คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ริเริ่มก่อตั้งระบบจัดการเพื่อส่งเสริมศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัย เรียกหน่วยจัดการนี้ย่อๆ ว่า SiCORE-M (Siriraj Center of Research Excellence Management) โยก อ. นพ. อัครินทร์ นิมมานนิตย์ จาก ผอ. หน่วย R2R มาดูแลหน่วย SiCORE-M แบบทำงานเต็มเวลา มีทีมอาจารย์อีก ๓ คน ทำหน้าที่แบบบางช่วงเวลา และเชิญ นพ. สมศักดิ์กับผมเป็น mentor ในทำนองเดียวกันกับการพัฒนาระบบ R2R
ทำงาน implementation research
หน่วย SiCORE ทำงานวิจัยประยุกต์ ที่เชื่อมโยงกับงานวิจัยพื้นฐาน เพื่อสนองนโยบายประเทศไทย ๔.๐ ที่มียุทธศาสตร์สร้างความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วยนวัตกรรม และหนึ่งในยุทธศาสตร์นวัตกรรมคือ ด้านบริการสุขภาพ
3 SiCORE
ในช่วงแรกทางศิริราชเลือกดำเนินการตามความเข้มแข็งของงานวิจัยที่มีอยู่แล้ว โดยดำเนินการหนุนให้ทีมวิจัยย่อยๆ รวมตัวกันเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยรวม ๓ ศูนย์คือ (๑) โรคภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกัน (Allergy and Immunology) (๒) การบำบัดโรคมะเร็งด้วยวิธีการทางการแพทย์ที่แม่นยำ และเภสัชวิทยาเชิงระบบ (Cancer Precision Medicine and Systems Pharmacology) และ (๓) ไข้เลือดออกและโรคติดเชื้อใหม่ๆ (Dengue and Emerging Infections)
การประชุม Core Team ของ SiCORE-M
ประชุมเดือนละ ๒ ครั้ง ครั้งละครึ่งวัน ตามที่ผมเคยบันทึกไว้ ที่นี่ เพื่อหารือและเก็บเกี่ยวความรู้ เป็น feedback สำหรับการทำงานเชิงรุกและสร้างสรรค์ ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครทำเป็น
ประเด็นสำคัญคือ ทำงานเชิงประสานงาน และสนับสนุน ไม่ใช่กำหนด หรือสั่งการ
คณะที่ปรึกษานานาชาติ (International Advisory Board)
เพื่อให้การทำงานใหญ่ ทำงานระยะยาว ลงทุนลงแรงมาก มีความรอบคอบ และเดินถูกทาง จึงจัดให้มีคณะที่ปรึกษานานาชาติ รวม ๑๐ คน เป็นต่างชาติ ๖ (สองท่านเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบล) ไทย ๔ ไม่นับ mentor คือ นพ. สมศักดิ์ กับผม ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมด้วย
ประชุมครั้งแรก วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นที่มาของบันทึกนี้
การประชุมคณะที่ปรึกษานานาชาติ ครั้งที่ ๑
กรรมการมาร่วมประชุม ๙ ท่าน ขาด ๑ ท่าน เพราะป่วย ทีมงาน SiCORE-M และฝ่ายบริหารของคณะฯ เตรียมการดีมาก มีการปูพื้นให้กรรมการรู้จักศิริราช บอกจุดแข็งจุดอ่อนของงานวิจัย และบอกเป้าหมายของ SiCORE แล้วให้แต่ละ CORE นำเสนอเป้าหมายและยุทธศาสตร์การดำเนินการ ๒๐ นาที ตามด้วยการซักถาม อภิปราย และแนะนำ ๔๐ นาที ตอนท้ายเป็นการอภิปรายทั่วไป เลิกประชุม ๑๗.๓๐ น.
ผมได้ข้อเรียนรู้ดังต่อไปนี้
คณบดีจากเกาหลี บอกว่าเกาหลีมีสภาพนี้เมื่อ ๓๐ ปีก่อน เดี๋ยวนี้เขามี research culture ที่แข็งแรง
ในเรื่องการสร้างคนนี้ ที่ปรึกษาแนะนำให้โฟกัสการเตรียมคนระดับผู้นำจำนวนน้อย ที่เลือกมาอย่างดี ลงทุนส่งไปฝึกต่างประเทศ เพื่อกลับมาเป็นผู้นำทีมในเรื่องที่เป็นเป้าที่โฟกัส
ในต่างประเทศ มีเงินจากภาคการกุศล (philanthropy) สนับสนุนการทำวิจัย และให้ค่าตอบแทนเพิ่มแก่อาจารย์ ที่ศิริราชมีศิริราชมูลนิธิทำหน้าที่นี้ได้
ผมใคร่ครวญสะท้อนคิดว่า การประชุม ๑ วันนี้ มีคุณค่าไม่ใช่แค่ในระดับคณะ (แพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล) หรือมหาวิทยาลัย (มหิดล) แต่มีคุณค่าระดับประเทศ ที่จะสร้างระบบจัดการงานวิจัยขึ้นมารองรับเป้าหมายประเทศไทย ๔.๐ โชคดีที่ทางศิริราชเชิญคนจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ส่วน Corporate Venture Capital ไปร่วมฟังการประชุมด้วย คือคุณกนกนันท์ บูรณพันธุ์ศรี ผู้จัดการส่วน กับ ดร. ชญาน์ จันทวสุ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม น่าจะเกิดความร่วมมือกันต่อไป
เช้าวันที่ ๑๗ ตุลาคม ผมพบ Prof. Aaron Ciechanover ในงานประชุมคณะกรรมการตัดสินรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ผมถามท่านว่าการประชุมเมื่อวานเป็นอย่างไรบ้าง ท่านบอกว่า ต้องทำสองอย่างหลักคือ พัฒนาระบบ กับสร้างภาวะผู้นำ
วิจารณ์ พานิช
๑๗ ต.ค. ๖๑
I see from “…ต้องทำสองอย่างหลักคือ พัฒนาระบบ กับสร้างภาวะผู้นำ …” that we need a c;ear and capable operating system and we need “followers” - without them there is no leader.
In today’s atmosphere, leaders are not commanders but ‘honest’ communicator+negotiator+techno-socio-networkers.