ไม่รู้ที่ได้เผลอเข้ามาอ่านบทความ แล้วอยากจะคุยกับมะลิเพื่อให้กำลังใจ เพียงแต่ตอนนั้น มะลิกับแม่ยังไม่พร้อมที่จะคุยเท่านั้นเอง เค้าฝากขอบคุณมาด้วยนะครับ

เอาเหอะ 
ขอบคุณทุกคนที่ฝากกำลังใจมาให้ ซึ่งทั้งแม่และลูกก็ได้อ่านอยู่

“หมอรู้ไหม พรุ่งนี้วันเกิดของมะลินะคะ” เสียงของแม่แผ่วเบาและแหบพร่า

“สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าวันหนึ่งนะมะลิ แหม..อีกวันเดียวก็จะ ๒๕ ปีแล้ว หลับให้สบายนะจ๊ะ”

ธนพันธ์ ชูบุญหอมกลิ่นมะลิจางๆ
๒๑ มิย ๖๒



คำสำคัญ (Tags): #มะเร็ง#มะลิ#palliative
หมายเลขบันทึก: 673122เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 15:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 15:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท