วันนี้ (วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561) ผมและทีมงานจากกลุ่มงานกิจกรรมนิสิต จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "แนวคิดของการบริหารจัดการค่ายอาสาพัฒนา" ระหว่างเวลา 17.30-19.30 น. ณ ห้องประชุม 2 อาคารพัฒนานิสิต กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
กลุ่มเป้าหมายหลักที่เข้าร่วมในวันนี้คือเหล่าบรรดา “แกนนำค่ายอาสาพัฒนา” ของแต่ละองค์กร ซึ่งเป็นกลุ่มที่กำลังจะออกเดินทางไปจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรในวิถีค่ายอาสาพัฒนาในเดือนธันวาคม 2561 ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น เลย อุดรธานี อุบลราชธานี
ในส่วนองค์กรนิสิตที่จะเดินทางออกไปจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ประกอบด้วย กลุ่มนิสิตชาวดิน (พรรคชาวดิน) ชมรมรุ่นสัมพันธ์ ชมรมสานฝันคนสร้างป่า ชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง (วงแคน) ศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม (ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อแผ่นดิน) และเครือข่ายนิสิต ๙ต่อ Before After
ส่วนรูปแบบของกิจกรรม ทุกองค์การมุ่งเน้นกิจกรรม “เรียนรู้คู่บริการ” ด้วยกันทั้งนั้น รวมถึงการจัดกิจกรรมในลักษณะ "สหกิจกรรม หรือบูรณาการกิจกรรม" มีกิจกรรมหลัก-กิจกรรมรอง มีการเรียนรู้ชุมชนควบคู่ไปกับการบริการสังคมไปในตัวอย่างเสร็จสรรพ
มอบหมายภารกิจ : เจ้าหน้าที่เป็นกระบวนกร
ช่วงเช้าของวันนี้ ผมหารือกับทีมงานตามหลักคิด “สอนงานสร้างทีม” ในแบบ “มีส่วนร่วม” อันหมายถึง ร่วมหารือเกี่ยวกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “รูปแบบ/กระบวนการ” ที่จะหนุนเสริมเติมการเรียนรู้ให้แก่นิสิต โดยยึดหลัก “ร่วมออกแบบ ร่วมตัดสินใจ ร่วมลงมือทำ และร่วมรับผิดชอบด้วยกัน”
สิ่งที่มอบหมายแต่ละคนก็ไม่มีอะไรมาก อาทิเช่น จัดกระบวนการประเมินทัศนคติ-ความคาดหวังของการเรียนรู้ (ไปค่าย) ถ่ายทอดและเชื่อมกระบวนการเรียนรู้ในประเด็นภาพรวมกิจกรรมของแต่ละองค์กร ความรู้ว่าด้วยกรอบแนวคิดการจัดการค่ายอาสาพัฒนา การประเมินผลกิจกรรม
ทั้งปวงนั้น ผมฝากให้เจ้าหน้าที่ใช้กระบวนการ "ถ่ายทอด" ผสมผสานไปกับการ "ถามตอบ" เพื่อปลุกเร้าให้นิสิตได้ "เล่าเรื่อง" อันเป็นความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลของตนเองเป็นสำคัญ เพื่อชี้ให้เห็นถึงการแสวงหาความรู้จากคนรอบข้าง หรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลปรร.) หรือการแบ่งปันความรู้ต่อกัน -
มีความหมายใดในการ “ไปค่าย”
เวทีครั้งนี้ ผมและทีมงานไม่ทำสื่อใดๆ มาใช้มากมายเหมือนทุกครั้ง เอาง่ายๆ เลยก็คือ ครั้งนี้ไม่มีการนำคลิป – วีดีทัศน์ใดๆ มาใช้เป็นโจทย์ของการเรียนรู้
เราเปิดเวทีผ่าน “บัตรคำ” ในกระบวนการ “BAR” (Before Action Review) โดยเจ้าหน้าที่มุ่งให้นิสิตได้เขียนสะท้อนความจริงอันเป็นเหตุผลของการ "ไปค่าย" (ไปออกค่าย) เพื่อประเมินถึง "จุดมุ่งหมาย" ของแต่ละคน ซึ่งจุดมุ่งหมายเชิงบุคคลนั้น ผมมองว่าย่อมเกี่ยวโยงถึงภาพรวมของกิจกรรมในองค์กรไปโดยปริยาย
และโดยส่วนตัวผมก็เชื่อว่าประเด็นคำถามที่ว่านั้น จะช่วยทำให้เราได้รู้ถึง “ทัศนคติ” ของนิสิตที่มีต่อการจัดกิจกรรมไปในตัว และข้อมูลที่ได้มา บางทีเราอาจต้อง “ปรับจูน” กันในเวทีนี้ เพื่อให้การออกค่ายได้ทำหน้าที่ "บ่มเพาะเรื่องจิตอาสาแก่นิสิตได้อย่างเต็มที่"
แต่เบื้องต้น เราก็สื่อสารชัดเจนว่า “ขอให้นิสิตสะท้อนออกมาอย่างสัตย์จริง”
ครั้นพอแต่ละคนเขียนบัตรคำเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบกระบวนการก็เดินเก็บจากนิสิต จากนั้นจึงหยิบมาสะท้อนให้ทุกคนได้ร่วมรับรู้รับฟังร่วมกัน –
และนี่คือประเด็นอันเป็นจุดมุ่งหมายในการ “ไปค่าย” ของเหล่าบรรดาแกนนำนิสิตที่อยู่ในเวที ณ วันนี้
ในจุดมุ่งหมายนั้น : ไม่มีอะไรด้อยค่า ทุกอย่างคือการเรียนรู้
นั่นคือส่วนหนึ่งที่ผมและทีมงานสกัดออกมาจากประเด็นหลายๆ ประเด็น
แต่ที่แน่ จะพบว่า จุดมุ่งหมาย หรือความคาดหวังเหล่านั้น สะท้อนสถานะหลากเรื่องของแกนนำชาวค่าย เป็นต้นว่า
เช่นเดียวกับการปรารถนาที่จะนำองค์ความรู้ของตนเองไปบริการต่อสังคม พร้อมๆ กับการเรียนรู้ชุมชนไปในตัวตามครรลอง “เรียนรู้คู่บริการ” หรือการเรียนรู้สถานะและวิธีการของการเป็น “ผู้ให้-ผู้รับ” ไปพร้อมๆ กัน
หรือแม้แต่การยืนยันถึงการไปค่าย เพียงเพราะต้องการ “ชั่วโมงจิตอาสา” เพื่อใช้เป็นหลักฐานยื่นประกอบการขอกู้ยืมเงินจากกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือที่เรียกว่า “กยศ.” และ “กรอ.” และผมก็ยืนยันหนักแน่นว่า "ไม่ผิด-ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ขอเพียงจริงใจต่อการเรียนรู้ และไม่สร้างปัญหาให้คนทำงานก็พอ"
แต่ที่แน่ๆ ข้อความที่นิสิตสะท้อนออกมานั้น ร้อยทั้งร้อยเป็นมุมมองเชิงบวก หรือทัศนคติเชิงบวกด้วยกันทั้งนั้น ยังผลให้ผมพลอยอุ่นใจว่า การมองบวก-มองโลกในแง่ดีเช่นนี้ คือปัจจัยความสำเร็จของการเรียนรู้และทำงานร่วมกัน
หรือกระทั่ง ข้อความเหล่านั้นยังเป็นเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นถึง “รูปแบบกิจกรรม” ว่าจะไปทำอะไรบ้าง เช่น
รวมถึงการกลับไปเยี่ยม “พ่อฮักแม่ฮัก” ที่เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่โผล่ขึ้นมา จึงทำให้เรารู้ว่าองค์กรนิสิตกลับไปจัดกิจกรรมบริการสังคมในชุมชนเดิม เป็นการกลับไปต่อยอดกิจกรรมและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของคนในชุมชนอีกรอบ เสมอเหมือนการกลับไปประเมินผลการใช้ประโยชน์ต่อสิ่งที่นิสิตและชาวบ้านได้ร่วมกันปลูกสร้างขึ้นก็ว่าได้ -
นั่นคือมุมมองที่ผมมองและสื่อสารกลับไปยังนิสิต และเจ้าหน้าที่
เหนือสิ่งอื่นใด ผมยืนยันกับนิสิตว่าประเด็นที่สะท้อนมานั้น ไม่มีอะไรผิด ขอเพียง “จริงจังและจริงใจ” ต่อการทำหน้าที่และการเรียนรู้คู่บริการในครั้งนี้ก็พอแล้ว
เช่นเดียวกับการบอกย้ำนิสิตว่า “ขอให้เชื่อมั่นใจพลังการเรียนรู้ของค่ายอาสาพัฒนาว่าจะช่วยให้นิสิตได้สัมผัสถึงคุณค่าและความหมายของการดำรงชีวิต ทั้งในมิติส่วนตัวและสังคม เพราะนี่คือการเรียนรู้ความจริงของชีวิตและสังคม เป็นความจริงที่แตกต่างจากที่มีอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย และเป็นความจริงที่นิสิตจะนำไปใช้ได้จริงเมื่อจบออกไปจากมหาวิทยาลัยฯ”
ใช่ครับ - ขอเพียงเปิดใจเรียนรู้ เราก็จะรู้ถึงนิยามของการมีชีวิต
ขอเพียงเราเรียนรู้ เราก็ย่อมรู้นิยามของโลกและชีวิต
เขียน : พุธที่ 19 ธันวาคม 2561
ภาพ : พนัส ปรีวาสนา/จิรัฎฐ์ อภิวิชญ์ทีปกร
การไปค่ายของนิสิต เขาจะจดจำความประทับใจในการไปค่ายชั่วชีวิตค่ะ
สวัสดีครับ พี่แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
ค่าย มีมนต์ขลัง และมนต์เสน่ห์ต่อการเรียนรู้ของคนหนุ่มสาวอย่างไม่รู้จบเลยทีเดียวครับ สำหรับช่วงนี้ก็เริ่มจะขยับถอดบทเรียนการเรียนรู้จากค่ายต่างๆ บ้างแล้วครับ