การเสวนาในที่ต่างๆ ในช่วงนี้ นำผมสู่หัวข้อบันทึกนี้
กว่าห้าสิบปีมาแล้ว ผมเริ่มเข้าสู่วงการวิจัย โดยเข้าทำงาน (ฝึก) ในสำนักอานันทราช มี ศ. คุณ พญ. สุภา ณ นคร และ ศ. นพ. ประเวศ วะสี เป็นเจ้าสำนัก ทุกเช้าวันเสาร์ ระหว่างเวลา ๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. มีกิจกรรม Journal Club โดยกำหนดตัวผู้อ่านรายงานผลการวิจัยมานำเสนอ ๒ คนต่อครั้ง ผมได้เรียนรู้วิธีค้นหารายงานผลงานวิจัยที่นำเสนอความรู้ใหม่ที่น่าสนใจ ในวารสาร หลายครั้งอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ทะลุ ก็ต้องอ่านเอกสารอ้างอิงที่ช่วยไขความกระจ่าง เพื่อให้ผมสามารถนำเสนอได้อย่างชัดเจน หรือหากถูกถามก็ตอบได้
ได้เรียนรู้วิธีพูดเสนอในการประชุม ที่ทีความชัดเจน น่าสนใจ โดยเรียนจากตัวอย่างของอาจารย์ ผมฟังการเสนอของอาจารย์หมอประเวศ ที่ช่วยให้เข้าใจง่าย ด้วยความพิศวง และตั้งคำถามกับตนเองว่า ทำอย่างไรผมจึงจะมีความสามารถสักครึ่งหนึ่งของท่าน
จากบรรยากาศ และสาระของความก้าวหน้าทางวิชาการ ที่เรียนจาก Journal Club จากบรรยากาศการทำงาน และจากการอ่านตำรา และจากการขยันอ่านรายงานผลการวิจัยในวารสารวิชาการ ผมเริ่มเรียนรู้วิธีตั้งโจทย์วิจัย วิธีทบทวนวรรณกรรมเรื่องที่มีความสำคัญ วิธีเขียนบทความทบทวนวรรณกรรมลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ โดยเริ่มที่สารศิริราช
สมัยนั้น การทบทวนสภาพความรู้ (state of knowledge) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้านการแพทย์ ใช้วิธีค้นในเอกสาร Index Medicus หาผลงานตีพิมพ์ตามคำหลักที่เรากำหนด แล้วตามไปอ่านต้นฉบับในวารสาร วารสารที่ไม่มีในห้องสมุด ก็ขอให้ทางห้องสมุดขอ inter-library loan ได้สำเนาบทความมาจากต่างประเทศ รอประมาณ ๑ เดือน
จากความรู้เรื่อง state of knowledge ว่าโลกเขารู้อะไรบ้างแล้วในเรื่องที่เราสนใจ และความรู้ใดที่ยังเป็นช่องว่าง หรือยังไม่รู้ ก็จะเป็นโอกาสให้เราตั้งโจทย์ทำวิจัยเพื่อเพิ่มความรู้ของโลก ก็จะเป็นโอกาสให้เมื่อทำวิจัยเสร็จก็จะมีโอกาสสูงที่จะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารชั้นดี รวมทั้งได้รู้ว่า ผลงานวิจัยของเราน่าจะส่งไปขอตีพิมพ์ในวารสารใด
สมัยนี้ โลกวิชาการเปลี่ยนไป ทั้งขนาด ความเร็ว และความสะดวกในการค้นคว้า ทำได้เร็วผ่าน internet แต่จำนวนรายงานผลการวิจัยเพิ่มขึ้นมากมาย และเป็นที่รู้กันว่าบางรายงานก็ไม่น่าเชื่อถือ จากหลากหลายปัจจัย จึงเกิดศาสตร์ที่เรียกว่า evidence synthesis และ meta-analysis ในการรวบรวม คัดกรอง รายงานผลงานวิจัย โดยใช้ ไอที ช่วย จนเหลือเฉพาะรายงานวิจัยจำนวนน้อย ที่พอดีกำลังนักวิจัยจะเข้าไปอ่านเอง และใช้ ไอที ช่วยจัดกลุ่ม visualize ผลสรุปที่แตกต่างระหว่างผลงานวิจัยที่หลากหลาย ในแต่ละแง่มุม
นักวิจัยยุคใหม่ ต้องทำ evidence synthesis และ meta-analysis เป็น เพื่อนำไปสู่การตั้งโจทย์ที่ทั้งตรงความต้องการของสังคม และสอดคล้องกับสถานภาพความรู้ในปัจจุบัน
โจทย์ของงานวิจัยในปัจจุบัน หากเป็นโจทย์ที่มีความสำคัญสูง มักเป็นโจทย์ที่ซับซ้อน ทำคนเดียวหรือสาขาวิชาเดียวไม่สำเร็จ ในหลายกรณีต้องร่วมมือกันหลายทีม ในหลายประเทศ และต้องทำเป็นระยะเวลานาน จึงเกิดมี research consortium เพื่อร่วมกันทำวิจัย ทีมละหนึ่งโจทย์ย่อย หรือทำโจทย์เดียวกันในต่างบริบท หรือทำโจทย์เดียวกันภายใต้เงื่อนไขเดียวกันให้ได้จำนวนผู้ถูกทดลองจำนวนมาก รายงานผลงานวิจัยที่ระบุเจ้าของผลงานว่า Consortium on … มีมากขึ้นเรื่อยๆ
ทักษะของนักวิจัยยุคนี้ จึงต้องรวมทักษะในการแสวงหาความร่วมมือ หรือทักษะในการเข้าร่วมทีมวิจัย
ผมทำนายว่า ผลงานวิจัยในอนาคตอันใกล้จะยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก จากการสนับสนุนของ big data analytics เราจะได้เรียนรู้แนวโน้มสู่อนาคตของเรื่องต่างๆ มากมาย และจะช่วยให้ศาสตร์ต่างสาขามาบรรจบกันที่โลกแห่งความเป็นจริง
วิจารณ์ พานิช
๑๔ ธ.ค. ๖๑
Thank you for this useful pointer.
I think we need more narratives and examples on Evidence Synthesis and Meta-analysis. I think they are tools that we need for Thailand development. (and I also think that we do need to develop and implement [scientific] evidence based policies and methodologies in our political system.)
Similar to evidence synthesis is a tool of “joint concepts” where optimization of two or more operations/operating systems within a certain environment for a certain goal is sought. (I think there are many more tools in the broad category: dialogue, negotiation, brainstorming, reflection, mind-map, etc.)