เลี้ยงรุ่น



“นี่ฉันเองคนนี้
นี่ฉันเองคนเดิมที่ยังรักเธอ
นี่ฉันรอที่จะได้เจอ ยังรอที่จะพบเธอ
ไม่ว่านานเเค่ไหน....”

เพลง “นี่ฉันเอง” ดังขึ้นมา 

ปกติผมไม่ค่อยชอบฟังเพลงแร็พ เพราะมันงง ฟังไม่ทัน ไม่รู้เค้าร้องหรือพูดว่าอะไร ยังไงก็มักจะฟังไม่ทัน แต่กับเพลงนี้ผมกลับรู้สึกถูกใจ

“ฟังแล้วอยากกลับไปเรียนม.ปลายอีกครั้งหนึ่ง” ผมบอกกับตัวเอง

“ทำไมเหรอ” ในห้วงคำนึงนั้น ผมก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ออ..อยากได้กลับไปลองจีบสาวอีกสักครั้ง” หือ..นี่คืออารมณ์ที่ได้จากการฟังเพลงกระนั้นหรือ

ตอบได้เลยว่า “ใช่”

“วันนั้นวันวาเลนไทน์เธอได้ดอกไม้จนเต็มมือ
แต่ฉันหลบอยู่หลังเสายืนมองเป็นไอบื้อ
ตอนเธอสบตาฉันเอาแต่ยืนแข็งทื่อ
เธอยิ้มแล้วจากไป
เลยไม่ได้ให้ดอกไม้ในมือ....”

ภาพความทรงจำตอนอยู่ชั้น ม.๔ หวนกลับมาอีกครั้ง ความรักในช่วงวัยรุ่น วัยที่เราเริ่มเสพฮอร์โมนเพศที่มันกำลังถ่าโถมนั้นมันได้หลากอารมณ์มาก ไหนจะเป็นแรงขับทางเพศ ไหนจะเป็นเสียงเรียกของหัวใจ ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันแทบจะแยกกันไม่ออก ว่ารัก หรืออยากสืบพันธุ์

ผมก็มีความรัก และวันนั้นคือวันวาเลนไทน์ ผมอยากจะให้ดอกไม้เธอมาก

แต่ดอกไม้ของผมไม่ธรรมดา เด็กห้องคิงที่กำลังสนุกกับโครงงานวิทยาศาสตร์ ดอกกุหลาบสีแดงสดของผมจึงเกิดจากการเป่าแก้ว

ลำแก๊ซสีฟ้าพวยพุ่ง ปลายแท่งแก้วหลอดใสถูกจ่อลงไปในเปลวไฟนั้น กระทั่งหลอดแก้วเริ่มมีสีแดงและแสดงถึงความอ่อนตัว ผมเริ่มเป่าแก้วจนปลายแก้วพองตัวออกคล้ายลูกโป่ง ค่อยๆดูดกลับนิดหนึ่งเพื่อให้เกิดรอยบุ๋มที่ด้านยอด จากนั้นเปลวไฟจึงเผาไหม้กระเปาะแก้วอีกด้าน ผมเป่าและดูด ทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมันมีรูปร่างเป็นดอกกุหลาบที่สวยงามอย่างลงตัว แล้วเมื่อได้ระยะที่เหมาะสม ผมจึงยืดแก้วออกอย่างบรรจง ก้านกุหลาบจึงดูเรียวยาว

“สวยงาม” ผมยิ้มอย่างพึงใจ

อุณหภูมิกำลังดี ภายในกระเปาะดอกจึงเป็นสุญญากาศ ก้านกุหลาบแก้วที่ผมเป่าขึ้นมานั้นจึงถูกวางลงในแก้วที่บรรจุน้ำสีแดงเอาไว้ 

ของเหลวสีแดงถูกดูดขึ้นมาด้วยหลักวิทยาศาสตร์ โคนก้านหลอดถูกเผาจนหลอมปิดสนิท กุหลาบสีแดงดอกนั้นยังอยู่ในความทรงจำ

“ตอนเธอสบตาฉันเอาแต่ยืนแข็งทื่อ
เธอยิ้มแล้วจากไป
เลยไม่ได้ให้ดอกไม้ในมือ....” เพลงมันใช่มาก

แล้วเธอก็เดินจากไป 
กุหลาบแก้วดอกนั้นจึงยังคงอยู่ในกระเป๋าเสื้อของผม

“แป๊ะ เราอยากได้กุหลาบดอกนั้น” เสียงใสๆดังมาจากด้านหลัง 

“เอิ่ม..คือเราไม่ได้ทำมาให้เธอนะ” ผมบอกเธอออกไป 

“แต่เราว่ามันสวยดี เราอยากได้” เธอยังคงไม่ยอม

“เราเป่าให้ใหม่เอาไหม อันนี้มันมีเจ้าของแล้ว” ใจมันหวิวเมื่อได้บอกว่า ดอกไม้ในกระเป๋าเสื้อนักเรียนด้านอกซ้ายมันมีเจ้าของ ทั้งๆที่คนที่อยากจะให้เป็นเจ้าของนั้นเพิ่งได้เดินผ่านไปเมื่อครู่

“แต่เราอยากได้ดอกนี้ ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อนั้น” ท่าทางเธอคงไม่ยอมเสียจริงๆ
.........................

นั่นไงครับ

ฟังเพลงนี้แล้วอยากย้อนกลับไปมีโมเม้นต์แบบนั้นอีกสักครั้ง
..........................

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ ผมมีงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนนักเรียนชั้น ม.ปลาย ที่จังหวัดสุราษฎร์ฯบ้านเกิด

มันคืองานเลี้ยงสังสรรค์ที่ผมตั้งใจว่าจะต้องมาร่วมทุกปี เพราะเพื่อนชั้น ม.ปลาย คือเพื่อนที่ผมไม่เคยลืม

ไหนจะเป็นเพราะความแตกหนุ่ม ไหนจะเป็นเพราะได้ทำงานกลุ่ม ทำกิจกรรมโรงเรียนมาด้วยกัน ไหนจะช่วยกันเรียนกันอย่างสนุกสนาน และไหนจะเป็นเพราะความรักที่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังไม่เคยได้มีแฟนจริงๆเลยสักครั้งในชั้นมัธยมปลาย

ใช่ครับ

ในช่วงนั้นหัวใจผมมีความรัก แม้เวลาจะผ่านพ้นไปสักเท่าไหร่ ผมก็ไม่เคยลืมความรู้สึกของการเป็นหนุ่มน้อยผู้มีความรักกับหญิงที่พึงใจ แม้จะหลายคน แต่ผมยังจำได้ ว่าผมรักเธอทีละคน เชื่อเหอะ ทีละคนจริงๆ 

ถึงแม้ตอนนี้พวกเราได้แยกย้ายจากกันไปมีครอบครัวของใครของมัน อบอุ่นบ้าง ร้อนบ้าง แตกหักบ้าง ซึ่งนั่นคือวิถีของการเป็นครอบครัวในชีวิตจริง สุขทุกข์ปะปน แต่ผมก็ยังมีความเชื่อว่า การได้กลับมาเจอเพื่อนๆที่เคยเรียนชั้น ม.ปลายมาด้วยกัน มันทำให้เกิดความชุ่มฉ่ำในหัวใจ มันคือการเติมพลังชีวิต

นี่ไง ผมจึงเฝ้ารองานเลี้ยงสังสรรค์ศิษย์เก่าสมัยมัธยมปลาย ผมเฝ้ารอการมาเจอเพื่อนๆ ได้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์ ได้นึกย้อนไปถึงวันที่เคยสนุกสนานกัน และกระทั่งการได้นึกย้อนกลับไปถึงวันที่เคยได้รักเธอ

อย่างในปีนี้ ผมก็ได้เจอกับเธอ คนที่ผมเคยรักและมอบใจให้อยู่ฝ่ายเดียวมาตลอดในช่วงเวลานั้นถึงสองคน

...................

“นี่ฉันเองคนนี้
นี่ฉันเองคนเดิมที่ยังรักเธอ
นี่ฉันรอที่จะได้เจอ ยังรอที่จะพบเธอ
ไม่ว่านานเเค่ไหน....”

เสียงเพลง “นี่ฉันเอง” ดังขึ้นมาในรถขณะที่ผมกำลังขับไปร่วมงานเลี้ยง

ครึ้มใจ เพราะผมอยากเจอเพื่อนมัธยม

ลองคิดดู ว่าถ้าในงานได้เปิดเพลงนี้ไปด้วย มันจะพีคสักเพียงใด

ครับ พีคมากจริงๆ วงดนตรีที่เล่นอยู่บนเวที เค้าเป็นสายเพื่อชีวิต เพื่อนๆสนุกสนานอยู่หน้าเวที รวมทั้งผมด้วย 

“มาร่วมกันร้องบรรเลง มาร่วมกันร้องบรรเลง ร้องบรรเลงมนต์เพลงคาราบาว”

“จึงมาเปนนนนน วณิพกพเนจร เที่ยวเร่ร่อนนนนน ร้องเพลงแลกเศษเงิน...”

นั่นไง เต้นกันสนุก ชูมือขึ้น นิ้วชี้นิ้วกลางและนิ้วนางกำลง ปล่อยให้นิ้วโป้งและนิ้วก้อยชี้ขึ้นมา มันคือสัญลักษณ์เขาควายของคาราบาว เต้นเหยงๆตามจังหวะเพลง ตะโกนแหกปากร้องไป เหงื่อไหลไคลย้อย คงลืมตัวเคลิ้มไปตามจังหวะเพลง นึกว่ากำลังเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย

พีคจริงๆ

ไหนล่ะ อารมณ์โรแมนติกเมื่อครู่

ธนพันธ์ ชูบุญสอธอรุ่นจบปีสามสอง
๒๒ ตค ๖๒

หมายเลขบันทึก: 673149เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท