หลับบนพุงเลย



อันที่จริง ผมรักการทำคลอดมากเลยนะครับ

ผมจำได้ว่า ไอ้ที่อยากขึ้นมาเรียนในแผนกสูติฯเป็นอย่างมากตอนเรียนหมอนั้น ไม่ใช่เพราะอยากเห็นจิ๋มผู้หญิง แต่ผมอยากทำคลอดเอามากๆ  
ตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ ๑ ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๓๓ ได้ไปฝึกงานช่วงสั้นๆที่โรงพยาบาลพระแสง ได้เห็นพี่ๆพยาบาลทำคลอด ได้เห็นจิ๋มของคนไข้ค่อยๆอ้า ค่อยๆบานออก เห็นผมเห็นหัวของเด็กทารกค่อยๆเคลื่อนต่ำลงมา พี่ๆพยาบาลช่วยกันเชียร์ให้คนไข้เบ่ง

“อู๊ดดดดดด เบ่งค่าเบ่ง เอ้า อู๊ดดดดดด” งงหนักมาก ทำไมต้องเป็น “อู๊ดดดดด” คนคลอดนะ ไม่ใช่หมู
“เสียงอู๊ดดดดดด มันทำให้คนไข้ต้องทำปากจู๋ เขาจะได้ไม่ต้องแหกปากร้องเสียงดัง ร้องดังน่ะ ไม่มีแรงเบ่ง แต่ทำปากจู๋แล้วเบ่ง ลมมันจะช่วยให้เบ่งลงท้อง และผ่อนออกทางปากอย่างดี” พี่พยาบาลอธิบายให้ฟัง
ผมยังจำคนทำคลอดในวันนั้นได้ เธอคือ “พี่น้อย”

แล้วเด็กก็คลอดออกมา 
มันน่าตื่นตาตื่นใจเอาเสียมากๆ 
“มันคือที่สุดของการเรียนหมอแน่ๆ” นั่นคงเป็นความฮึกเหิมในการเรียนหมอจริงๆ 

ผมยังจำได้อีกว่า ในวันนั้น รุ่นพี่ที่ได้ไปด้วยกัน ได้ดูการคลอดด้วยกัน เมื่อเด็กคลอดออกมา แกถึงกับหน้าซีด

“เป็นไงพี่ จะเป็นลมเหรอ” ผมทักออกไป แล้วประคองแกออกมาจากห้องคลอดเล็กๆของโรงพยาบาลพระแสงในตอนนั้น 
“เออว่ะ ใจมันหวิวๆ” ชายหนุ่มร่างใหญ่ แต่ตอนนั้นระทวยมากตอบมา
“ลุ้นจนเป็นลม” ผมพึมพัม
“เปล่า กูเหม็นกลิ่นน้ำคร่ำ” แกเฉลย

การคลอดครั้งนั้น มันคือแรงบันดาลใจ

ผมเฝ้ารอการขึ้นมาเรียนในภาควิชาสูติฯ ตั้งแต่คราวนั้น ผมรอการขึ้นชั้นคลินิกตอนปี ๔
แต่เจ้ากรรม ปีที่ผมเข้ามาเรียน คณะแพทย์ได้เปลี่ยนให้เรียนสูติฯในชั้นปีที่ ๕ เพียงครั้งเดียว

แต่ไม่เป็นไร การรอคอยมันน่าจะคุ้มค่าสินะ ใครสักคนบอกมาอย่างนั้น ปี ๕ ก็ปี ๕ วะ

“ผมอยากเป็นนักเรียนแพทย์คนแรกในรุ่นที่ได้ทำคลอด” นั่นคืออีกแรงบันดาลใจ 

แต่สวรรค์ก็เล่นตลกกับผมอีกเมื่อได้เห็นตารางหมุนเวียนแล้วพบว่า ผมจะได้เรียนในกองสูตินรีเวช เป็นกองสุดท้าย (เค้าเรียกกันเป็น กองๆ แบบนี้แหละครับ)

“เอาวะ ไม่เป็นไร เมื่อไม่ได้เป็นคนทำคลอดคนแรกของรุ่น แต่คนไข้คนสุดท้ายของรุ่น ผมจะเป็นคนทำคลอดเอง” เพื่อนๆมันคงสมเพชผมบ้าง ไม่มากก็น้อย เมื่อได้ยินเสียงบ่นแบบนั้น

ผมขึ้นมาเรียนในกองสูติฯด้วยความตื่นเต้นมาก
ได้ลูบได้คลำท้องของคนท้องที่มาฝากครรภ์มันน่าตื่นเต้น ได้ฟังเสียงหัวใจเด็กมันก็ตื่นเต้น มันตื่นตาตื่นใจไปเสียทุกอย่าง แล้ววันได้ทำคลอดก็มาถึง

เชื่อไหม ตลอดเวลา ๑๐ สัปดาห์ที่เรียนในกองสูติฯ ผมได้ทำคลอดคนไข้ไป ๕ คน ได้เย็บแผลที่ฝีเย็บไปทั้งหมด ๙ คน และที่มันเยี่ยมมากก็คือ คนไข้คนสุดท้ายของรุ่น ผมเป็นคนทำคลอดให้ 

ผ่าม!

อ่านๆไปแล้วรู้สึกยังไงครับ

ไม่ต้องรู้สึกก็ได้ ปล่อยให้ผมฟินไปคนเดียวก็พอ เพราะในที่สุด ตอนนี้ผมก็ได้เป็นสูตินรีแพทย์มานานอย่างน้อยก็ ๑๙ ปีแล้ว

หลังจากเรียนจนจบออกมาเป็นหมอสูติฯ เต็มตัว ก็เริ่มใช้ชีวิตในการทำคลอดสิครับ ใครมาฝากพิเศษก็รับไว้ เค้าจะเบ่งตอนไหนก็จะรีบไปทำคลอดให้ ดึกดื่นสักแค่ไหนก็ไม่ยั่น 
สมัยก่อน ช่วงที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านในมหาวิทยาลัย ข้างๆบ้านพักมีลำธารไหลผ่าน ช่วงไหนน้ำเยอะก็จะได้ยินเสียงน้ำไหลในลำธารชัดมาก เวลาถูกตามให้ไปทำคลอดตอนดึก ก็จะหยุดยืนฟังเสียงน้ำให้ใจสงบ แล้วรีบขับรถไปโรงพยาบาล โคตรจะคลาสสิก

แต่ในช่วงหลังๆ เริ่มเหนื่อย การนอนเริ่มมีปัญหา หากต้องไปทำคลอดหลังเที่ยงคืน บางทีอาจจะกลับมาตาค้างอยู่ที่บ้าน เมียก็หลับเสียสนิท จะสะกิดมาโซเดมาคอมกันตอนตี ๓ ก็คงจะถูกด่า ก็เลยนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่คนเดียว ดีไม่ดี อาจจะเริ่มง่วงเอาตอนเกือบตี ๕ แล้วชีวิตในวันนั้นมันก็อาจจะอึนๆไปทั้งวัน 

จนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจหยุดรับทำคลอด หยุดรับฝากพิเศษไปเลย
จะทำอยู่บ้างก็น้องๆท้องมา สมัยนั้นได้ทำคลอดให้รุ่นน้องหลายคน มาช่วงหลังๆ ก็เป็นการทำคลอดให้ลูกศิษย์แทน ไม่ก็ทำคลอดให้กับคนที่รู้จักสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว

อย่างเมื่อวันก่อน ก็ไปทำคลอดให้เพื่อนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่สนิทกัน ทำคลอดให้เขาตอนตีสองเศษๆ รู้สึกดี คิดถึงการทำคลอด คิดถึงช่องคลอดของคนท้อง คิดถึงวินาทีที่ช่องคลอดบานออก คิดถึงช่วงเวลาแว้บแรกที่เจ้าตัวเล็กมันร้องไห้เสียงดัง มีความสุขที่สุด

แต่ครั้นเมื่อกลับมาที่บ้านล้มตัวลงก็นอนตาค้างอยู่อย่างนั้น เอามือสะกิดตูดเมียอย่างไม่เกรงใจ เมียก็เอามือผมออก จึงนอนสวดมนต์ 

เจ้ากรรม! เสือกจำบทสวดไม่ได้ ก็แค่อรหังสัมมา..แต่จำท่อนจบไม่ได้ คิดแล้วคิดอีก คิดอยู่นานก็นึกไม่ออก “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ” มันก็ไม่น่าจะใช่ จึงต้องเอื้อมมือมาเปิดมือถือ เข้าไปในกูเกิ้ล เพื่อหาบทสวด เจอปุ๊บก็เหมือนปลดล็อค “พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ” นอนท่องบทสวดซ้ำไปซ้ำมา เวลาเผลอๆ ก็ออกบทนู้นทีบทนี้ที เหลือบตาดูก็เกือบจะตี ๔ เห็นว่าไม่ได้ผลก็เลิกสวดเสีย หันมานอนหงาย แล้วทำท่าตายเหมือนตอนที่เพื่อนครูโยคะสอนมา คันหัว ตายไม่ได้ ต้องเกา คันตูด ตายไม่ได้ ต้องเกา กลิ้งไปกลิ้งมา เกือบตี ๕ ถอนหายใจ แล้วก็คงหลับไปในตอนนั้น แล้วเสียงนาฬิกาปลุกของเมียตอนหกโมงยี่สิบก็ดังขึ้นมา

จบกัน

นี่ไม่ได้พูดเล่นๆขำๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆครับ ดังนั้น การที่ไม่รับทำคลอด มันก็มีที่มาที่ไปอย่างนี้แหละ

สังขารมันไม่ไหว ไม่เหมือนตอนหนุ่ม ยิ่งในช่วงที่เรียนต่อเพื่อเป็นหมอสูติฯ ผมเป็นแพทย์ประจำบ้านที่ขยันมาก ทำงานในโรงพยาบาล ทำงานหาเงินพิเศษด้วยการไปรับจ็อบที่โรงพยาบาลเอกชน บางวันไม่ได้นอนดีๆติดกันก็หลายวัน ยังไม่เห็นเป็นไร อย่างดีก็แค่เมาๆ เดี๋ยวตอนค่ำกลับไปนอนก็หลับสบาย

สมัยก่อนไม่มีใครมาสอนเรื่อง non technical skill ที่ว่าด้วยเรื่องการพักผ่อนอย่างเพียงพอ หมอทุกคนทำตัวเหมือนซูเปอร์แมน เราจึงเห็นความผิดพลาดที่เกิดจากความง่วงนอนพักผ่อนน้อยของหมอ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจทึ่ไม่ปกติ การหงุดหงิด เกรี้ยวกราด นั่นคือผลกระทบต่อตัวคนไข้ และมีบ่อยๆ ที่เราได้ทราบข่าวอุบัติเหตุทางรถของแพทย์ นั่นคงเพราะการหลับใน

การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นเรื่องสำคัญมาก

ตอนที่ไปเรียนอยู่ที่สิงคโปร์ หมอที่นั่นที่ต้องอยู่เวรทั้งคืน ในวันต่อมา เขาได้รับอนุญาตให้ทำงานต่อได้จนถึงเที่ยงเท่านั้น กฎหมายเขาห้ามไม่ให้ทำงานต่อ บางทียืนช่วยผ่าตัดกันอยู่ เมื่อถึงเวลาเที่ยงปุ๊บ เขาก็ขอออกจากเคสเฉยๆเลย 
ย้อนกลับมาดูที่บ้านเรา มันยังไม่เกิดระบบการดูแลแบบนี้ แถมพวกหมอรุ่นน้องๆ เมื่อได้เวลาพัก บางทียังทำร้ายตัวเองด้วยการเล่นเกมโต้รุ่ง หรือเที่ยวจนสะบักสะบอม แล้วก็กลับมาทำงานทั้งๆที่ยังพักผ่อนไม่เพียงพออยู่นั่นเอง

สมัยก่อนผมก็อยู่ในวงจรนั้น

ยังจำวันนั้นได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น

ค่ำคืนที่ผ่านมา ผมไปรับจ็อบอยู่เวรที่โรงพยาบาลข้างนอก ทำงานในห้องฉุกเฉิน ทำงานมันทั้งคืน ตื่นมาก็เพราะมีคนไข้มารับการรักษา บางคนปวดฟัน บางคนเมามารถล้มมีแผลต้องเย็บ หลายคนต้องส่งขึ้นนอนในโรงพยาบาล ด้านบนวอร์ดมีหมอจิ๋ม เมียตัวเองคอยรับเคสดูแลต่อเนื่อง ทำงานจนสว่างคาตาทั้งๆที่คืนก่อนหน้านั้นก็อยู่เวรในโรงพยาบาลตัวเองมาก่อน

ยังไงล่ะ

มันก็คล้ายๆกับคนเมาๆ หรือเมาค้าง แต่ด้วยความหนุ่มแน่น ผมจึงยังคงเอาอยู่

“พี่เป็นไงบ้างครับ ลูกดิ้นดีอยู่ไหม” คนท้องอายุราว ๓๐ เศษๆ ผมจึงเรียกเธอว่าพี่

“ดิ้นดีค่ะ”

“งั้นเราไปตรวจท้องกันด้านในนะครับ” สมัยนั้น ห้องตรวจห้องนั่งคุยซักประวัติจะจัดนั่งเรียงกัน หมอเห็นหน้ากันทุกคน และเตียงตรวจท้องคนไข้จะเป็นห้องส่วนตัวอยู่ด้านหลัง

“ขนาดมดลูกสูงตามปกตินะครับ” ผมประเมินขนาดมดลูก จากนั้นเปลี่ยนมือมาคลำหาตัวเด็ก พบว่าเจ้าหนูมันนอนเอาหัวไว้ด้านล่าง ซึ่งก็เป็นท่าปกติของคนท้องทั่วๆไป

“ดูดีนะครับพี่ เดี๋ยวผมจะขอฟังเสียงหัวใจของเด็กหน่อย” แล้วผมก็เอาสเต็ทโตสโคปเสียบที่หู แล้วกดหัวที่ฟังหัวใจเด็กลงไปบนพุงคนไข้ แล้วตั้งใจฟัง

“หาไม่เจอแฮะ” ผมบ่นในใจ แล้วเลื่อนหาตำแหน่งที่เหมาะสมต่อไป โดยปกติแล้ว เด็กที่อยู่ในมดลูก เค้าจะอยู่ในท่าคุดคู้โก่งหลัง ดังนั้นเวลาหมอจะฟังเสียงหัวใจ เราจะฟังจากแผ่นหลังของเด็กครับ

เพลินดี แวบนั้น ผมคิดถึงตัวเองที่ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ผมถูกคัดเลือกเข้ามาเรียนต่อเพราะครูหลายคนรัก พี่ๆหลายคนชอบใจ สมัยก่อนนั้นเวลาสัมภาษณ์รับหมอเข้ามาเป็นแพทย์ประจำบ้านเพื่อเรียนต่อ ภาควิชาสูติฯของผมจะให้พี่ๆแพทย์ประจำบ้านร่วมกันโหวต มีข่าวมาว่า คะแนนโหวตของผมสูงลิ่ว ผมได้มาเรียน ผมได้ดูจิ๋ม ได้ดูช่องคลอดคนท้อง ได้ทำคลอด ได้ผ่าท้องคลอด โอย...มันฟินชัดๆ ระหว่างเรียนต่อ ผมก็ได้แต่งงาน ผมวางแผนในอนาคตไว้ ว่าหลังจากเรียนจบจะรีบมีลูก ผมอยากไปทำงานที่ภูเก็ต อยากให้ลูกได้เล่นน้ำทะเล แต่ไม่สิ ทะเลภูเก็ตมันโคตรอันตราย ขืนปล่อยลูกเล่นน้ำเพลินไป เผลอแผล็บเดียว มันอาจจะถูกดูดออกไปจนถึงหมู่เกาะอันดามันได้เลยนู่น แล้วผมก็เห็นเด็กตัวเล็กกำลังว่ายน้ำทะเลจริงๆ มันว่ายน้ำเข้ามาหาผมด้วย เฮ้ย..หลบไปสิลูก เดี๋ยวน้าหมอเปียก 
ไม่ทันแล้ว มันว่ายเข้ามาประชิดตัวจนผมหลบไม่ทัน ตีนของมันถีบเอาที่แก้มผมดังผั๊วะ แต่แปลกแฮะ ไม่เปียก ไม่มีน้ำทะเลนี่นา แต่เสียงมันก็แปลกๆ ทำไมคลื่นในทะเลมันเสียงดัง “จ๊อกกกกก” ยังกะท้องร้อง

แล้วผมก็สะดุ้งตื่น

ผมหลับ ยืนหลับเอาหัวหนุนพุงคนไข้น้ำลายย้อยที่มุมปาก

“ซูดดดด” ผมดูดน้ำที่มุมปากกลับขึ้นมา แล้วเช็ดปากกับแขนเสื้อ

“อุย..ขอโทษนะพี่ ผมเผลอหลับไป ขอโทษจริงๆครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ พี่เห็นคุณหมอค่อยโน้มหัวลงมาก็นึกว่าจะฟังเสียงลูก แล้วคุณหมอก็หนุนท้องพี่หลับไปเลย”

“ขอโทษนะครับ มันเพลียจริงๆ ผมหลับไปนานเท่าไหร่”
“เกือบสิบนาทีค่ะ เห็นคุณหมอทำหน้าเหมือนมีความสุขอยู่ พี่ก็ไม่กล้าเรียก ลูกพี่คงดิ้นแรงไป คุณหมอจึงสะดุ้งตื่น”
“ครับ” ผมนี่สุดแสนจะอาย มันอายจนอยากจะแทรกพื้นหินขัดหนีให้พ้นไป 
“ลูกพี่นี่เกิดมาคงว่ายน้ำเก่งนะครับ เมื่อกี้ว่ายน้ำเล่นกับผมอยู่ที่ภูเก็ตนู่นเลย” 

ชาติที่แล้วคงเกิดเป็นนก ยืนหลับได้ หลับไปสิบนาที ตื่นมาโคตรสดชื่น บอกเลย

ธนพันธ์ ชูบุญรักคือฝันไป
๔ กค ๖๒

ปล. อยากให้คนท้องทุกคนได้เบ่งคลอด

คำสำคัญ (Tags): #สูติกรรม
หมายเลขบันทึก: 673124เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 15:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 15:54 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท