บทความที่เกี่ยวกับ "การศึกษาไทย" ที่คนไทยต้องคิด


บทความที่เดินตามทางไลน์มา ...

...

ดร.อาทิตย์ เศร้าใจเจอจีนวิจารณ์การศึกษาไทยห่วยแตกตั้งเเต่เด็ก-มหาวิทยาลัย

อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความอ่านแล้วเศร้าใจเจอ "จีน วิจารณ์การศึกษาของไทยห่วยสุด ๆ ตั้งแต่ระดับมัธยม จนถึงระดับ มหาวิทยาลัย"

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์เฟซบุ๊ก “Arthit Ourairat” เมื่อวันที่ ๑๙ เม.ย. ระบุว่า “จีน วิจารณ์การศึกษาของไทย จีนรักไทยจริงใจ...วิจารณ์การศึกษาของไทยแบบตรง ๆ...อ่านแล้วเศร้าจัง

การศึกษาไทยในมุมมองของจีน ห่วยสุดๆ ตั้งแต่ระดับมัธยม จนถึงระดับ มหาวิทยาลัย

๑. สถานทูตจีน เขียนรายงาน (เป็นภาษาจีน) ระบุการศึกษาบ้านเรา เน้นแต่ด้าน ศิลปศาสตร์ นิติฯรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การตลาด บริหารธุรกิจ ซึ่งจบมาแล้ว ไม่มีงานทำ ความรู้กระจอก สักแต่ให้มีใบปริญญา ไม่ได้สร้าง value-added ใดๆ นักวิทยาศาสตร์ การวิจัย แทบจะเป็นศูนย์ Guanmu อดีตเอกอัครราชทูตจีน บอกว่า ๒๕ ปีที่ผ่านมา ไทยผลิตยาง ยังไงก็ยังทำแบบนั้น ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม ทำเป็นยางรถยนต์ หรือสิ่งประดิษฐ์ อะไรเองไม่เป็น สร้างคิดอะไรไม่ได้

๒. มหาวิทยาลัยไทย รวมไปถึง ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ กิจกรรมเน้นเต้น หลีดโชว์หล่อสวย แต่โง่ ไม่มีการฝึกงานอะไร ที่เป็นประโยชน์ เด็กขอเงินพ่อแม่ เที่ยวกลางคืนไปวันๆ โชว์วัตถุนิยม ว่ารถกูขับรถไร สังคมมันวัดกันแค่นี้ (เห็นมากับตา) พวกดีๆ ก็มีแต่มันน้อย เอาจริงๆนะ ผมว่ามีแค่10% ในขณะที่เด็กสหรัฐฯ พวก MIT Stanford หรือเด็กจีนชิงหัว ปิดเทอม พยายามหางานทำ ฝึกงาน UN World Bank JP Morgan หรือมาค่ายผู้ลี้ภัย ชาวโรฮิงญาในไทย

๓. จ่ายครบจบแน่ ปริญญาขยะ เต็มบ้าน คือ หางานไรทำไม่ได้ มีแต่อยากจะรวย "ผมจะทำธุรกิจ" คือมันคิดไรไม่ออก นอกจากขายของ นอกจากนี้ ยังมีทุจริต ผันงบกระทรวงศึกษาให้ทุนกู้ยืมเรียน มหาวิทยาลัยเอกชน ที่มีนักการเมืองเป็นเจ้าของ สุดท้ายก็หนี้สูญ เพราะเด็กบ้านนอก ได้มาเข้ากรุง สักว่า ได้ปริญญาประดับบ้าน แต่มันหางานทำไม่ได้ ปึหนี่งหมดเงิน ภาษีประเทศชาติ ไปหลายหมื่นล้าน เรื่องเลวๆนี้ ไม่เคยถูกตรวจสอบ

๔. ภาษาอังกฤษ ห่วยแตกขั้นเทพ จริง ๆ อจ.จุฬาฯส่วนใหญ่ ก็ลอกบทความฝรั่ง มาแปล ๆ ไม่มีความคิด อะไรที่ใหม่ หาน้อยคน ที่จบระดับโลก ไปดู CV เอาเอง จบมหาลัยห้องแถว B-class ทั้งนั้น งานวิจัยขยะ copy/paste เด็มไปหมด ครูมัธยม เอาแค่โรงเรียนในกรุงเทพฯ ผมเคยถูกเชิญไปพูด ยังออกเสียงสะกดศัพท์ไม่ถูกเลย จะสอนเด็กให้ถูกได้อย่างไร แล้วโรงเรียน ในอ.ปัว จังหวัดน่าน มันจะห่วยแตก ขนาดไหน คิดดู

