โสภณ เปียสนิท
นาย โสภณ เปียสนิท ตึ๋ง เปียสนิท

ท่ามะนาวริมราวป่า


โสภณ เปียสนิท

..............................

            ดวงตะวันเดินทางเหนื่อยล้าถึงขอบฟ้าด้านทิศตะวันตกสักครู่แล้ว ความมืดค่อยๆ ครอบงำหมู่บ้านท่ามะนาวมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ด้านหลังภูเขาสูงเขียวครึ้มเลยฝั่งแม่น้ำแควฝั่งตะวันตกนั้นยังคงมีแสงสว่างสีแดงเพลิงพวยพุ่งขึ้นเหนือสันเขา มองเห็นความอ่อนล้าโรยแรงใกล้จบลง ด้านหน้าภูเขานั่นรัตติกาลคลี่ม่านกั้นทึบเทาทะมึนจนเหมือนม่านหมึก นานมากแล้วที่ไม่ค่อยได้มีเวลานั่งมองดวงอาทิตย์สีแดงกลมโตก่อนจะลับฟ้า เป็นเพราะชีวิตยุ่งยากซับซ้อนเกินไป กรำงานมากเกินไป ให้ความสำคัญกับการหาเงินมากเกินไป จนทำให้ชีวิตขาดสุนทรียะ

            เขียนถึงตรงนี้หูแว่วได้ยินคำของ โจน จันได ที่เคยกล่าวไว้อย่างเรียบง่ายว่า “ชีวิตเป็นของง่าย ถ้ามันยากแสดงว่า เราเดินผิดทางแล้ว” หลังจากใช้ชีวิตกรำงานมาไม่น้อยจนย่างเข้าสู่วัยชราบั้นปลายของชีวิตจึงพอจะเข้าใจได้บ้างแล้วว่า คนเราชอบทำให้ชีวิตยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นไปเอง เพราะความเชื่อ เพราะความคิด เพราะถูกสังคมหล่อหลอมกันมา ชีวิตสมัยก่อนเราปลูกพืชผักไว้กินกันเอง อยากกินข้าวก็ปลูกข้าว อยากกินอะไรก็ปลูกสิ่งนั้น กินแล้วเหลือก็แจกจ่ายกันไป แจกแล้วยังไม่หมดก็นำไปแลกเปลี่ยนกัน เอาของเหลือไปแลกของที่ยังขาด สุดท้ายแล้วจึงนำไปขาย สิ่งที่ขายได้นั่นคือกำไร ขายได้เท่าไรเป็นกำไรล้วนๆ

            แม้นว่าหมู่บ้านท่ามะนาวจะอยู่ในเขตอำเภอเมือง แต่ว่าห่างไกลจากตัวเมือง 30 กิโลเมตร ทำให้บรรยากาศยามย่ำค่ำสนธยาค่อนข้างเงียบงัน มีเพียงเสียงยวดยานพาหนะเร่งเครื่องยนต์ผ่านขึ้นไปสู่ปลายทางด้านน้ำตกเอราวัณ บ้างก็ล่องกลับสู่เมืองส่งเสียงดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ แสงไฟจากริมถนนเริ่มสาดส่องให้เห็นเส้นทางเฉพาะช่วงทางเข้าหมู่บ้าน เลยปากทางเข้าหมู่บ้านไปแล้ว หนทางค่อนข้างมืดมน มีเพียงแสงไฟหน้ารถสาดส่องหนทางเอาเองแบบต่างคนต่างไป

            ผมเปิดไฟข้างบ้านไว้หลายดวง เพื่อให้ความสว่าง นั่งลงบนเตียงเอนหน้าบ้านมองฝ่าความมืดไปที่ป่าหลังบ้าน ต้นกระถินยักษ์ยืนต้นตระหง่านประกาศสายพันธุ์แห่งความอึดทนผ่านฤดูกาลมาได้อย่างยาวนาน เสียงไก่ป่าร้องเรียกลูกน้อยบินขึ้นสู่คบคอนอยู่ในดงนั้น แม้นว่ายังเป็นเวลาหัวค่ำ แต่ความเงียบแผ่ไปในอาณาบริเวณรอบตัวอย่างคุ้นเคย โชคดีว่า ผมเกิดมาในบรรยากาศแถวนี้ จึงไม่มีความรู้สึกว้าเหว่วิตกกังวลแต่อย่างไร แปลกที่บางคราผมกับรู้สึกมีความสุขที่ได้กลับมาทบทวนความรู้สึกแบบนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะความแก่ชราบนจิตวิญญาณดวงเดิมที่คุ้นเคยนั้น ทำให้ผมมีความสุขที่ได้กลับบ้าน หลังการร่อนเร่สัญจรแสวงหาสิ่งที่อยู่ตัวมาหลายปี

            ผมเอนนอนหน้าบ้านเล็กในป่าใหญ่ผ่อนคลาย รับรู้สรรพสิ่งรอบตัวตามที่อยู่ที่เป็นอย่างพอใจ ลมเย็นพัดโชยมาจากทิศตะวันออกผ่านเลยสู่ทิศตะวันตก เสียงหมาเห่าบางคราวหอนมาจากหมู่บ้านใกล้บ้างไกลบ้าง เสียงกระรอกกระแตไต่ต้นกระถินข้างบ้านขึ้นสู่รัง เสียงฝนผ่านชายคาหยดลงสู่พื้น แอบหวังไว้ในใจว่า อีกสักครู่ฝนคงตกหนัก พรุ่งนี้จะขุดย้ายต้นมะขาม ต้นขี้เหล็กที่หว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ข้างบ้านไปปลูกรอบๆ บ้านเป็นแถวไกลออกไปจากบ้าน อย่างน้อยก็ให้เป็นป่าที่กินได้ไว้เก็บกินบ้างขายบ้างตามแต่จะทำได้

            เพื่อนบ้านหลายคนเคยถามว่า ทำไมเลือกปลูกมะขาม ขี้เหล็กมากกว่าอย่างอื่น ผมตอบแบบง่ายๆ คือมะขามก็ทน ขี้เหล็กก็ทน เติบโตได้ง่าย อย่างน้อยหน้าแล้งแล้งจัดแบบบ้านเรา มันก็ยังอยู่ได้ อีกอย่างทั้งสองสายพันธุ์เก็บกินได้ทั้งคู่ ที่แน่ๆ ช้างป่าปล่อยที่รบกวนชาวบ้านท่ามะนาวเราอยู่ทุกวี่วันนั้นก็ไม่รบกวนทั้งสองสายพันธุ์นี้เลย

            เพื่อนจากที่อื่นห่างไกลออกไปมักถามว่า มีช้างป่าด้วยหรือ ผมตอบว่า เมื่อก่อนตอนผมเป็นเด็กไม่เคยมี แต่ปัจจุบันมีมาก มากแค่ไหน มากพอที่จะได้เห็นทุกคืน ถ้ามีความประสงค์จะต้องการดู มักถามกันว่า “ช้างป่าปล่อย” หมายความว่าอย่างไร ผมออกตัวก่อนว่า คำว่า ช้างป่าปล่อยไม่ใช่ผมพูดเองนะ เป็นคำพูดของชาวบ้านท่ามะนาว และใกล้เคียง คำพูดนี้ไม่ตรงกับคำของเจ้าหน้าที่ป่าไม้แถวนี้

            แต่ผมเป็นคนถิ่นนี้ จึงเชื่อว่าชาวบ้านน่าเชื่อถือมากกว่าเพราะมีเหตุผลที่ดีกว่า เขาพูดเหมือนประสบการณ์ตรงของผมเองคือ เมื่อก่อนไม่เคยมีช้างอยู่บริเวณนี้ สามสิบปีหลังมานี้จึงมีช้างมาตลอด และอีกอย่าง ช้างเหล่านี้ ไม่เข้าป่า ไม่กลัวคน ชอบเดินเข้าหาของกินรอบๆ หมู่บ้าน พืชไร่พืชสวนที่ผ่านพบ กินรั้งถอนหักทิ้งเล่นตามสบายใจ พืชเก่าหลักๆ ที่เคยปลูก ไม่ว่าจะเป็นอ้อย มันสำปะหลังต้องมีคนเฝ้า เพราะหากไม่เฝ้า เช้ามาอาจเสียหายหลายไร่ต่อคืน

            ขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดคำนึงถึงสถานการณ์ภายในหมู่บ้านท่ามะนาวอย่างเพลิดเพลิน หูแว่วได้ยินเสียงประทัด ระเบิดเสียงดังปึงปังขึ้นจากหลายทิศทาง รู้ได้ทันทีว่า เป็นเสียงประทัดไล่ช้าง บางคราอดคิดไม่ได้ว่า ทางนี้ไล่ช้างไปทางโน้น ส่วนทางโน้นก็ไล่ช้างมาทางนี้ เป็นอันว่าแต่ละคนไล่ช้างให้วนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น แปลกที่ช้างก็แค่เดินหนีไปทางบ้าง ทางนั้นบ้าง เผลอก็วนกลับมาหากินอีกเหมือนเดิม ปัจจุบันกลายเป็นกิจประจำของคนในหมู่บ้านที่จะต้องระวังบ้าน และพืชไร่พืชสวนของตนเอง เกษตรกรรายใหญ่หน่อย ก็จำเป็นต้องยอมเสียเงินจ้างคนเฝ้าเรือกสวนไร่นาของตน

            วันก่อนผมผ่านเข้าป่าท้ายหมู่บ้าน เห็นบนต้นไม้ขนาดกลางมีห้างผูกไว้ข้างบนสูงเกินหลังช้างขึ้นไปนิดหน่อย พูดคุยกับชาวบ้านจึงรู้ว่าเป็นห้างเฝ้าช้าง ไม่ใช่ห้างยิ่งสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั่วไป เขาเล่าว่า บางครั้งคนเฝ้าช้างเผลอหลับไปไม่ทันรู้ตัวว่าช้างเดินไปผ่านไปเข้าไร่สวน พวกอีกมุมหนึ่งเห็นช้างป่าปล่อยจึงจุดพลุไฟขึ้น คนนี้เพิ่งจะรู้ตัว แบบนี้ก็มี บางรายนอนบนพื้นดิน หลบๆ หน่อยจึงรู้สึกตัวง่าย เพราะต้องคอยระวังช้างจะบุกเดินเพลินเข้ามาเหยียบเอาได้

            ขณะที่เอนนอนพักผ่อนหน้าบ้าน ยังได้ยินเสียงประทัดบ้างพลุไฟบ้างที่ชาวบ้าน หรือคนไล่ช้างจุดดังขึ้นที่นั่นที่นี่ ผมอดมองไปทางชายป่าหน้าบ้านบ่อยๆ ไม่ค่อยได้ เพราะตอนผมไม่อยู่บ้าน ช้างเคยเดินผ่านออกจากชายป่า ผ่านมาเดินวนรอบบ้าน ทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นสองสามครั้งแล้ว ต้นไม้ที่ปลูกไว้ถูกหักเล่นบ้าง หักไปกินบ้าง เหยียบโดยไม่ตั้งใจบ้าง แม้ฝาครอบบ่อเกรอะข้างบ้านยังมีรอยยุบลงตรงกลาง โชคยังดีไม่ถึงกับพัง เพราะช้างอาจรู้ตัวอย่างตรงนี้อาจทำให้บ่อได้ จึงรีบออกจากบริเวณนี้ไปเสียก่อน ต้นมะระกอท้ายบ้านปลูกไว้ได้กินลูกมาต่อเนื่อง ถูกเหนี่ยวล้มลงพร้อมทั้งลูกเต็มคอ ต้นสับปะรดห้าต้นปลูกไว้ที่หน้าบ้าน ถูกถอนและหักยอดเล็กๆ กินหมดทุกต้น โชคดีว่า ผมปลูกด้วยกลยุทธ “ถี่รอดตาช้าง ห่างรอดตาเล็น” คือปลูกตรงนี้ 5 ต้น ปลูกหลังบ้านอีก 5 ต้น ปลูกมุมด้านหลังอีกมุมหนึ่งอีก 5 ต้น จึงยังมีส่วนที่เหลืออยู่บ้าง ส่วนที่ถูกถอนไปแล้ว ก็ลองนำกลับมาปลูกอีกรดน้ำพรวนดินอย่างดี บางต้นก็รอด บางต้นก็ตาย

            ผมจากบ้านท่ามะนาวตั้งแต่อายุ 14 ปี หลังจบประถมปีที่4 เพื่อไปศึกษาต่อตามแต่ชีวิตจะพาไป เรียนแล้วก็ทำงานที่อื่นๆ กรุงเทพฯบ้าง หัวหินบ้าง เพราะสอบเข้ารับราชการได้และอยู่มาจนใกล้เกษียณจึงคิดจะกลับบ้าน เพราะที่นี่มีรกราก มีที่ดินจำนวนหนึ่งที่แม่แบ่งไว้ให้ มีหมู่ญาติอีกจำนวนหนึ่งอยู่ที่นี่ อยู่ที่อื่นคงไม่อบอุ่นเหมือนที่นี่

            ผ่านมาสี่สิบกว่าปี หมู่บ้านท่ามะนาวยังเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เหมือนเดิม ความเปลี่ยนแปลงไม่มากมายอะไร มองเห็นเพียงกระแสทุนนิยมเข้าสู่หมู่บ้าน เห็นที่ดินว่างจำนวนมาก เพราะว่าเจ้าของเดิมขายให้แก่นายทุนมาจากที่อื่น เจ้าของที่ดินใหม่บางรายจัดทำบ้านพักบ้าง รีสอร์ทบ้าง แล้วรับเจ้าของที่ดินเดิมกลับเข้าไปทำงานรับจ้างในที่ดินของตน รู้สึกเสียดายว่า ความรู้และคำสอนของพ่อหลวงรัชกาลที่9 ที่เผยแพร่ไปไกลถึงต่างแดน แต่มาถึงหมู่บ้านท่ามะนาวช้าเกินไป แน่ใจว่า หากความรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรประณีต ได้รับการนำสู่การปฏิบัติโดยผู้นำที่มีความรู้ในชุมชน

            อีกอย่างที่เปลี่ยนไปคือ หมู่บ้านไม่เคยมีช้าง ก็กลายเป็นหมู่บ้านที่มีช้างขึ้นมาได้ เป็นที่มาของคำว่า “ช้างป่าปล่อย” ตามที่ชาวบ้านเขาเรียกกัน แม้ว่าราชการกรมป่าไม้จะไม่มีใครยอมรับต่างยืนยันว่าเป็นช้างป่าแน่นอน ส่วนชาวบ้านอ้างด้วยหลักฐานว่า ช้างป่าปล่อย เพราะไม่เห็นกลัวคน แถมชอบเดินตัดลัดเลาะเข้าสู่หมู่บ้าน ชอบอยู่กับคน เพราะมีอาหารให้กิน คุ้นชินกับการเดินลัดเลาะแถวๆ หมู่บ้าน

            แอบคิดไว้ว่า เกษียณแล้วต้องย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ คงต้องได้เผชิญกับช้างทุกค่ำคืน จะทำอย่างไรดี มีโอกาสคุยกับชาวบ้านหลายคน มีความคิดเห็นแตกต่างกันไป บางคนคิดอ่านการณ์ไกล เลี้ยงผึ้งไว้เป็นรั้ว ยังขาดตัวอย่างแห่งความสำเร็จในแถวๆ ใกล้เคียง แต่เริ่มมีคนลงมือปฏิบัติบ้างแล้ว บางคนเลี้ยงมดแดงไว้ตามแนวรั้ว เพื่อคอยไล่ช้าง หากเดินผ่านเข้ามาแล้วถูกมดแดงกัด ผมคิดถึงแนวรั้วต้นมะขาม ใช่ครับมะขามเปรี้ยวเรานี่แหละ ต้นเหนียว รากลึก ร้อนแล้งอย่างไรก็ไม่ค่อยตาย หากเป็นไปได้อยากนำเอาแนวคิดป้องกันช้างทั้งหลายมารวมกันเป็นแนวรั้วของเรา ปลูกแนวรั้วจากเม็ดมะขามสูงท่วมเอว หาผึ้งโพลง ผึ้งหวี่มาเลี้ยงตามแนวมะขาม แถมด้วยการเลี้ยงมดแดงไปด้วยในตัว ทำอย่างไรไม่ให้สัตว์เลี้ยงเหล่านี้กัดกันเองตายไปเสียหมดก็พอ และที่สำคัญต้องไม่โดนพิษสัตว์กัดต่อยเอาเสียเอง

            มีคำถามว่า จะกลับมาทำอะไรป่านนี้แล้ว บ้านเราจะมีอะไรให้ทำ ผมเองก็งงๆ อยู่เหมือนกันว่าจะกลับมาทำอะไรที่บ้านเกิด จะเหงาไหมหากไม่มีงานให้ทำมากนัก แต่พอลองไปอยู่พักช่วงวันเสาร์อาทิตย์เพื่อเตรียมการปรับตัวให้เคยชินกับการใช้ชีวิตในชนบท งานสร้างสวนสร้างไร่ปลูกต้นไม้พรวนดินขุดหลุมนานาประการมากมายจนทำไม่หมด ดีหน่อยตรงที่ว่า เราไม่รีบร้อน ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นลมเสียชีพไปเสียก่อนแน่

            ท่ามะนาวริมราวป่าหลังเกษียณ อาจมีงานการต่างๆ ให้ทำมากมาย งานสวนส่วนตัวที่ต้องสร้างขึ้นทีละน้อยๆ แบบเดินทีละก้าวกินข้าวทีละคำทำทีละอย่าง คงต้องทำตลอดเวลาทีเหลืออยู่ งานด้านช่วยเหลือสังคมบ้านเกิดอีกเล่าจะทำอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง หวังไว้ว่า อยากให้มีร้านค้าของหมู่บ้านที่ชาวบ้านมาร่วมกันขายสินค้าในหมู่บ้าน อยากสอนภาษาอังกฤษให้แก่เด็กๆในหมู่บ้านด้วยราคาเล็กๆน้อยพอบันเทิง อยากขายปุ๋ย อยากขายพันธุ์ไม้ อยากมีพืชผักปลูกเองกินเอง อยากนอนตายตาหลับที่บ้านหลังเล็กของตนเองด้วยการสวดมนต์ภาวนา สาธุ

หมายเลขบันทึก: 648692เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2018 10:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 กรกฎาคม 2018 10:24 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท