ในการประชุมสภาวิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๒ มีการนำเสนอขออนุมัติหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต (ศึกษาศาสตร์) หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต และหลักสูตรด้านการศึกษาอื่นๆ รวม ๕ หลักสูตร ที่เป็นหลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๒ สำหรับใช้ในปีการศึกษา ๒๕๖๒ ที่ต้องปรับปรุงก็เพราะมีการลดจำนวนปี จาก ๕ เป็น ๔ ปี โดยที่หลักสูตร ๕ ปี ใช้มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๗
ผมพยายามอ่านลงรายละเอียดเพื่อจับสาระระหว่างบรรทัดว่า หลักสูตรที่เขียนมีกลไกของการเรียนรู้และปรับตัวของหลักสูตร และวิธีประยุกต์ใช้หลักสูตรหรือไม่
เอกสารหลักสูตรนี้มี ๘ หมวด ตามเกณฑ์ของ สกอ. ที่ผมชอบคือมีหมวดที่ ๖ การพัฒนาคณาจารย์ ซึ่งเมื่อเข้าไปอ่านรายละเอียด พบว่ามี ๒ ส่วนคือ (๑) การเตรียมอาจารย์ใหม่ (๒) การพัฒนาความรู้และทักษะให้แก่อาจารย์ ซึ่งผมตีความว่า เขียนภายใต้กระบวนทัศน์ที่ล้าหลังทางการศึกษา (ผมอาจตีความผิด) เพราะเป็นกระบวนทัศน์ของ passive learning ไม่ใช่ inquiry-based learning
Inquiry-based curriculum management จะนำไปสู่การเรียนรู้ร่วมกันของอาจารย์ที่สอนในหลักสูตร ทำให้หมวดที่ ๖ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันของคณาจารย์ ผ่านการตั้งคำถาม เช่น ผลการเรียนรู้ที่ระบุในหมวดที่ ๔ ผลการเรียนรู้ กลยุทธการสอน และการประเมินผล เมื่อนำไปใช้สอนในสถานการณ์จริง นักศึกษาทุกคนเกิดการเรียนรู้ระดับ mastery learning หรือ deep learning หรือไม่ รู้ได้อย่างไรว่าเกิด หากนักศึกษาบางคนไม่เกิด จะช่วยเหลืออย่างไร
Inquiry-based curriculum management จะนำไปสู่ระบบการจัดการหลักสูตรที่มี Embedded CQI (Continuous Quality Improvement) ของการเรียนการสอนโดยปริยาย
การจัดการหลักสูตรด้วยท่าที “ไม่มั่นใจ มีข้อสงสัย” ว่าจะทำให้บัณฑิตทุกคนมีผลลัพธ์การเรียนรู้ตามที่เขียนในหลักสูตร ในลักษณะที่เป็น deep learning หรือไม่ จะนำไปสู่ “การจัดการหลักสูตรแบบเรียนรู้และปรับตัว” (learning and adaptive curriculum management) มีผลให้เกิดการสร้างวัฒนธรรมเรียนรู้ตลอดชีวิตขึ้นในวงการศึกษาไทย โดยที่ผมตีความว่า ในปัจจุบันระบบการศึกษาไทยพร่องสมรรถนะและวัฒนธรรมนี้
การจัดการหลักสูตรแบบดังกล่าว จะทำให้บัณฑิตศึกษาศาสตร์ครุศาสตร์ ได้วัฒนธรรมเรียนรู้จากการทำงานในหน้าที่ครูไปตลอดชีวิต ทำให้โรงเรียนและชั้นเรียนเป็นพื้นที่เรียนรู้ของครูด้วย ไม่ใช่แค่พื้นที่เรียนรู้ของนักเรียน
อ่านระหว่างบรรทัด จากเอกสารหลักสูตร ผมตีความว่าเป็น Defensive Curriculum Management คือมุ่งทำตามข้อกำหนดของ สกอ. ไม่ได้มุ่งทำให้บัณฑิตมีสมรรถนะในการเป็นครูแห่งศตวรรษที่ ๒๑ อย่างแท้จริง คือเป็น rule-based curriculum ไม่เป็น result-based curriculum
ในที่ประชุม มีผู้ถามเรื่องวิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อบรรลุเป้าหมายสมรรถนะที่กำหนด ได้คำตอบว่า กิจกรรมหลักอย่างหนึ่งคือ WIL (Work-Integrated Learning) ซึ่งก็คือการฝึกงานในโรงเรียน ซึ่งก็มีทั้งที่นักศึกษาไปฝึกที่โรงเรียนดี ได้รับการฝึกที่ดี กับนักศึกษาโชคร้าย ไปฝึกที่โรงเรียนอ่อนแอ ก็จะได้ฝึกน้อย หรือไปเผชิญสภาพที่ไม่ดี ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยเรื่องการจัดการการไปฝึกงานในโรงเรียน ท่านคณบดีคณะศึกษาศาสตร์จึงอธิบายว่า มีการเลือกโรงเรียนตามเกณฑ์ของคุรุสภา และตามผลการประเมินของ สมศ. แต่หลังจาก สมศ. ถูกยุบก็ไม่มีเกณฑ์ของ สมศ. ให้ใช้ คำอธิบายนี้ยิ่งทำให้ผมมีข้อสงสัยเรื่องการจัดการหลักสูตร
ผมได้ให้ความเห็นต่อที่ประชุมว่า ที่เสนอมานั้น เพื่อสนองข้อกำหนดของ สกอ. ซึ่งก็ควรทำ แต่ควรเอาจริงเอาจังในภาคปฏิบัติ เพื่อเป้าหมายบัณฑิตคุณภาพสูง ออกไปเป็นครูที่ดีมีความสามารถ และได้เสนอแนะว่า ต้องมีการจัดการให้เกิดการเรียนรู้คุณภาพสูงจาก WIL โดยมีการดำเนินการ
วิจารณ์ พานิช
๒๑ ม..ค. ๖๒
ไม่มีความเห็น