๕. ความรู้ใหม่ ๆ หรือเทคโนโลยี มันหมุนเวียน เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งคนไทยรู้แต่ ภาษาไทยตัวเอง ไม่มีความสามารถ แข่งขันอะไร ในระดับโลก โลกทรรศน์สุดจะแคบ สำนักข่าวไทย รายงานแต่เรื่องเส็งเคร็ง ไม่ได้สร้างสรรค์คุณค่า ความรู้อะไร คนนั้นท้องกับคนนี้ ไปทำงานมา หลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บอกได้เลย นักเรียนไทย โคตรจะขี้เกียจ ไม่รู้ปีหนึ่ง ๆ อ่านหนังสือกัน กี่เล่ม

รัฐบาลไหนจะคิดแก้ไขบ้างหนอ.ขี้เกียจ ปริญญา ชื้อหาได้ จบได้ กลายเป็นคนโง่ ขึ้นไปอีกคน เพราะมีใบประกาศ มีทิฐิเพิ่ม หมิ่นเงินน้อย ทำอะไรไม่เป็น คิดสร้างสิ่งใหม่ ๆ ไม่ได้ เบียดเบียดครอบครัวประเทศชาติ เป็นภาระเป็นปัญหาสังคม ไร้คุณภาพอ้างตกงานที่แท้ขาดความรู้ความสามารถ ทุกอย่างชอบจะชื้อ จะกิน จะอยู่แบบสบาย ขาดการศึกษา กล่อมเกลาจิต ไม่มีความอดทด ต่อสู้ เป็นคนงอมืองอเท้าอาศัยผู้อื่น สมองคนอื่นไป ๆ วัน ๆ โตแบบแก่งแย่งชิงดีกัน ไม่มีทีมเวิร์ค เริ่มแต่แย่งสมบัติของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย

ต่อไปบ้านเมืองจะวุ่นวาย เพราะคนในชาติคิดสร้างไม่เป็น หมดสมบัติชาติ ผลาญหมด ผลาญทรัพยากรวัวควายไร่นาป่าไม้แร่ธาตุหมดแล้วจะกลับมาอยู่อย่างเดิมก็ไม่ได้ จบ ป.โท ป.เอก ทำไร่ทำนาไม่ได้ หากินเองไม่ได้ อนาคตเป็นทาสเขา เด็กขาดคุณภาพ ก็เป็นผู้ใหญ่ไร้คุณภาพ เป็นคนชราก็เป็นภาระประเทศชาติแน่นอน มีใบประกาศ ใบปริญญาแต่สังคมโลกไม่ยอมรับก็สูญเปล่า ต้องรีบแก้ไขเรื่องเหล่านี้ด่วน เร่งพัฒนาสังคม

..

อ่านแล้วก็ใช้วิจารณญาณกันเองว่า จริง หรือ ไม่จริง
ถ้าจริง จริงกี่ส่วน ถ้าไม่จริง ไม่จริงกี่ส่วน

"ปริญญานิยม" คงเป็นจริงในสังคมไทยใช่หรือไม่
และหยั่งรากลึกไปทุกวัน

มีขยะวิชาการเกิดขึ้นทุกระดับ
มีวิจัยที่ทำไปเพื่อตัวเองมากกว่าสังคมก็เยอะ

บทความนี้ไม่ได้เขียนเอง แต่นำมาจากไลน์ที่ส่งต่อกันมา

เก็บไว้อ่าน เพื่อเตือนสติ พิจารณาความทั้งหมด
ใช้เป็นกรณีศึกษาหาความสำนึกบางอย่าง

ไม่มีเจตนาจะว่ากระทบใคร หรือ องค์กรใด

บุญรักษา การศึกษาไทย ;)...

..

หมายเลขบันทึก: 661689เขียนเมื่อ 16 พฤษภาคม 2019 16:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม 2019 16:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เรียน อาจารย์ อีกค่านิยมหนึ่งของหมู่คนจำนวนมากของประเทศเรา คือ อ่าน แล้วก็เฉยๆ No Action… ไม่ใช่หน้าที่ ก็เลยไม่รู้ว่า เป็นความรับผิดชอบของผู้ใด ในขณะที่ แรงกระตุ้นอะไรบางอย่าง ทำให้ผู้คนส่วนรวม มาร่วมมือกันเพื่อคิด หรือทำบางสิ่ง อย่างจริงจังนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ภาวะที่อยู่กับปัญหา จนกลายเป็นเบื่อหน่าย ไฟมอด ปัญหาที่เขาวิพากษ์ มิใช่ เราไม่รู้ แต่เรายอมรับปัญหานั้นจริงหรือไม่?

ขอแสดงความนับถือคุณลิขิต

ขอบคุณมากเลยครับ สำหรับทัศนะนี้ครับผม ;)…

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท