เยี่ยวเล็ดมั้ยยายกับสามีสาธารณะ


“หมอคะ ถ้าผู้ชายมีอสุจิที่เคลื่อนไหวดีไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ้นต์ เค้าจะมีลูกได้ไหมคะ”

ทันทีที่ผมได้ยินคำถามนี้ ก็ต้องหยุดพิมพ์ข้อมูลที่กำลังบันทึกข้อมูลการรักษาที่เพิ่งกระทำเสร็จไปเมื่อครู่ และหันมามองหน้าเธอ ขยับแว่นลงนิดหนึ่งและมองตาสาวสวยตรงหน้าเพื่อแสดงถึงการรับรู้ในสิ่งที่เธอถามมา

“เธอท้องแล้วเหรอ” ผมถามแกมหยอก เพราะคนตรงหน้าเธอเคยบอกผมว่า การแต่งงานที่ผ่านมาหลายปีนั้น เธอและสามีเฝ้ารอการมาของลูกมานาน และมันก็ไม่ประสบความสำเร็จสักที

“เปล่าค่ะหมอ คือ...” เธอหยุดนิดหนึ่ง

“มีผู้หญิงคนหนึ่ง เค้ามาอ้างว่าสามีของหนูทำให้เธอท้องค่ะ แต่หนูไม่เชื่อ จึงพาสามีไปตรวจน้ำเชื้อ และก็พบว่า มีเชื้อตัววิ่งเร็วๆอยู่ราวๆ ๔-๕% เท่านั้น ซึ่งเมื่อไปหาอ่านตามเน็ต เค้าก็มักจะเขียนว่า มันไม่น่าทำให้ท้อง คนที่เชื้อดีๆ มันควรมีสัก ๑๔% ไม่ใช่เหรอคะหมอ”

“จะว่าไป ฉันก็ไม่รู้หรอก ว่ามันจะทำให้ท้องได้ไหม โดยสถิติแล้วนั้น ตัววิ่งเร็วประมาณเท่านี้ทำให้ท้องได้ยากสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไร้น้ำยาเสียทีเดียว” 

เอิ่ม..อันที่จริงผมก็ไม่ได้จำเรื่องนี้ได้แม่นไปกว่าคนที่เพิ่งอ่านหนังสือมาหรอกนะครับ และจะว่ากันตรงๆก็คือ ผมเลิกอ่านหนังสือเรื่องการมีบุตรยากไปนานแล้ว นั่นเพราะงานหลักของผมคือการดูแลคนแก่ คนมดลูกหย่อน โผล่แลบ และฉี่เล็ดต่างหาก อีกทั้งผมก็มีความสุขกับการได้ดูแลยายๆย่าๆเหล่านั้นไปตามอัตภาพ

.......................

“ยาย พรือมั่ง” คำทักทายประสาคนปักษ์ใต้ถูกเอ่ยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าในวันที่ต้องลงมาตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอก

อายุเฉลี่ยของแต่ท่านก็ราวๆ ๗๐ ปี ความหย่อนยานและร่องรอยของผิวหนังนั้นพบได้ทุกส่วนของร่างกาย ผิว คิ้ว หนังตา นม และมดลูก

ส่วนไอ้ที่ตึง เข่น หู ก็ตึงเอาตึงเอา จนหลายๆครั้งก็ต้องตะโกนคุยกัน และไอ้ที่ดูๆว่าเข้าใจนั้น บางทีก็ต้องประเมินดีๆ ว่าที่ยายเข้าใจนั้น เราเข้าใจตรงกันไหม

ครั้งหนึ่ง ผมตรวจคุณยายติดๆกัน ๔ หรือ ๕ คนนี่แหละ แต่ละคนก็คุยกันคอแหบคอแห้ง เพราะผมต้องใช้เสียงดัง

ความพี้คมันอยู่ตรงที่ว่า ยายคนสุดท้ายแกเดินเข้ามา 

แกนั่งลง

“ม่อขา” เอิ่ม... มันคือ หมอขา

“หมอไม่ต้องตะโกนพูดกับยายก็ได้นะลูก ยายหูยังดีอยู่ ยายอายคนข้างนอก หมอคุยกับคนไข้แต่ละคน ได้ยินกันหมด ยายนี่อายแทนจริงๆนะ” 

ขำตัวเอง 

ขำได้ขำดี

นี่เราละเมิดเรื่องความลับผู้ป่วยมาตั้งแต่เมื่อไหร่หนา

และที่ขำอีกเรื่อง คือผมเชื่อว่า คนด้านนอกก็คงตั้งใจฟังไอ้ที่คนข้างในคุยกัน จึงได้รู้สึกอายไปด้วยเลยนั่นไง

และตั้งแต่ยายคนนั้นบอกมา ผมก็ปรับตัวเองประหนึ่งวิทยุทรานซิ้สสะเต้อร์ หมุนลดเพิ่มเสียงได้โดยมิเคยลืมอีกเลย

....................

“แล้วเธอว่ายังไงล่ะ” ผมลดเสียงต่ำลง เพื่อที่จะได้แน่ใจว่า การคุยของผมและเธอนั้นจะได้ยินกันเพียง ๒ คนเท่านั้นจริงๆ

“หนูก็ไม่เชื่อหรอกนะคะ จึงพาเค้าไปตรวจน้ำเชื้อไง ผลก็ออกมาอย่างที่บอกหมอนั่นแหละค่ะ” เธอตอบ

“และตอนนี้หนูก็เลยกลายเป็นหมาหัวเน่า เพราะแฟนหนูเค้าก็ดูดีใจจนออกนอกหน้า เค้าบอกว่า เค้ามีลูกได้จริงๆ หนูเสียอีกที่มีลูกกับเค้าไม่ได้”

ผมยื่นกระดาษทิชชู่ให้เธอเพื่อซับน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นออกมา

“ขอบคุณค่ะ ว่าจะไม่ร้องไห้แล้วจริงๆนะคะเนี่ย” ผมปล่อยให้ความเงียบเป็นผู้ดำเนินเรื่องระยะหนึ่ง

“อันที่จริง ถ้าหากเค้า เอิ่ม..ฉันหมายถึงผู้หญิงคนนั้นแบกท้องจนลูกคลอดออกมา เรายังสามารถตรวจได้นะ ว่าเด็กเป็นลูกของแฟนเธอหรือเปล่า” ผมเองก็ไม่รู้จะแนะนำอะไรต่อไปอีก เพราะคุยเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยถนัด เพราะผมเองก็ยังไม่เคยมีโอกาสไปทำให้ผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เมียท้องกับเขาสักทีนึง เอ๊ะ เอาใหม่ ผมเองก็ยังไม่เคยไปได้เสียกับใครคนอื่นที่ไม่ใช่เมียของตัวเองสักที (เออ..ค่อยยังชั่วหน่อย) จึงไม่รู้จะแสดงอารมณ์อะไรออกไปขณะพูดคุยกัน

“ค่ะหมอ แต่ผู้หญิงคนนั้นเค้าก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมให้ตรวจเลือดเด็กค่ะ” เธอยังคงเล่ามา

“ครับ แบบนี้ยิ่งทำให้เรานึกไปได้ไกลเลยนะ ว่ามันคือการท้องกับแฟนเธอจริงรึเปล่า ทำไมจึงไม่ยอมให้ตรวจ และเอ๊ะ..” ผมหยุดเพราะเกิดอาการสะกิดใจ

“ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรกับแฟนเธอคนเดียวสินะ” ผมตั้งสมมติฐานออกมา

“ค่ะหมอ หนูก็รู้สึกแบบนั้น” เธอยิ้มออกมานิดหนึ่ง

“ผมคิดว่า เรื่องราวแบบนี้ มันเป็นเรื่องของการสมยอม ขอโทษนะที่ผมจะพูดออกมาว่า แฟนเธอเองก็ยอมรับจริงๆว่าเค้าไปมีผู้หญิงคนอื่น และการแสดงออกตามที่เธอเล่ามานั้น มันก็คือ กมลสันดาน ของเขา แล้วเธอก็ทราบ” ผมจบคำพูดที่คล้ายประโยคคำถาม และเธอก็พยักหน้าตอบเบาๆ

“ถามจริงเถอะ เธอมีงานทำไหม” ผมถาม 

“ค่ะ...มี” 

“เธอเลี้ยงตัวเองได้ไหม หมอกำลังหมายถึง มีเงินพอใช้อย่างสบายๆน่ะ”

“แน่นอนค่ะหมอ” เธอคงกำลังงง ว่าผมกำลังพาเธอออกไปทางไหน

“ดีจังเลยนะครับ เวลาผมได้คุยกับใครสักคนที่สามารถหาเลี้ยงชีวิตได้ด้วยตัวเองนี่ มันโคตรมีความสุขเลย และอันที่จริง เธอเองก็ควรรู้สึกมีความสุขอย่างที่ฉันมีให้เธอด้วยนะ”

หญิงสาวตรงหน้า ยังคงมองหน้าผม ทำท่าฉงน

“นั่นเป็นเพราะว่า เธอไม่ต้องมานั่งรอนอนรอให้ผู้ชายมันมาหา บำเรอความใคร่ได้โดยข่มเหงน้ำใจยังไงล่ะ” โห....นี่ผมพูดอะไรออกไปวะเนี่ย แต่เชื่อเถิด คิดแบบนี้จริงๆ มิได้เติมแต่ง

“จริงค่ะหมอ ถึงตอนนี้เอง หนูก็พยายามถามตัวเองแบบนี้อยู่ตลอด ว่ามันใช่เหรอ” เธอยังคงต้องเช็ดน้ำตาอยู่เรื่อยๆ 

“ดีครับ ถามตัวเอง ทบทวนตัวเองบ่อยๆนะครับ เพราะหากเรายอมให้ผู้ชายมีคนอื่นได้ วันหนึ่งมันอาจจะเอาโรคมาให้เราได้ด้วย ถ้าเธอยังคงต้องอยู่กับเขาต่อไป หมอแนะนำว่า เธอควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งนะครับ อย่างน้อย จะได้ไม่ติดโรคจากผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเธอคนนั้นอาจจะไปมีอะไรกับใครอีกกี่คนก็ไม่รู้” ผมกำลังหมายถึงพฤติกรรมเสี่ยงของแฟนเธอ และผู้หญิงของแฟนเธอ และผู้ชายของผู้หญิงของแฟนเธอ และผู้หญิงอื่นของผู้ชายของผู้หญิงของแฟนเธอ เอา....เอาเข้าไป

การสนทนากับเธอ ทำให้ผมได้คิด ว่าชีวิตและครอบครัวของเราดีขนาดไหน

....................

“ยายครับ ยายมีอาการเยี่ยวเล็ดด้วยไหมครับ” ผมถามคนไข้สูงอายุตรงหน้า ที่มาหาผมด้วยอาการมดลูกโผล่ออกมานอกช่องคลอด

“ไม่เย็ดค่ะ” ยายตอบ และทันใดนั้น ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมในห้องตรวจชั่วอึดใจ

“ม่อขา” ยายหรี่เสียงจนแทบกระซิบ แต่นั่นแหละ คนหูตึงทำท่ากระซิบเสียเท่าไหร่ มันก็ยังคงเป็นเสียงที่ยังคงดังตามปกติอยู่นั่นเอง

“หมอได้ยิน เหมือนที่ยายได้ยินไหมหมอ” แกกระซิบพร้อมหน้าตาแตกตื่น

“ครับได้ยิน หมอเชื่อว่า อายุปูนนี้แล้ว ไม่เล็ดก็ไม่เล็ด นะยายนะ” ผมก็ทำท่าเหมือนกระซิบตอบ

แล้วเรา ๒ คนก็หัวเราะกันลั่นห้องตรวจ

คนไข้ที่รออยู่ด้านนอกคงจะงง ว่าหมอกับคนไข้มีอะไร ทำไมจึงต้องหัวเราะกันดังขนาดนั้น

ธนพันธ์ ชูบุญเล็ดบ่อยอยู่ (ก็ตลกเสียแบบนี้)

๑๑ มิย ๖๑

หมายเลขบันทึก: 648075เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2018 19:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2018 19:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อ่านสนุกดีครับคุณหมอ ....  รู้รู้สึกเหมือนกันครับว่าชีวิตครอบครัวเราดีขนาดไหน....

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท