อ.ดวงใจ พรหมพยัคฆ์ และ อ.พรพิมล ชัยสา
วิจัยเรื่อง "การทำงานเป็นทีมของนักศึกษาพยาบาล พัฒนารูปแบบการเรียนแบบทีมเพื่อส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและ"
รูปแบบการวิจัย (Research Design) เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development)
ระยะที่ 1
•1 ศึกษาแนวคิดทฤษฎี
•2 ผู้วิจัยศึกษาสภาพการเรียนทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ
ระยะที่ 2
•1. สร้างรูปแบบการจัดการเรียนแบบเป็นทีม
•2. นำรูปแบบการจัดการเรียนที่ได้สร้างขึ้น ไปทดลองใช้กับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ รุ่น 68 จำนวน 18 คน
ระยะที่ 3
• นำรูปแบบการจัดการเรียน ทดสอบประสิทธิภาพกับนักศึกษา รุ่น 69 จำนวน 144 คน ศึกษาแบบหนึ่งกลุ่มวัดซ้ำ (Single – Group Time Series Design)
ระยะที่ 4
•ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนแบบทีม
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
•การวิจัยระยะที่ 1
•1) แนวทางการสนทนากลุ่มเกี่ยวกับสภาพการเรียน การเรียนแบบทีม กลุ่มตัวอย่าง อาจารย์ และนักศึกษา
•2) แบบสอบถามสภาพการเรียนการจัดการเรียนแบบทีม นักศึกษา
•การวิจัยระยะที่ 2-3
•แผนการสอน
•แบบทดสอบ 2 ชุด สำหรับ TBL ที่เน้น การคิดวิจารณญาณ
•สื่อการสอน
•การวิจัยระยะที่ 4
• 1) แบบวัดการคิดแบบมีวิจารณญาณ
• 1. ด้านการอนุมาน จำนวน 14 ข้อ
• 2. ด้านการยอมรับข้อตกลงเบื้องต้น จำนวน 10 ข้อ
• 3. ด้านการนิรนัย จำนวน 10 ข้อ
• 4. ด้านการตีความ จำนวน 10 ข้อ
• 5. ด้านการประเมินข้อโต้แย้ง จำนวน 10 ข้อ
**** ขณะนี้สิ้นสุดการวิจัยระยะที่ 1 กำลังดำเนินการในระยะที่ 2 •กำลังวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ในระยะที่ 1
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ
•กัลยาณมิตร ยินดีแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจในการเรียนการสอนและเทคนิคต่างๆ
•การเปิดใจรับฟังข้อคิดเห็นของนักศึกษา เกี่ยวกับการจัดการเรียน
•ทีมที่ดี เคมีตรงกัน
•การสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน
•การสนับสนุนจากผู้บริหาร ด้านงบประมาณ เวลา
•การวางแผนที่ดี
อ.จันทร์จิรา อินจีน, สิรีวัฒน์ อายุวัฒน์ และ ศุภวรรน ยอดโปร่ง
วิจัยเรื่อง "ความพึงพอใจต่อการใช้แบบประเมินปัญหาความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวตามแนวทาง INHOME-SSS ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 3"
ความเป็นมา
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
•1. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ต่อการใช้แบบประเมินปัญหาความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวตามแนวทาง INHOME-SSS
•2. เพื่อศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับ จุดเด่น และจุดด้อยของแบบประเมินปัญหาความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวตามแนวทาง INHOME-SSS
ผลการวิจัย
นักศึกษาพยาบาล ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจำนวน 47 คน (ร้อยละ 88.7) อายุระหว่าง 21 ถึง 23 ปี พบอายุ21 ปีมากที่สุดคือ จำนวน 38 คน (ร้อยละ 71.7 ) โดยมีอายุเฉลี่ย 21.32 ปี นักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (= 4.23; S.D. = 0.11) โดยนักศึกษาพยาบาลมีความพึงพอใจต่อการใช้แบบประเมินปัญหาความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวตามแนวทาง INHOME-SSS ในประเด็นเกี่ยวกับเป็นเครื่องมือที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลมาวางแผนการพยาบาลได้มากที่สุดและเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการสื่อสารระหว่างทีมสุขภาพเพื่อการดูแลครอบครัวอย่างต่อเนื่อง (= 4.34; S.D. = 0.68และS.D. = 0.59) รองลงมาคือ ระยะเวลาการบันทึกในแบบประเมินเหมาะสมและเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการดูแลครอบครัวแบบองค์รวม (= 4.28; S.D. = 0.57, = 4.23; S.D.=0.67) ตามลำดับ ดังตารางที่ 1
ตาราง 1 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความพึงพอใจนักศึกษาพยาบาลต่อการใช้แบบประเมินปัญหาความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวตามแนวทาง INHOME-SSS ในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลครอบครัวและชุนชน 1 ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช
รายการประเมิน | SD | ระดับ | |
1.ระยะเวลาการบันทึกในแบบประเมินเหมาะสม | 4.28 | 0.57 | มาก |
2.เป็นเครื่องมือที่สามารถในการใช้งานได้สะดวก ง่าย ไม่ซับซ้อน | 4.08 | 0.73 | มาก |
3.เป็นเครื่องมือที่ออกแบบได้เหมาะสมสามารถระบุปัญหาและความต้องการของผู้รับบริการได้ | 4.13 | 0.68 | มาก |
4.เป็นเครื่องมือที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลมาวางแผนการพยาบาลได้ | 4.34 | 0.68 | มาก |
5.เป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการดูแลครอบครัวแบบองค์รวม | 4.23 | 0.67 | มาก |
6.เป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการสื่อสารระหว่างทีมสุขภาพเพื่อการดูแลครอบครัวอย่างต่อเนื่อง | 4.34 | 0.59 | มาก |
รวม | 4.23 | 0.11 | มาก |
นักศึกษามีความคิดเห็นว่าแบบประเมินปัญหาความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวตามแนวทาง INHOME-SSS มีจุดเด่นเกี่ยวกับสามารถใช้เก็บข้อมูลได้ครบถ้วนไม่ซับซ้อน เก็บง่ายมากที่สุด จำนวน 26 คน ( ร้อยละ 49.1) รองลงมาคือสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ปัญหาผู้ป่วยได้ จำนวน 11 คน ( ร้อยละ 20.8 ) ดังตารางที่ 2
ตาราง 2 จำนวน ร้อยละของจุดเด่นของแบบประเมินปัญหาความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวตามแนวทาง INHOME-SSS
จุดเด่น | จำนวน | ร้อยละ |
ระบุภูมิหลังในอดีตเชื่อมโยงให้เห็นพฤติกรรม สาเหตุหรือปัญหาของผู้ป่วยได้ | 3 | 5.7 |
สามารถมองภาพรวมของปัญหาในผู้ป่วยได้ | 3 | 5.7 |
สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ปัญหาผู้ป่วยได้ | 11 | 20.8 |
เหมาะสมกับการเยี่ยมบ้าน | 1 | 1.9 |
มีความชัดเจนของข้อมูลที่เก็บรวบรวม | 4 | 7.5 |
เก็บข้อมูลได้ครบถ้วนไม่ซับซ้อน เก็บง่าย | 26 | 49.1 |
แบบฟอร์มชัดเจน | 1 | 1.9 |
สามารถใช้สอบถามข้อมูลครอบครัวได้จริง | 2 | 3.8 |
ครอบคลุมถึงสาเหตุและการแก้ไขปัญหาของผู้ป่วย | 1 | 1.9 |
เก็บข้อมูลครบองค์รวม | 1 | 1.9 |
นักศึกษามีความคิดเห็นว่าแบบประเมินปัญหาความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวตามแนวทาง INHOME-SSS ไม่มีจุดด้อยมากที่สุด จำนวน 17 คน ( ร้อยละ 32.1 ) แต่พบว่าจุดด้อยที่พบมากที่สุดคือบางหัวข้อยังไม่ชัดเจน ไม่ละเอียด จำนวน 14 ( ร้อยละ 26.4 ) รองลงมาคือ แบบฟอร์มใช้งานไม่สะดวก เป็นตาราง และคำถามเข้าใจยาก ซับซ้อน จำนวน 6 คน (ร้อยละ 11.3 ) ดังตารางที่ 3
ตาราง 3 จำนวน ร้อยละของจุดด้อยของแบบประเมินปัญหาความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวตามแนวทาง INHOME-SSS
จุดเด่น | จำนวน | ร้อยละ |
ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลในอดีตและภูมิหลัง | 1 | 1.9 |
บางหัวข้อยังไม่ชัดเจน ไม่ละเอียด | 14 | 26.4 |
ไม่สามารถระบุปัญหาผู้ป่วยได้ชัดเจน | 2 | 3.8 |
แบบฟอร์มใช้งานไม่สะดวก เป็นตาราง | 6 | 11.3 |
ใช้เวลาเก็บข้อมูลมาก | 2 | 3.8 |
ละเอียดมากเกินไปในบางข้อมูล | 3 | 5.7 |
คำถามเข้าใจยาก ซับซ้อน | 6 | 11.3 |
ต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้แบบประเมิน | 2 | 3.8 |
ไม่มีจุดด้อย | 17 | 32.1 |
แนวทางการพัฒนา
พัฒนาการวิจัยเป็นวิจัยกึ่งทดลองที่มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง เพื่อให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนขึ้น
เคยทำวิจัยในชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหาน.ศ.มาหลายปีแล้ว เมื่อได้รับฟังวิทยากรและได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์ของวิทยาลัย ก็ทำให้มีแนวคิดที่จะกลับมาพัฒนาการประจำสู่การวิจัย
ขอชื่นชมผู้ทำวิจัย เกี่ยวกับ R to R เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์กับนักศึกษาและรูปแบบการเรียนการสอนที่ดีซึ่งเกิดจากปัญหาที่เราพบจริงๆ และสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ R to R สำเร็จได้ก็คือ 1.ตัวผู้วิจัย ที่มีใจรักในงานต้องการพัฒนางาน และมีแรงจูงใจภายในเกี่ยวกับการทำวิจัยและคิดว่าการทำวิจัยไม่ใช่เรื่องยาก 2.มีผู้ช่วยเอื้อำนวยช่วยเหลือเกี่ยวกับการทำวิจัย ซึ่งวพบ.พุทธชินราช มีงานวิจัยและKMที่เข้มแข็งน่าจะเป็นสิ่งที่ดีในการช่วยพัฒนา R to R ในองค์กรให้มากขึ้น และ3.ผู้บริหารเห็นความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนางานด้วยการทำวิจัย R to R พร้อมทั้งให้การส่งเสริมและสนับสนุน ซึ่งผลลัพธ์สูงสุดคือเกิดองค์กรแห่งการเรียนรู้ ทำให้คนทำงานมีความสุข ผู้รับบริการ/นักศึกษาก็มีความสุขขอบคุณค่ะ..อ.สุทธามาศ อนุธาตุ
ได้ฟังR2Rครั้งนี้ทำให้ต้องกลับไปดูงานการเรียนการสอนในภาควิชาสุขภาพจิตฯว่ามีประเด็นใดที่จะนำมาทำR2Rที่ตอบโจทย์ในการพัฒนานักศึกษาพยาบาลของเราให้มีคุณลักษณะเป็นไปตามผลลัพท์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรให้มีประสิทธิผลมากๆๆๆ คะ ขอบคุณนะคะ
มีการพัฒนางานที่ทำประจำ แต่ยังไม่มีการจัดเก็บและบันทึกผลของการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม และไม่ได้เครื่องมือวัดที่ชัดเจน จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่สามารถนำไปต่อยอดได้ เมื่อได้ฟังการแลกเปลี่ยนวันนี้ทำให้เกิดแนวคิดในการออกแบบการพัฒนางานประจำดดยใช้การวิจัยเป็นเครื่องมือต่อไป
การทำ R2R แท้จริงแล้วเราทำเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนการสอน ด้านทักษะต่างๆ ทางการพยาบาล และด้านการบริหารงาน การทำงานต่างๆ ถึงเวลาที่ต้องกลับมาพัฒนางานของตนเอง โดยเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูล ทำวิจัยจากสิ่งที่ทำเป็นประจำ เพื่อให้ได้วิธีการหรือผลลัพธ์ของงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
งานวิจัย R2R มีหลายระดับ แต่เป้าหมายสำคัญ คือ เริ่มต้นจากปัญหาเพราะเป็นการทำงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหา ตนเองจะทำวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาของนักศึกษาในชั้นเรียน แต่มีเป้าหมายเพื่อการตีพิมพ์เผยแพร่ด้วยอีกเป้าหมายหนึ่ง จึงต้องผ่านกระบวนการขอจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ด้วย และพบว่าวิจัยจากงานประจำสามารถดำเนินการได้ทุกปี เพราะเมื่อเราทำวิจัยประเด็นหนึ่งในปีที่ผ่านมา พอปีถัดไปเราจะพบวิธีการพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาของนักศึกษาในแนวใหม่ที่สามารถพัฒนาเป็นงานวิจัยได้อีกเรื่องเช่นกัน
การวิจัย R2R เป็นระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสมกับการพัฒนางานประจำของเรามาก เพราะเป็นการแก้ปัญหาในงานที่ทำเป็นประจำ และเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ประเด็นปัญหาที่พบคือการเขียนและการเผยแพร่ผลงาน ที่ผู้วิจัยอาจจะพบได้ และขอขอบคุณงานวิจัยที่นำเสนอสิ่งดีๆให้อาจารย์ผู้ปฏิบัติค่ะ
การร่วมแลกเปลี่ยน R2R ครั้งนี้ ทำให้ตระหนักว่าถึงแม้การทำงานจะมีการพัฒนางานที่ทำอยู่เป็นประจำ แต่ถ้ามีการพัฒนาต่อยอดให้เกิดเป็นรูปธรรม ผลลัพธ์ของงานจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เกิดประโยชน์กับผู้อื่นมากขึ้น จึงทำให้เกิดพลัง+++++++ค่ะ
แต่ละภาควิชามีเทคนิคหรือวิธีการในการสะท้อนคิดที่แตกต่างกัน ทำให้ได้รับความรู้และวิธีการในการสะท้อนคิดที่แตกต่างออกไป
ได้รับแรงบันดาลใจจากอาจารย์ทั้งสองท่านค่ะ
จะนำหลักการไปพัฒนากับวานของตัวเองนะคะ
การวิจัยนี้ ช่วยให้เกิดการพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น (สิรีวัฒน์ อายุวัฒน์)
ชื่นชมทีมวิทยากร ที่สามารถรังสรรค์เวลา องค์ความรู้จากงานที่ทำประจำ ให้เกิดประโยชน์ในรูปงานวิจัย
เป็นงานวิจัยและการจัดการเรียนที่ดีเน้นให้นักศึกมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน
โดยส่วนตัวยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำ แต่การ KM ครั้งนี้คิดว่าจะนำไปทดลองทำในวิชาที่ตนเองรับผิดชอบเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนค่ะ
ได้เห็นกระบวนการ และเกิดแนวทางในการสร้างงานวิจัยจากการเรียนการสอนเพิ่มมากขึ้น สามารถนำไปเป็นแนวทางในการสร้างงานจากการจัดการเรียนการสอนได้เพิ่มขึ้น.
ก่อนนี้ไม่คิดว่าจะง่ายขนาดนี้ พอได้อ่านตัวอย่างก็ทำให้เข้าใจมาขึ้นครับ
เป็นงานวิจัยที่ดี ทำให้เห็นแนวทางในการพัฒนางานประจำให้เกิดประสิทธิภาพดีมากขึ้นค่ะ
เป็นงานวิจัยที่สามารถใช้ได้จริง และน่านำไปประยุกต์ใช้ในการสอนมากคะ และส่งเสริมการทำงานเป็นทีม
เป็นแนวคิดและหลักการที่ดี อยากทำวิจัยมากเลยค่ะ แต่ต้องทำ R2R เรื่องการบริหารจัดการงานกับเวลา กับ work - life balance ก่อนเลยค่ะ
R2Rช่วยแก้ปัญหาในการทำงานทุกอย่างสำหรับผู้ที่อยากพัฒนางานของตนให้ดีขึ้น กระบวนการนี้มีคุณค่ามากและช่วยให้การทำให้ทราบจุดที่ต้องแก้ไขปรับปรุงตรงจุด
R2Rช่วยแก้ปัญหาในการทำงานทุกอย่างสำหรับผู้ที่อยากพัฒนางานของตนให้ดีขึ้น กระบวนการนี้มีคุณค่ามากและช่วยให้การทำให้ทราบจุดที่ต้องแก้ไขปรับปรุงตรงจุด
การวิจัยแบบ R2R เป็นวิธีการวิจัยที่จะช่วยในการพัฒนางานประจำให้ดีขึ้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาวิธีการเรียนการสอนได้
R to R จากงานประจำสู่งานวิจัย ทำให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนางาน ควรมีเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งการเสวนาและการเขียน paper เผยแพร่ ยังประโยชน์พัฒนาต่อยอดจากงานประจำ สู่การวิจัย …. เกิดองค์กรแห่งการเรียนรู้ จึงอยากเรียนรู้และพัฒนาเรื่อง R to R มากขึ้น
วิทยากรสามารถอธิบายได้เข้าใจง่าย และเห็นถึงประโยชน์ของการทำวิจัยแบบ R2R
ได้เห็นเทคนิคของอาจารย์ท่านอื่น ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการต่อยอดงานวิจัยของตนเองต่อไปในอนาคต ขอบคุณคะ
ควรส่งเสริมให้มีการทำ R2R ในแต่ละงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการพัฒนางาน
เป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาการเรียนการสอน และการวิจัยในชั้นเรียนมากๆ เลยค่ะ
เป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาการเรียนการสอน และการวิจัยในชั้นเรียนมากๆ เลยค่ะ
ฟังบรรยายแล้วสร้างแรงบันดาลใจได้ดีมากเลยค่ะวิทยากรบรรยายได้ดีมากค่ะจะนำไปพัฒนาในการทำงานค่ะ
สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดงานประจำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ และเป็นประโยชน์อย่างมากต่อองค์กร งานที่รับผิดชอบ
เป็นแนวทางในการทำวิจัยแบบ R2R ที่ชัดเจนมากๆ และนำไปใช้เป็นแนวทางการทำวิจัยในภาควิชาต่างๆ