วันนี้ (เสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2561) เดิมผมไม่ได้กำหนดที่จะเปิดเวทีการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ “รู้จักฉันรู้จักเธอ” แต่พอได้รับการเสนอแนะกึ่งรบเร้าร้องขอจากทีมงานของวิทยาลัยแม่ฮ่องสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ผมจึงต้องปรับแต่งกระบวนการใหม่อย่างเร่งด่วน
ด่วนถึงขั้นว่าทำสไลด์ประกอบไม่ทันเลยก็ว่าได้ จำต้องงัดเอากรุสมบัติเก่ามาใช้
งานที่ว่านี้เป็นโครงการ “ครูดี คนดี พลเมืองดี” ที่เป็นชุดกิจกรรมในกระบวนการทั้งหมดของโครงการ “ผลิตครูสู่ความเป็นเลิศ” ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ได้ขยายผลจากรุ่นที่ 1 มาจนถึงรุ่นที่ 2 และ 3
ร้างเวทีไปนาน : ทบทวนตนเองไปพร้อมกับนักศึกษา
ยืนยันอีกครั้งว่าเวทีครั้งนี้เดิมไม่ได้ออกแบบกระบวนการรู้จักฉันรู้จักเธอไว้เลย แต่พอมีแฟนคลับรุ่นเก่ารบเร้า เลยต้อง “ปล่อยของ” เสียหน่อย หนึ่งในเหตุผลที่อยากให้ผมจัดกระบวนการนี้ เท่าที่ฟังก็คือคณะทำงาน 2-4 คนเป็นคณะทำงานใหม่ ยังไม่เคยเห็นกระบวนการนี้ จึงอยากให้ผมจัดการเรียนรู้ให้ดูพอสังเขป เพื่อจะได้นำไปต่อยอดประยุกต์ใช้
ก่อนงาน ผมยืนยันว่าผมรางเวทีประมาณนี้ไปนาน การหยิบจับมาจัดเช่นนี้ก็เป็นการทบทวนศักยภาพของผมไปในตัวด้วยเหมือนกัน ว่าจะยังคงเหมือนเดิม หรืออืดเอื่อย จนไม่สามารถกระตุกกระตุ้นให้คนในเวที “เปิดเปลือยตัวเอง” ออกมาได้
จะว่าไปแล้ว กระบวนการรู้จักฉันรู้จักเธอก็ก่อเกิดเป็นรูปธรรมในเมื่อครั้งที่ผมสัญจรมาจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงไม่นั่นแหละ ทว่าครั้งนั้นเป็นโครงการ “โรงเรียนแห่งความสุข” ประสบความสำเร็จถึงขั้นมหาวิทยาลัยฯ นำภาพวาดและข้อเขียนเล็กๆ ของนักศึกษาไปจัดพิมพ์เป็นหนังสือเนื่องในวันปัจฉิมนิเทศเลยทีเดียว
การหวนคืนกลับมาจับกระบวนการครั้งนี้จึงมีสถานะไม่ต่างจากการทบทวนความทรงจำของตัวเองในวิถีปั้นแต่งกระบวนการในยุคแรกเริ่ม ควบคู่ไปกับการ “เคาะสนิม” ว่าแท้จริงแล้วผมยังสามารถทำกระบวนการนี้ได้อยู่อีกหรือไม่
รู้จักฉันรู้จักเธอ : ประหนึ่งสาธิตกระบวนการเรียนรู้จากผมสู่ครูและนักเรียน
ในกระบวนการของวันนี้ ผมกำหนดให้นักศึกษาวาดภาพในหัวข้อ “ความทรงจำของชีวิต” หรือ “ความฝันของชีวิต” โดยให้เลือกวาดหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง –
ผมยังคงนำเข้ากระบวนการเหมือนเช่นในอดีต มีกลอน (วรรณศิลป์) มาให้ทุกคนอ่านร่วมกัน เป็นการเรียกสมาธิและเสพศิลปะไปพร้อมๆ กัน ขณะที่วาดภาพก็เปิดเพลงคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศให้เป็นลักษณะของสุนทรียภาพ มีบางจังหวะที่ผมเดินสังเกตการณ์การวาดภาพของแต่ละคน พอเห็นบางคนคิดนานมาก ก็เสนอทางเลือกให้เขียนบรรยายแทนการวาดภาพ
หรือแม้แต่การอนุญาตให้วาดภาพผ่านมือถือ เพราะเชื่อว่าเรื่องราวบางอย่างถูกจัดเก็บไว้ในเครื่องมือการสื่อสารที่ว่านั้น
ครั้นพอวาดเสร็จ ก็ขับเคลื่อนเหมือนเดิมคือให้จับคู่ 2-3 คน เพื่อสลับกันเล่าเรื่องราวในภาพให้เพื่อนฟัง เพื่อฝึกการ “สื่อสาร” หรือการ “ใช้สื่อ” รวมถึงการ “แบ่งปัน” และการ “ฟัง” โดยมิให้ซักถามใดๆ เรียกได้ว่า “ฟังอย่างเดียวโดยไม่ต้องถาม” นั่นเอง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่วาดภาพ ระยะแรกก็มีเสียงดังเล็กน้อย หลายคนยังทักถามพูดคุยกัน แต่พอผ่านไปสักระยะทุกอย่างเข้าโหมดสมาธิกันหมด ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว เคารพตนเองและคนอื่นไปอย่างง่ายงาม มีบางคนวาดภาพไปน้ำตาไหลไปด้วย
เช่นเดียวกับในช่วงที่เล่าเรื่องราวให้เพื่อนฟัง ก็พบว่ามีบางคนต่อมน้ำตาแตกเหมือนกัน ซึ่งผมก็ยังมองว่ากระบวนการนี้มีมิติของศิลปะบำบัด ไม่ใช่การจัดกระบวนการเพื่อล้อเล่นกับความรู้สึกของใคร
ยอมรับว่าในเวทีนี้ดูอืดเอื่อยอยู่มาก เพราะร้างเวที “รู้จักฉันรู้จักเธอ” มานานมากนั่นเอง และด้วยความที่ร้างเวทีมานาน กระบวนการต่างๆ จึงไม่ลื่นไหลเหมือนที่เคยทำมาเมื่อหลายปีก่อน เวลาที่มีอยู่ก็ยืดเยื้อออกไปสักเล็กน้อย ส่งผลให้กระบวนการเล่าเรื่องไม่สามารถขยายวงกว้างได้อย่างที่ใจคาดหวัง
แต่ก็อย่างว่า เหมือนที่คุยกันเบื้องต้นแล้วว่า กิจกรรมนี้ เน้นกระบวนการเป็นหัวใจหลัก ยังไม่ต้องหยั่งรากลึกลงให้ถึงผลลัพธ์ก็ได้ เพื่อให้เกิดการละลายพฤติกรรมในแบบบันเทิงเริงปัญญามากกว่าบันเทิงเริงรมย์ รวมถึงการทำเป็นกรณีศึกษาให้คณะทำงานที่มีทั้งอาจารย์และนักศึกษาได้เห็น- ได้เรียนรู้- และนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทของตนเอง
รู้จักฉันรู้จักเธอ : ถามทักทัศนคติผ่าน “ความฝันของชีวิต”
ก่อนหน้าจะลงมือจัดกระบวนการรู้จักฉันรู้จักเธอ ทั้งผมและทีมงานเจ้าภาพแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันหลายประเด็น จนค้นพบว่าผู้เรียน (นักศึกษา) มองความเป็นครูด้วยทัศนคติใด เพราะข้อมูลที่ได้มาก่อนหน้านี้ทำให้ชวนคิดว่านักศึกษาเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของครูในเชิงอุดมคติมากหรือน้อย
และมีทัศนคติต่อกระบวนการผลิตครูเนื่องในโครงการผลิตครูสู่ความเป็นเลิศอย่างไร หรือแม้แต่นักศึกษาเชื่อและศรัทธาต่อกระบวนการบ่มเพาะ-ผลิตครูของที่นี่มาก หรือน้อย
ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาที่ไม่ได้ตระเตรียมกระบวนการมาล่วงหน้า ประกอบกับเวลาที่ไม่อยากให้ไปกระทบต่อกระบวนการอื่นที่จะมีคนมาช่วยหนุนเสริมกระบวนการของผม ซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ผมจึงทำกระบวนการในแบบเครื่องยนต์เบนซินอยู่พอสมควร จะบอกว่าผมเน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ก็ไม่ผิด เพราะในข้อเท็จจริง มันก็เป็นจริงเช่นนั้นจริงๆ
เป็นที่น่าสังเกตว่า 90 % ภาพที่นักศึกษาวาดออกมานั้น ส่วนใหญ่ล้วนยังมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นครู หรือประกอบอาชีพครูอยู่ดี มีทั้งที่การเป็นครูทั่วไป และการเป็น “ครูดอย” ที่เหลือก็เป็นความฝันอื่นๆ เช่น การเป็นลูกที่ดี การเรียนให้สำเร็จการศึกษาเพื่อให้พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจ
ด้วยเหตุที่ไม่มีเวลามากพอที่จะให้มีการเล่าเรื่องในวงกว้าง ในช่วงที่วิทยากรท่านอื่นกำลังทำกระบวนการอยู่นั้น ผมก็ให้นักศึกษาช่วยงานและอาจารย์ที่ดูแลงานนี้ได้นำภาพวาดไปแปะไว้ที่ผนังห้อง แต่ไม่ได้บอกว่าให้แยกแยะเป็นหมวดหมู่ หรือจัดวางการแปะติดด้วยรูปแบบใด เพราะต้องการสอนงานในเชิงกระบวนการไปในตัวด้วยนั่นเอง
พอแปะติดเสร็จ ผมก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปดูรายละเอียดของภาพวาดเหล่านั้น
ใช่ครับ – ยืนยันว่าค่อยๆ เคลื่อนตัว เพราะไม่อยากให้กระทบต่อกระบวนการที่กำลังจัดอยู่
ครั้นยิ่งดูภาพวาดยิ่งสัมผัสได้ว่าในภาพวาดเหล่านั้นมีเรื่องราวมากมายให้ “คิดตาม” อย่างมหาศาล จนผมและทางเจ้าภาพมา “โสเหล่” นอกรอบกันอีกยกประมาณว่า “เสียดายที่ไม่มีเวลาทำกระบวนการนี้ให้ลึกซึ้ง ยาวนาน และเปิดกว้าง” เพื่อให้แต่ละคนได้เปิดเปลือยตัวเองให้มากกว่านี้ จะได้เป็นต้นทุนที่ดีต่อการเรียนรู้ในเวทีนี้ รวมถึงการใช้ชีวิตร่วมกันของทุกคน
ครับ – เสียดาย แต่ก็ไม่เสียใจ
แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ลืมบอกกับนักศึกษาและทีมเจ้าภาพในบางประเด็น เช่น
เขียน : อังคารที่ 21 สิงหาคม 2561
ภาพ : พนัส ปรีวาสนา
-สวัสดครับอาจารย์-การเดินทางของชีวิต บางครั้งก็ต้องอาศัยพลังใจ พลังกาย อย่างมากมาย แต่สิ่งที่เร่งขับพลังได้มากที่สุดนั่นก็คือพลังจากตัวเราเอง…-มีความสุขในทุกครั้งที่ได้อ่านบันทึกเช่นนี้ครับ-วันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้คนแบบ”ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ”แต่มิได้มีอะไรจะมาปิดกั้นมิตรภาพได้เลยครับ-อาจารย์ครับ ผมมักจะใช้คำว่า”เกษตรกรรมบำบัด” ณ บ้านไร่ของผมด้วยล่ะครับ-หรือนี่คือสิ่งที่กำลังค้นพบทางแห่งความสุข…ของตนเอง…หรือเปล่า…-วันก่อนคุยกับ”คุณสตังค์”พิธีกรรายการภัตตาคารบ้านทุ่ง ทราบข่าวว่าประสานเรืื่องโครงการ 9 ต่อ กับอาจารย์ด้วย…..-ด้วยความระลึกถึงอาจารย์ครับ..-ณ เวลานี้กำลังสานต่อกิจกรรมของ FarmSchool ณ บ้านไร่ของผมครับ..
มีความคิดเช่นเดียวกันครับว่า
“ใครค้นพบตัวเองได้มากแค่ไหน ย่อมเดินเร็วกว่าคนที่ยังไม่รู้จักตัวเองเท่าไหร่”
กระบวนนี้เช่นนี้แหละครับที่แม่ฮ่องสอนต้องการและเรียนรู้อย่างเแท้จริง
ขอบคุณ…ท่านวิทยากรที่ใช้เวลาเดินทางอันยาวนานและมึนหัว 555ขอบคุณ…ที่ได้พบกันอีกครั้งหนึ่งครับ ;)…
สวัสดีครับ อ.เพชรน้ำหนึ่ง
ดีใจจังเลยครับที่อาจารย์ก็รู้จักคุณสตังค์จากภัตตาคารบ้านทุ่งเหมือนกัน ประหนึ่ง “เส้นทางบุญ” ที่มาบรรจบกันโดยแท้เลยนะครับ
และผมเห็นด้วยครับกับวาทะ “เกษตรกรรมบำบัด” เพราะนั่นคือการวิถีของการเรียนรู้และให้ความเคารพต่อโลกใบนี้อย่างแท้จริง และยิ่งขับเคลื่อนในแบบทีม แบ่งปัน อาทรต่อกัน ยิ่งบอกย้ำให้รู้ว่านี่คือสิ่งที่ยืนยันว่า แท้จริงแล้ว มนุษย์คือผู้มีจิตใจอันละเอียดอ่อนและดีงาม
ชื่นชม และให้กำลังใจนะครับสู้ๆ ครับ
สวัสดีครับ อ.Wasawat Deemarn
ไปครานี้ ไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปมาก นึกว่าจะเป็นกลุ่มคนในลักษณะเดิม จึงยังคงประเด็นเดิมๆ ไว้ สไลด์เดิมเพื่อยืนยันถึงเส้นทางอดีตสู่ปัจจุบันให้เด็กๆ รุ่นนี้ได้สัมผัส และเชื่อมโยงสู่เครือข่ายรุ่นพี่ในรุ่นที่ 1 ของพวกเขาเอง
แต่ที่แน่ๆ ตกดึกก่อนนอน ต้องรื้อเนื้อหา แทนด้วยคลิปเรื่องใหม่ๆ ผูกเป็นปมการเรียนรู้แทนการบรรยายกึ่งกระบวนการ
แต่ก็พยายามแล้วนะครับ พยายามทำอย่างเต็กำลังท่ามเวลาอันจำกัด ถ่ายกระบวนการลงที่เด็กและอาจารย์เพื่อขับเคลื่อนกันต่อไป
และยืนยันว่า ผมมีควาสุขมากๆ กับกิจรรมครานี้ หวังว่า จะได้อะไรกันบ้างอยู่นะครับ 555