ตัดมดลูกเพื่อคุณ


อาจารย์ราตรีแกเป็นครูเกษียณอายุราชการ แต่ด้วยความที่เธอมีทักษะทางภาษาต่างประเทศสูงมาก โรงเรียนแห่งนั้นจึงได้จ้างอาจารย์เป็นครูสอนภาษาอย่างต่อเนื่อง

เธอเป็นคนไข้ที่ถูกนัดมาให้เจอผม

“อาจารย์มีปัญหาอะไรเหรอครับ” ผมเอ่ยปากทักทายตามปกติ

ผมพิศดูคนไข้สูงวัยตรงหน้า 
สตรีรูปร่างสูง ท้วม หน้าตามีเค้าสวยประหนึ่งลูกครึ่งทางยุโรป สันจมูกโด่งคม ผมหยักเป็นลอน เธอสวมแว่นกรอบหนาแต่ดูเข้ากับรูปหน้าเป๊ะ

“มดลูกมันโผล่ออกมาค่ะ” 

“ครับ..เป็นมานานเท่าไหร่แล้วเหรอครับ”

เธอทำท่านึกเล็กน้อย “น่าจะราวๆ ๔-๕ ปีเห็นจะได้ค่ะ ก่อนหน้านั้นมันโผล่ออกมาไม่มากนะคะ แต่ตอนนี้โผล่ลงมามากขึ้น เริ่มรู้สึกได้เลยว่ามันไม่สบายตัว เวลานั่งดิฉันรู้สึกลำบากมาก เพราะบางทีก็เผลอนั่งทับไป มันเจ็บค่ะคุณหมอ”

ผมเดินนำอาจารย์ไปยังห้องตรวจภายใน มดลูกของเธอโผล่หลุดออกมาทั้งหมด กะขนาดคร่าวๆ ก็ราวๆ มะม่วงน้ำดอกไม้ทั้งลูก

“มันโผล่มามากขนาดนี้ อาจารย์ทนได้เป็นปีเลยนะครับ” ผมพูดเหมือนบ่น แค่คนเป็นครูคงทราบน้ำเสียงจึงตอบมาอย่างใจเย็น

“สามีไม่ค่อยสบายค่ะ ดิฉันทราบว่า หากต้องรักษาโดยการผ่าตัด ครอบครัวเราจะลำบากมาก เพราะอยู่กัน ๒ คน”
“ขอโทษนะครับ สามีอาจารย์ป่วยเป็นอะไรเหรอครับ” ผมกำลังคาดเดาว่าน่าจะเป็น “อัมพาต” เพราะภาวะพึ่งพาในวัยชรา มักมีโรคนี้ติดอันดับต้นๆ และคู่ชีวิตที่ดูแลต้องคอยพลิกตัว ยกตัว ทำไปทุกวัน ออกแรงทุกวัน เบ่งทุกวัน มดลูกก็จะโผล่ออกมาไงล่ะ

“เป็นอัลไชเมอร์ค่ะ” 
“ครับ..แย่หน่อยนะครับ อยู่กัน ๒ คนเท่านั้นเอง

ผมหลับตานึกภาพคู่ชีวิตวัยเกษียณที่ต้องดูแลกันแบบนี้ ใจมันรู้สึกทั้งตื้นตันและตกตุ๊บ

“เอาอย่างนี้ไหมครับ ผมจะลองสอนให้อาจารย์สอดกำไลเข้าไปยันมดลูกไว้ในช่องคลอดดูสักระยะ หากมันใช้ได้ดี เราอาจจะไม่ต้องผ่าตัดก็ได้นะครับ” ผมเสนอช่องทางในการรักษาให้คนไข้รายนี้ได้รับทราบ

อาจารย์มีลูกหนึ่งคนซึ่งทำงานและมีครอบครัวอยู่ต่างจังหวัด ด้วยความเก่งนั้น เธอจึงสามารถจัดการชีวิตในวัยสูงอายุที่ต่างคนต่างเจ็บป่วยได้ค่อนข้างดีโดยไม่ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากลูกชายแต่อย่างใด
เราพบกันหลังจากวันนั้นในเดือนถัดมา ผมคาดว่าเธอน่าจะพอใจกับการใช้กำไลใส่ข่องคลอด

“ไม่ไหวค่ะคุณหมอ” เธอยิ้มให้ 
“ตั้งแต่วันนั้น ที่ออกจากห้องตรวจของคุณหมอไป เดินไปได้ไม่ถึงไหน ดิฉันปวดปัสสาวะมาก และอั้นไว้ไม่อยู่เลย ฉี่ราดอยู่ที่หน้าห้องน้ำ อายคนมาก” 
“แล้วทำไมในวันนั้นอาจารย์ไม่เดินเข้ามาบอกผมล่ะครับ” ผมสงสัย
“เกรงใจค่ะ เพราะเห็นคุณหมอมีคนไข้อยู่ และดิฉันก็ได้วันนัดพบคุณหมอแล้วด้วย วันนี้ไงคะ” โถ..อาจารย์ นี่ยังอุตส่าห์เกรงใจ และพยายามรออีกเป็นเดือนเพื่อที่จะแจ้งให้ผมทราบ

“ครับ มันก็น่าจะเป็นไปได้นะครับ เพราะตอนที่มดลูกโผล่ออกมานั้น ท่อปัสสาวะจะถูกพับ มันเลยออกจะฉี่ยากสักหน่อย แล้วเวลาใส่กำไลเข้าไป มดลูกถูกดันกลับ ท่อฉี่ไม่ถูกพับ แรกๆ คนไข้อาจจะไม่ทันได้เตรียมใจ ฉี่ราดออกมาเลย” ผมพยายามอธิบายโดยใช้รูปภาพที่ติดอยู่บนผนังให้เธอได้เข้าใจ
“แล้วอาจารย์ได้ใส่มันต่อไหม”

“ไม่ค่ะ มันมีปัญหาเรื่องปัสสาวะมาก ดิฉันจึงไม่ได้ใส่มันอีกเลย”

“งั้นเรามาคุยเรื่องการผ่าตัดกันดีไหมครับ” ผมยื่นข้อเสนอ
“ดีค่ะ ดิฉันตรึกตรองดูมาระยะหนึ่งแล้วเหมือนกัน” 

“ถ้าคิดว่าจะให้บาดเจ็บน้อยๆ ฟื้นตัวเร็วๆ กลับบ้านได้เร็ว เพื่อจะได้รีบกลับดูแลสามีต่อนั้น ผมคิดว่าการผ่าตัดเพื่อเย็บปิดช่องคลอดไปเลยน่าจะดีนะครับ” 
ผมเสนอการผ่าตัดชนิดที่ผ่าน้อยที่สุด ในคนไข้บางคน หมอสามารถฉีดยาชาเฉพาะที่ช่องคลอดแล้วทำได้เลย 
การเย็บปิดช่องคลอดนั้น คือการเชื่อมช่องคลอดให้เป็นรูตันไปเลย ไอ้ที่โผล่ออกมานั้นก็จะถูกดันติดอยู่ด้านในไม่โผล่ออก รูช่องคลอดของคนไข้จะสั้นจนเหลือราวๆ ๓-๔ เซนติเมตรหลังผ่าตัด ผมชอบเรียกการผ่าตัดแบบนี้ว่า “ปิดรู”

เธอคงตกใจเล็กน้อย ที่ข้อเสนอของการผ่าตัดทำให้ช่องคลอดเหลือสั้นจิ๊ดเดียว

อันที่จริง ทางเลือกในการผ่าตัดมีหลากหลายมากนะครับ โดยหลักๆแล้ว มักจะเป็นการผ่าตัดเอามดลูกออกทางช่องคลอด และเย็บซ่อมแซมผนังช่องคลอดให้กระชับขึ้น การผ่าตัดแบบนี้ไม่มีแผลที่หน้าท้อง เพราะเป็นการผ่าตัดในช่องคลอด ทุกอย่างจะถูกซ่อนไว้ในช่องคลอดทั้งหมด จิ๋มจากภายนอกจะดูปกติ และมีรูช่องคลอดเหมือนเดิม

มีคนไข้บางคนได้รับคำแนะนำให้ผ่าตัดแบบส่องกล้องเหมือนในโฆษณา
“ป้าจะส่องกล้องค่ะหมอ” คนไข้คนหนึ่งเสนอมาอย่างนั้น
“ทำไมเหรอครับ” ผมสงสัย
“ก็เค้าบอกว่ามันเจ็บน้อยกว่า แผลที่ท้องก็เล็กนิดเดียว” แกบอก
“แต่หมอผ่าออกทางช่องคลอด ไม่มีแผลที่ท้องเลยนะครับป้า” ผมบอกตามความจริง
“แต่หมอเค้าบอกว่า ส่องกล้องมันเจ็บน้อยกว่า” แกยังไม่ยอม
“งั้นก็ได้ครับ หมอจะผ่าตัดทางช่องคลอดตามปกติ เสร็จแล้วจะเอามีดมาเจาะพุงตามที่ป้าต้องการ เหมือนกับคนอื่นที่ผ่าส่องกล้องเลย จะเอาแบบ ๓ หรือ ๔ รูดีครับ” ผมทำท่ายอม

หลายๆที การสนทนาก็จบลงด้วยการถูกคนแก่ตีเข้าสักเผียะ หรือไม่ก็หัวเราะกันน้ำลายกระจาย

อาจารย์ราตรีนั่งฟังผมอธิบายข้อดีข้อเสียของการผ่าตัดอย่างตั้งใจและมีสมาธิ การจดบ้างนั้นน่าจะเป็นบุคลิกที่ติดตัวมา

“คุณหมอคะ ดิฉันคิดว่าคุณหมอช่วยกรุณาผ่าตัดเอามดลูกออกเลยดีกว่าค่ะ อยากให้มันดูเหมือนปกติ อยากให้มีช่องคลอดแบบปกติ” 

“ได้สิครับ ไม่มีปัญหา” ผมหันไปจดบันทึกการสนทนาไว้ในประวัติ และหาวันผ่าตัดให้เธอ

ผมได้นัดแนะเรื่องการตรวจเลือด ตรวจคลื่นหัวใจ และเอ็กซ์เรย์ปอด เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม และนัดวันที่จะมาฟังผลการตรวจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการผ่าตัดจริง

“อาจารย์มีอะไรจะถามผมอีกไหมครับ” การสิ้นสุดการสนทนาด้วยคำถามแบบนี้ผมไม่เคยลืม

คนสูงอายุตรงหน้ามีรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ
“คุณหมอคะ คุณหมออย่าเพิ่งคิดว่าดิฉันอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะ เพียงแต่การมีช่องคลอดนั้น มันทำให้ดิฉันกับสามียังคงมีเซ็กส์กันได้ ดิฉันจึงเลือกให้คุณหมอผ่าตัดตามที่คุยกัน” ผมคิดว่าเธอคงต้องรวบรวมความกล้าพอสมควร จึงจะพูดออกมาได้อย่างเมื่อครู่ มือที่วางบนตัก กำผ้าเช็ดหน้าไว้มีอาการเกร็งเล็กน้อย

“ทำไมอาจารย์จึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ” ผมย้อนถาม
“ดิฉันก็ไม่รู้นะคะว่าคนอื่นเขาจะใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่สำหรับดิฉันกับสามี เรายังคงมีเซ็กส์กันบ้าง แม้จะนานๆครั้ง” 

“เหรอครับ ดีจังเลย เพียงแต่ผมสงสัยอย่างหนึ่ง จำได้ว่าอาจารย์เคยบอกว่าสามีอาจารย์ป่วยเป็นอัลไซเมอร์” ผมจำประวัติที่เคยคุยกันไว้ได้

“ค่ะ เค้าเป็นแบบนั้น แต่เวลาที่เราได้กอดกัน ได้ make love กัน มันคือความทรงจำที่ดีของเราทั้งคู่เลยนะคะ ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ออกัสซั่ม แต่มันคือการแสดงความรักเหมือนเมื่อครั้งที่เรายังคงแข็งแรงไงคะคุณหมอ”

ผมยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะรู้สึกเป็นสุข มันเหมือนได้รับพลังจากความสุขของคนไข้ส่งมาให้ด้วย มันคือความรู้สึกตื้นตันจนตามันรื้น ดังนั้น การยิ้มกว้างจึงเป็นการตอบรับที่ดีที่สุด

อาจารย์ราตรีได้รับการผ่าตัดและตรวจติดตามการรักษากับผมอีกราว ๒ ครั้ง

“อาจารย์เป็นยังไงบ้างครับ” 
“สบายขึ้นมากเลยค่ะคุณหมอ ไม่เจ็บ ไม่ถ่วง ปัสสาวะสบายมากเลย” เธอยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าเสมอๆ พับผ่าสิ ผมว่าในสมัยสาวๆแกคงสวยน่าดู

“แล้วสามีอาจารย์เป็นยังไงบ้างครับ” 

“คุณหมอคะ” เธอหยุดนิ่งเพียงช่วงหนึ่งเวลาหายใจเข้า 

“เค้าเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองค่ะ”

ผมรู้สึกร้อนวูบทั้งใบหน้า มันใจหาย

ความจริง การตายของผู้สูงอายุสักคน มักไม่ค่อยกระทบจิตผมสักเท่าไหร่ แต่กับสามีของอาจารย์ราตรีกลับไม่เป็นเช่นนั้น

“แล้วเป็นยังไงมั่งครับ” 

“เค้าก็หลับไปเฉยๆค่ะ ก่อนนอนเรายังคงคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่เลยนะคะ ตื่นขึ้นมาอีกทีเค้าก็เสียชีวิตไปแล้ว” เธอมีน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง ผมทำได้เพียงยื่นกระดาษทิชชู่ให้ไป และเงียบ

“แต่ก็ดีนะคะ ดูเค้าไปสบาย เหมือนนอนหลับ เสียอยู่อย่างเดียวคือไม่ได้มีโอกาสลากันเลย”

ร่มคันนั้นถูกหยิบขึ้นมา มันทำหน้าที่เป็นเสมือนหนึ่งไม้เท้าที่คอยพยุงสตรีสูงวัยรายนี้ไม่ให้เซขณะก้าวเดิน

ผมมองตามหลังออกไป ขณะที่อาจารย์ราตรีปิดประตูห้อง เพียงแวบหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า เธอช่างดูสง่างามผิดกับคนไข้รายอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกัน

...............................

“แม่” ผมเอ่ยขึ้นมาเบาๆ พลิกตัวตะแคงหน้ามาทางผู้หญิงข้างตัวที่ร่วมนอนเตียงเดียวกันมานานกว่า ๒๐ ปี เธอกำลังอ่านนิยายภายใต้แสงไฟสีเหลืองสลัวจากหัวเตียง ด้วยวัยของเราทั้งคู่ ทำให้แว่นตามีความจำเป็นสำหรับการอ่านหนังสือ

“จ๋า” เธอตอบทั้งๆที่สายตายังคงจับอยู่ในหน้ากระดาษ

“รักพ่อมั้ย” แล้วผมก็พ่นลมอุ่นๆใส่แก้มเธอ

“พ่อนี่ท่าทางจะเป็นอัลไซเมอร์ ถามอยู่ได้ทุกวัน”
“แล้วว่าไงล่ะ” ผมยังไม่ยอม

เธอวางสายตาออกจากหนังสือ หันมาหอมแก้มผมฟอดหนึ่ง

“แล้วว่าไงล่ะ” ผมก็ยังคงไม่ยอม

“รักค่ะ”

“เออ..ก็แค่นั้น ต้องให้ถามซ้ำ”

บางครั้งก็อดสงสารเมียตัวเองไม่ได้
นี่กูจะถามไปบ่อยๆทำไมวะ แต่ช่างเหอะ เพราะผมยังคงเชื่อว่า ตราบเท่าที่ผมยังไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ไปจริงๆ ถามยังไง คำตอบก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ใช่ไหม?

แต่ตอนนี้ ผมเพียงแค่รู้สึกรำคาญไอ้หนังสือนิยายบ้านั่นต่างหาก นิยายอะไรนักหนาวะ อ่านอยู่ได้ทู้กกกกกกคืน บางทีก็นึกไปว่า เมียกำลังจะสอบเอ็นทรานซ์

เอ๊ะ..ว่าแต่ เมื่อกี๊เมียผมตอบว่าอะไรแล้วนะครับ

ธนพันธ์ ชูบุญเกือบลืมนามสกุลตัวเอง
๑๕ กค ๖๒

หมายเลขบันทึก: 673127เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท