๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
วันนี้ย้ายห้อง และจัดที่นั่งเป็นโต๊ะจีน เพื่อประชุมกลุ่ม
Inclusive Institutional Mechanisms which coordinate intersectoral workforce agenda
ครึ่งวันเช้า จับประเด็นกลไกกำกับดูแล (governance) ระบบ HRH ที่เป็นกลไกที่มีส่วนร่วมรอบด้าน ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในวงการสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ละเลยภาคธุรกิจเอกชน ต้องให้ชุมชนมีส่วนออกข้อคิดเห็น มีกลไกการเสวนาเรื่องนี้ในสังคม โดยอาจมีหน่วย HRH ทำหน้าที่นี้
หลักการที่สำคัญคือ หน้าที่ (function) ต้องเป็นตัวกำหนดโครงสร้าง (structure) ของกลไกนี้ ศ. James Buchan จาก UTS ออสเตรเลีย บอกว่าประสบการณ์ของท่านที่ Scotland, England, Australia หน่วยงานที่ทำหน้าที่นี้เปลี่ยนวนไปมา ระหว่างการเป็นหน่วยราชการ หน่วยงานอิสระ และเป็นงานว่าจ้างหน่วยภายนอก ขึ้นกับนโยบายการเมือง key functions ของกลไก HRH Governance แสดงในรูปที่ ๑
SEARO ศึกษา HRH Unit ของประเทศสมาชิก ๑๑ ประเทศ โดยส่งแบบสอบถามให้กรอก ได้รับคำตอบจาก ๑๐ ประเทศ (เกาหลีเหนือไม่ตอบ) ได้ความว่ามี ๗ ประเทศ มี HRH Unit ๓ ประเทศไม่มี หมอออมบอกผมว่า ไทยเป็นหนึ่งในสามประเทศนั้น แสดงว่าประเทศไทยมี function โดยไม่มี structure แถมยังทำหน้าที่ได้ดีพอสมควรเสียด้วย ข้อสรุปของการศึกษานี้อยู่ในรูปที่ ๒ ผู้นำเสนอบอกว่า ในหลายประเทศหัวหน้าหน่วย HRH มาเอาตำแหน่งแล้วก็ไป ไม่ได้เป็นผู้นำด้าน HRH policy อย่างแท้จริง
ที่จริงชื่อหัวข้อนี้เป็นการเปรียบเทียบระหว่าง กลไกประสานงาน กับหน่วย HRH ว่ากลไกไหนให้ผลดีกว่า ในการทำให้ระบบกำลังคนด้านสุขภาพมีความเข้มแข็งต่อการหนุนระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า และการทำให้เกิด health equity
ผมรู้สึกว่าผู้ปฏิบัติงานด้านกำลังคนในระบบสุขภาพของประเทศใน SEAR และ WPR ยังมีความรู้เชิงทฤษฎีเกี่ยวกับกำลังคนด้านสุขภาพจำกัด ยังไม่ค่อยมีการสร้างความรู้จากการปฏิบัติ ประเด็นความรู้จากการปฏิบัติที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกันในเวที Action Aliance อย่างนี้จึงมีน้อย
Accreditation in HPE Institutes
หลักการคือกลไกรับรองคุณภาพสถานศึกษาช่วยให้บุคลากรสุขภาพมีคุณภาพสูง และองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ทุกประเทศมีกลไกนี้
วิทยากรท่านแรกคือ ศ. พญ. วณิชา ชื่นกองแก้ว อธิบายหลักการทั่วไปของ accreditation ซึ่งหากยึดตามนิยาม ต้องเป็นกระบวนการที่เมื่อประเมินไม่ผ่านสถาบันนั้น หรือกิจการนั้นต้องปิดดำเนินการ ซึ่งหากยึดนิยามนั้น ประเทศไทยไม่มีกลไก accreditation
วิทยากรท่านที่สอง Prof. Ducksun Ahn, Professor Emeritus Korea University, Vice President WFME บรรยายเรื่อง Impact of Accreditation on Medical Educational Institutes & its challenges – S. Korean Perspectives ให้ความรู้มาก ว่า accreditationช่วยยกระดับคุณภาพของสถานศึกษาของบุคลากรสุขภาพได้จริง ที่ผมประทับใจคือ เขามีการพัฒนาระบบ accreditation เรียกว่า meta-evaluation และมีการประเมินระบบ CQI ของสถาบันการศึกษาด้วย คือเขาไม่มองระบบ accreditation ว่าถูกต้องสมบูรณ์แล้ว ใช้มุมมองของการพัฒนาคุณภาพต่อเนื่องในทุกเรื่องทุกกลไก ของการผลิตบุคลากรสุขภาพ
ผมตีความว่า accreditation เป็นการประเมินตามเกณฑ์ขั้นต่ำ และประเมินที่ input และ process ดังนั้น ย่อมมีข้อผิดพลาดที่ผลการประเมินผ่านเกณฑ์ แต่คุณภาพของบัณฑิตหรือกำลังคนที่ผลิตมีสมรรถนะต่ำกว่ามาตรฐาน ตอนประชุมกลุ่ม ผมถามนายกสภาการพยาบาลของอินเดียว่า accreditation การันตีคุณภาพของบัณฑิตไหม เขาตอบว่า เกณฑ์อย่างหนึ่งของการประเมินคือการได้งานทำของบัณฑิต ดังนั้นหากผลการประเมินผ่านเกณฑ์ย่อมสะท้อนว่าบัณฑิตมีคุณภาพ แต่ตอนเสนอผลการประชุมกลุ่ม ๒ ระบุชัดเจนว่า ในฟิลิปปินส์ มีกรณีที่สถาบันผ่าน accreditation แต่บัณฑิตมีคุณภาพตกต่ำลง
ตอนประชุมกลุ่ม ๑ (อินเดีย ลาว ไทย) เกิดการถกเถียงกันว่า accreditation เป็นเรื่องของกลไกรับรองคุณภาพภายนอก ทำให้ผมนึกว่า จริงๆ แล้วเราสนใจเรื่องคุณภาพของบุคลากรสุขภาพที่ผลิต ซึ่งตรงกับที่ Prof. Ahn เรียกว่า outcome accreditation ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นท้าทายในอนาคต น่าเสียดายที่ไม่มีคนเอ่ยถึง
ในที่ประชุม มีการชี้ความต่างระหว่าง Accreditation กับ licensing โดยที่ accreditation เป็นการรับรองสถาบันและโปรแกรม อยู่ในความรับผิดชอบของสถาบัน ส่วน licensing เป็นการรับรองคุณภาพของบัณฑิต เป็นความรับผิดชอบของนักศึกษา
เนื่องจากกระบวนการ เป็นเรื่องใหญ่สำหรับสถาบัน การดำเนินการจึงต้องทำอย่างแม่นยำระมัดระวัง โดยต้องแยก assessor ผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล กับคณะกรรมการตัดสิน (decision committee) โดยที่ในกลุ่มกรรมการตัดสินควรมีคนนอกวงการนั้นอยู่ด้วย
หลังนำเสนอผลการประชุมกลุ่ม ศ. นพ. พงษ์ศักดิ์ วรรณไกรโรจน์ ประธาน session สรุปประเด็นสำคัญของ accreditation อย่างงดงามครบถ้วน คือ
หลังการประชุม ผมไปพักที่ห้อง ๖๐๔ ด้วยความอนุเคราห์ของ ผศ. ทพ. วีระศักดิ์ พุทธาศรี เพราะผมเช็คเอ๊าท์จากห้องพักตอนบ่ายโมง พอ ๑๘ น. เรา (นพ. สุวิทย์, จนท. WHO, และผม) ก็นั่งแท็กซี่ไปสนามบินนอยไบ เพื่อขึ้น TG 565 กลับกรุงเทพ แต่ตอนจะขึ้นแท็กซี่ขลุกขลักเล็กน้อย เพราะระบบรักษาความปลอดภัยให้แก่ประธานาธิบดีอินเดียที่ไปเยือนเวียดนาม เป็นแขกของประธานาธิบดีเวียดนาม นสพ. ลงข่าวว่าท่านไปเยี่ยมเมืองเก่าของอาณาจักรจัมปา ที่ My Son ซึ่งเป็นมรดกโลก เพราะมีข้อตกลงความร่วมมือวิจัยโบราณคดีจามระหว่างพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดียกับพิพิธภัณฑสถานดานัง
เย็นวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ผมนั่งเครื่องบินบางกอกแอร์เวย์ส จากเชียงใหม่กลับกรุงเทพ พบว่านิตยสารฟ้าไทย มีบทความเรื่อง Charm of the Chams (๑) ลงรูปโบราณสถานอายุพันปีของอาณาจักรจัมปา ที่ My Son และเรื่องราวชีวิตคนจามจำนวน ๑๖๐,๐๐๐ คน ในบริเวณนั้น
วิจารณ์ พานิช
๒๑ พ.ย. ๖๑ เพิ่มเติม ๒๔ พ.ย. ๖๑
1 หน้าที่หลักของกลไก HRH Governance
2 ข้อสรุปของ SEARO Study
3 ศ. พญ. วณิชา ชื่นกองแก้ว กล่าวนำเรื่อง accreditation
4 Prof. Ducksung Ahn บรรยายประสบการณ์ของเกาหลีในการใช้ accreditation ยกระดับคูภาพของแพทย์
5 ศ. นพ. พงษ์ศักดิ์ วรรณไกรโรจน์ กว่าวสรุปประเด็นสำคัญของ accreditation
ไม่มีความเห็น