สิ้นปีการศึกษา เขตพื้นที่การศึกษาต่างๆเริ่มประกาศรับสมัครสอบบรรจุครูในเขตพื้นที่ของตน ธรรศชวนนิพาดาไปดูข้อมูลตำแหน่งที่แต่ละเขตเปิดรับสมัคร ดูแล้วที่กทม.และเขตปริมณฑลมีตำแหน่งเปิดสอบน้อยมาก จึงตกลงกันไปสมัครสอบในเขตพื้นที่มัธยมศึกษา เลือกที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งไม่ไกลจาก กทม.มากนัก และเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่ทั้งสองคนมีความผูกพัน กรนุชเลือกไปสมัครสอบในเขตพื้นที่ ประถมศึกษาจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพราะตั้งใจอยากไปสอนเด็กๆชาวเขาในพื้นที่ห่างไกลอยู่แล้ว และพ่อแม่ของเธอก็ไม่คัดค้านด้วย ส่วนนิศมายังคงทำงานที่มูลนิธิฯอยู่ต่อไป
ผลการสอบคัดเลือก ธรรศกับนิพาดาได้บรรจุที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอแห่งหนึ่งใกล้ตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนกรนุชก็ได้เป็นครูในโรงเรียนประถมในอำเภอแห่งหนึ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้เป็นครูบนดอยสมใจ
เด็กๆที่โรงเรียนเดิมของธรรศและนิพาดาต่างอาลัยอาวรณ์ที่ครูของเขาลาออก คุณป้านุชจรีย์แม้จะเสียดายที่หลานสาวไม่ได้มาช่วยสอนที่โรงเรียนอีก แต่ก็เห็นแก่อนาคตของหลาน และตอนนี้ได้ครูคนใหม่มาทดแทนแล้ว จึงไม่ทัดทานการออกไปของหลานสาว ส่วนพ่อแม่ของนิพาดาพอทราบว่าทั้งสองคนสอบบรรจุได้และต้องไปอยู่บ้านพักครูต่างจังหวัดก็ใจหายเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนิพาดาไม่เคยพรากไปจากอกพ่อแม่เลย แต่เบาใจบ้างเมื่อมีธรรศไปอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน จึงฝากให้ธรรศคอยดูแลน้องด้วย ธรรศและนิพาดาสัญญาว่าจะดูแลกันและกันให้ดีและจะกลับมาบ้านบ่อยๆ เพราะโรงเรียนอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯเท่าไร ธรรศเองก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงที่บ้านสวนเช่นกัน ทุกคนอยู่สุขสบายและทุกอย่างที่สวนก็ลงตัวหมดแล้ว
โรงเรียนมัธยมที่ธรรศกับนิพาดาไปสอนอยู่ห่างจากตัวอำเภอไม่ถึงกิโล อยู่ท่ามกลางทุ่งนาและหมู่บ้านที่ตั้งอยู่เป็นหย่อมๆไม่ห่างไกลกัน มีคูคลองเชื่อมจากแม่น้ำสายหลักไหลผ่านให้ชาวบ้านได้ใช้กัน มีถนนหนทางติดต่อถึงกันระหวางหมู่บ้าน ยังมีกลิ่นอายของชนบทให้สูดอากาศได้เต็มปอด ดูจากสภาพภายนอกทั่วไปชาวบ้านที่นี่น่าจะอยู่เย็นเป็นสุขกัน
โรงเรียนมีนักเรียนทั้งมัธยมต้นและมัธยมปลายรวม 600 กว่าคน มีครู 38 คน ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นชายวัยกลางคนดูท่าทางใจดี ครูที่นี่อยู่ในวัยใกล้เคียงกันอายุเฉลี่ยน่าจะไม่เกิน 30 – 40 ปี ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสให้การต้อนรับธรรศและนิพาดาเป็นอย่างดี โรงเรียนจัดที่พักให้ธรรศไปอยู่บ้านพักครูชายโสด นิพาดาอยู่บ้านพักครูหญิงโสด โดยต้องพักรวมกันกับครูคนอื่นๆที่อยู่ก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนยังอยู่ในฐานะเป็นครูผู้ช่วยที่ต้องทดลองปฏิบัติราชการ ต้องถูกประเมินเพื่อเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มเป็นเวลาสองปี ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นครูตามระเบียบที่กระทรวงกำหนด ซึ่งก็ต้องทำหน้าที่สอนเหมือนครูทั่วๆไปนั่นแหละ ธรรศได้รับมอบหมายให้สอนวิชาประวัติศาสตร์ทุกชั้นและโรงเรียนเปิดโปรแกรมสอนภาษาจีนด้วยเพราะเป็นจังหวัดท่องเที่ยว พอผู้บริหารโรงเรียนทราบว่าธรรศสอนภาษาจีนได้ จึงมอบหมายให้สอนภาษาจีนเพิ่มขึ้นอีก ส่วนนิพาดาได้สอนวิชาคณิตศาสตร์ทั้งระดับมัธยมต้นและมัธยมปลาย ทั้งสองคนก็ได้สอนตามวิชาเอกที่แต่ละคนเรียนมา จึงไม่มีปัญหาเรื่องวิชาที่สอนแต่อย่างใด ธรรศและนิพาดารู้สึกพอใจ อบอุ่นใจที่ได้มาสอนโรงเรียนนี้ เพราะทั้งสภาพแวดล้อมและสังคมที่นี่ก็ดูน่าอยู่ น่าทำงานทีเดียว
วันหยุดสุดสัปดาห์ในเดือนแรก ธรรศชวนนิพาดาขี่จักรยานที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆไปสำรวจและดูวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นในตัวอำเภอและนอกอำเภอไปตามหมู่บ้านต่างๆที่ไม่ไกลนัก พร้อมทั้งพูดคุยกับชาวบ้าน แนะนำตัวเองว่าเป็นครูคนใหม่ ก็ได้รับความสนใจและได้รับมิตรไมตรีที่ดีจากชาวบ้านตามสมควร ทำให้ทราบข้อมูลทั่วไปว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา และรับจ้างทั่วไป มีฐานะค่อนข้างยากจน เด็กๆจำนวนไม่น้อยไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ซึ่งมีทั้งครอบครัวแตกแยก ทั้งหย่าร้างและอพยพไปทำงานที่อื่น เด็กนักเรียนจำนวนไม่น้อยต้องอาศัยอยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย หรือลุง ป้า น้า อา ตามผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ที่ความเจริญทางวัตถุเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในชนบท โดยมีสภาพคล้ายคลึงกันกับชนบทในหลายๆแห่งของประเทศ ซึ่งต่างจากสภาพภายนอกที่ธรรศกับนิพาดาได้เห็นในวันแรกที่เข้ามาเยือน
วันอาทิตย์ในสัปดาห์ถัดไปธรรศชวนนิพาดาไปกราบหลวงพ่อเจ้าอาวาสที่วัดในตัวอำเภอซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงเรียน ภายในวัดดูสะอาด สงบร่มรื่นด้วยร่มไม้ที่เขียวขจี มีลำน้ำคูคลองรอบวัด ไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่หรูหราเหมือนหลายๆวัด มีเพียงโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญหลังหนึ่งที่กว้างขวาง มีศิลปะการสร้างที่แปลกกว่าวัดอื่นๆ และอาคารตึกแถวยาวๆท้ายวัดอีกสามหลัง หลังหนึ่งเป็นกุฎิจำพรรษาของพระภิกษุ อีกสองหลังสำหรับเป็นที่พักของผู้มาปฏิบัติธรรม แยกอาคารชาย อาคารหญิง พื้นที่วัดส่วนใหญ่เป็นลานโล่งแจ้งที่อยู่ในร่มไม้ มีร่องรอยว่าเพื่อใช้ในการปฏิบัติสมาธิภาวนา
พอขึ้นไปบนศาลาการเปรียญก็ได้ยินเสียงเทปคำสอนการฝึกปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาที่ทั้งสองคนคุ้นชินดังแว่วมา ธรรศกับนิพาดามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ค่อยๆเดินเบาๆไปทางด้านหลังซึ่งเป็นที่มาของเสียง พยายามรักษาความเงียบสงบ ก็เห็นชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นสตรีอาวุโสสัก 30 กว่าคน มีหนุ่มๆสาวๆราว 5-6 คน นั่งขัดสมาธิบนอาสนะหลับตานิ่ง มีภิกษุ 3 รูปนั่งบนอาสนะเบื้องหน้าที่ตั้งบนแท่นสูงกว่าชาวบ้าน รูปแรกดูทางด้านหลังอาวุโสกว่าอีกสองรูป ธรรศกับนิพาดาเข้าใจว่าคงเป็นหลวงพ่อเจ้าอาวาสกับพระลูกวัด ทั้งสองคนเข้าไปนั่งสมทบด้านหลัง หลับตาลงและร่วมปฏิบัติด้วยความคุ้นชิน จำได้ทันทีว่าเป็นเทปซีดีคำสอนของท่านอาจารย์ที่ทั้งสองคนปฏิบัติเป็นประจำ เพื่อใช้สำหรับการมารวมกลุ่มนั่งปฏิบัติกันภายหลังจากอบรมหลักสูตร 10 วัน ซึ่งเทปซีดีนี้มีความยาว 1 ชั่วโมง
ตอนนี้ถึงตอนท้ายๆใกล้จบชั่วโมงแล้ว ธรรศกับนิพาดาสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อจึงใช้เทปซีดีนี้ หลวงพ่อเป็นศิษย์เก่าที่ไปอบรมหลักสูตรนี้กับอาจารย์มาแล้วแน่ๆ รอให้จบการปฏิบัติก่อนแล้วจะไปกราบและถามท่านให้ได้ เพราะตอนนี้มองจากด้านหลังก็ไม่รู้ว่าท่านหน้าตาเป็นยังไง การนั่งปฏิบัติกลุ่มจบแล้ว หลวงพ่อหันหน้ากลับมาเพื่อพูดคุยกับชาวบ้านต่อ ธรรศกับนิพาดาเห็นหน้าท่านชัดเจนขึ้น ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“หลวงพ่อที่ไปปฏิบัติกับเราที่นครศรีธรรมราช”
ทั้งธรรศและนิพาดาจำได้ชัดเจนว่าตอนอบรมท่านนั่งอยู่หน้าสุด ท่านนั่งนิ่งตัวตรงเหมือนหุ่น ไม่ไหวติงใดๆตลอดชั่วโมง บางชั่วโมงหมดขั่วโมงแล้วท่านยังนั่งต่อไปจนถึงขึ้นขั่วโมงใหม่ ท่านคงอายุราว 70 ปีเศษๆ แต่ดูหน้าตาผิวพรรณท่านยังเปล่งปลั่งอย่างผู้มีความสุข ท่านเป็นแบบอย่างของพระปฏิบัติที่น่าศรัทธายิ่ง และช่วยเพิ่มพลังสมาธิให้แก่ผู้เข้าร่วมปฏิบัติจนตลอดการอบรม
ชาวบ้านกราบลาท่านกลับไปหมดแล้ว ธรรศกับนิพาดาค่อยๆคลานเข่าไปกราบที่เบื้องหน้าท่าน ท่านมองทั้งสองคน ส่งยิ้มให้ ทั้งสองคนรับรู้ได้ถึงจิตที่เต็มไปด้วยความเมตตา ธรรศกับนิพาดาพนมมือและแนะนำตัวให้ท่านรู้จัก แล้วอดไม่ได้ที่จะบอกว่าตนเองได้ไปร่วมปฏิบัติหลักสูตร 10 วันกับหลวงพ่อที่นครศรีธรรมราช เมื่อปลายปีที่แล้วด้วย ท่านเพียงแต่ยิ้ม ไม่แสดงความตื่นเต้นดีใจแต่อย่างใด ท่านพูดเพียงประโยคสั้นๆว่า
“ดีแล้วมาช่วยกันสอนเด็กๆให้เป็นคนดีกัน” ท่านพูดน้อย แต่ละประโยคล้วนมีสาระ ทุกกิริยาเป็นแบบอย่างของผู้รักษาสติและวางอุเบกขาได้ในทุกอิริยาบถ
ทั้งสองคนทราบข้อมูลคร่าวๆก่อนหน้ามากราบท่านแต่เพียงว่า ท่านคือพระครูธีรวัฒน์ เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะอำเภอ และเป็นพระอุปัชฌาย์อุปสมบทพระภิกษุด้วย แล้วท่านก็เล่าเรื่องราวถึงภารกิจของท่านและของวัดให้ฟัง ได้ความว่า ท่านเกิดที่ตำบลและอำเภอนี้ พออายุครบอุปสมบทก็บวช มีโอกาสไปจำพรรษาและเป็นศิษย์หลวงพ่อพุทธทาสสองพรรษา แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดนี้ ตั้งแต่เป็นพระลูกวัด เกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรม เลยไม่สึกมาจนทุกวันนี้
ท่านเล่าต่ออีกว่า ด้วยใจที่ไม่ค่อยชอบพิธีกรรมต่างๆอย่างไม่มีเหตุผล ท่านจึงพยายามสอนชาวบ้านให้ลดเลิกพิธีกรรมที่มืดบอด ไม่ส่งเสริมให้เกิดปัญญาลงบ้าง แต่ก็แก้ยากมาก เพราะชาวบ้านเขาฝังรากลึกปฏิบัติสืบต่อกันมา ก็เลยต้องพยายามสอนเขาและเดินสายกลาง พอดีเห็นหลักสูตรวิปัสสนาอบรมเข้ม 10 วัน แล้วเกิดความสนใจในหลักสูตรที่ยึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เน้นพิธีกรรมและตรงกับที่หลวงพ่อพุทธทาสท่านสอนไว้ เลยมาลองปฏิบัติครั้งแรกเมื่อ 8 ปีที่แล้ว และเกิดความเข้าใจในวิถีทางนำไปสู่ความหลุดพ้นที่ลึกซึ้งมากขึ้น เลยไปปฏิบัติมาต่อเนื่องหลายๆหลักสูตร แล้วเกิดความคิดว่าน่าจะส่งเสริมให้คนที่นี่ไปปฏิบัติบ้าง
พอดีเมื่อ 4 ปีที่แล้วได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์บวชพระ เลยทดลองเริ่มต้นที่พระก่อน พอบวชให้เสร็จก็ไม่ต้องสอนอะไร ส่งมาอบรมหลักสูตร 10 วันเลย เมื่อเขากลับมาก็นำเขาปฏิบัติต่อเนื่องเช้า-เย็น หลังจากทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น พระบางรูปก็ขอไปอบรมต่อเนื่อง ตอนนี้ก็มีพระที่ผ่านการอบรมอย่างน้อย 1 ครั้ง ได้ 10 กว่ารูป แต่หลายรูปบวชได้พรรษาเดียวก็สึกไป เพราะความจำเป็นในครอบครัว ก็ต้องเข้าใจเขา แต่ก็คิดว่าอย่างน้อยเขาก็ได้ธรรมะติดตัวไปน่าจะทำให้เขาได้วิธีการดำเนินชีวิตที่ดี และเป็นคนดีเมื่อไปอยู่ในสังคมภายนอก
หลวงพ่อท่านเล่าต่ออีกว่า พอท่านทำเรื่องนี้กับพระก็คิดจะทำกับฆราวาสบ้าง เพราะสังคมที่นี่ก็เป็นที่รู้ๆกัน ก็เหมือนกับชนบททั่วๆไป ต้องดิ้นรนทำมาหากิน ความยากจนมีผลไปสู่การไปหางานทำที่อื่น บ้างก็มั่วสุมอบายมุขกัน คนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยเป็นคนแก่ที่อยู่ในวัยพึ่งพิง และเลี้ยงดูหลานๆให้ลูกที่ไปหางานทำที่อื่นบ้าง บางครอบครัวก็แตกแยกกันบ้าง น่าสงสารก็คือพวกเด็กๆ หลวงพ่อจะช่วยพวกเขาเรื่องปากเรื่องท้องก็คงลำบาก จึงพยายามช่วยเรื่องการอบรมกล่อมเกลาจิตใจก่อน และหวังว่าถ้าเขาเป็นคนดี อะไรๆก็คงจะดีขึ้นตามมา จึงคิดส่งชาวบ้านไปอบรมหลักสูตรนี้ พอได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอและแก่พรรษามากขึ้น ชาวบ้านเขาศรัทธาเพราะเห็นว่าหลวงพ่อเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หลวงพ่อจะพูดอะไรเขาก็คล้อยตาม จึงพยายามพูดคุยกับคนที่เขามีฐานะและมีใจอยากจะทำบุญช่วยเหลือชาวบ้านให้พ้นทุกข์ ตอนนี้ก็มีทั้ง ส.ส. นายทุน ข้าราชการ และคนที่อื่นๆ พอรู้ว่าหลวงพ่อมีแนวคิดจะส่งชาวบ้านไปอบรมปฏิบัติธรรมตามหลักสูตรนี้จึงเข้ามาช่วย จัดพาหนะและค่าใช้จ่ายพื้นฐานบ้าง ผู้มีอุปการะคุณบางคนก็สมัครเข้าร่วมปฏิบัติด้วย และมาช่วยหลวงพ่อทำงานด้านธุรการ ช่วยประสานงานให้ ก็เบาแรงขึ้น
ตอนนี้มีชาวบ้านและคนในอำเภอผ่านการอบรมแล้วร่วม 40-50 คน ส่วนใหญ่ก็เป็นคนเฒ่าคนแก่ สาวๆหนุ่มๆก็พอมีบ้างแต่ก็ยังน้อย ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผู้หญิง ก็เหมือนกับที่เราไปเห็นการอบรมแต่ละรุ่นนั่นแหละ คนไหนที่ผ่านการปฏิบัติท่านก็จัดให้มีการนั่งปฏิบัติกลุ่มในทุกวันอาทิตย์วันละ 2 ชั่วโมง แบ่งเป็นสองช่วงเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ก็มาบ้างไม่มาบ้างดังที่เห็นเมื่อกี้นี้แหละ ก็ผลัดเปลี่ยนกันไป หลวงพ่อเข้าใจดีว่าแต่ละคนต่างมีภาระที่ต้องดูแล จัดสรรเวลามาได้ขนาดนี้หลวงพ่อก็พอใจแล้ว และหลังปฏิบัติหลวงพ่อก็ไถ่ถามทุกข์สุข ผลการปฏิบัติ ว่ายังปฏิบัติต่อเนื่องเช้าเย็นไหม แล้วรู้สึกยังไง ตลอดจนถามไปถึงชีวิตความเป็นอยู่ ถ้าเขายังลำบากก็จะมีคนคอยจดข้อมูล แล้วท่านก็จะประสานข้อมูลไปยังผู้มีอุปการคุณต่างๆขอให้เข้าไปช่วยเหลือ ตอนนี้ดูเหมือนว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนที่นี่จะมีมากขึ้น
ตอนท้ายหลวงพ่อฝากธรรศกับนิพาดาไปว่า ท่านสามารถทำได้กับชาวบ้านเป็นส่วนใหญ่ แต่กับเด็กๆในโรงเรียน หลวงพ่อยังเข้าไปไม่ถึง ก็ฝากให้ทั้งสองคนดูแลด้วย จะได้ครบ “บวร” คือบ้าน วัด และโรงเรียน
ธรรศกับนิพาดารับปากท่าน และบอกว่าจะพยายามหาเวลามาร่วมปฏิบัติกับขาวบ้านในวันอาทิตย์บ่อยๆ แล้วเสนอโครงการหนึ่งให้หลวงพ่อพิจารณาให้การสนับสนุน คือการส่งนักเรียนไปอบรมหลักสูตรอานาปานสติ 1 วัน ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมใน กทม. ที่เขาเปิดรับสมัครเป็นประจำและไม่เสียค่าอบรมด้วย หากมีรถบริการรับส่ง มีคนคอยดูแล และอาหารการกินให้ คิดว่า พ่อแม่ผู้ปกครองเขาคงไม่ว่าอะไร หลวงพ่อก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ และรับว่าจะคุยกับผู้มีอุปการคุณช่วยเหลือต่อไป
ธรรศกับนิพาดากราบลาท่านด้วยใจที่ปลื้มปิติ มีพลังที่จะก้าวเดินไปสู่เส้นทางที่ปรารถนา ด้วยมีหลวงพ่อเป็นกำลังใจสำคัญให้อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ---------------------------
ไม่มีความเห็น