วันนี้ไปร่วมมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 3 ที่ BITEC บางนา ได้เยี่ยมชมบูธต่างๆ ที่แสดงการนำเครื่องมือ KM ไปใช้ในงาน เพื่อให้เกิดกระบวนการทำงาน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (sharing by story telling) และมีการสกัดหาขุมทรัพย์ความรู้ออกมาในชุมชน และเครือข่ายต่างๆ ช่วงสายได้ฟังบรรยายของ ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด เรื่อง ไหลลื่น ไปกับคลื่นปัญญา อาจารย์ได้ชี้ให้เห็นภาวะบุคคลที่เน้น personal mastery, share vision ของท่าน และได้ชี้ให้เห็นว่าในการทำ KM นั้นมันเป็นเนื้อเดียวกับ LO อย่างไรก็ตามในการทำ KM ให้ระวังกับดักของเครื่องมือ (KM trap) ซึ่งทำให้คนที่ทำ KM หลงทางและท้อถอย ซึ่งการแก้ไขใช้เทคนิคง่ายๆ ที่เรียกว่า 3L ได้แก่ learning , living (together) และ leading ซึ่งก็คือการทำงานด้วยใจ เพราะว่าการเรียนรู้นั้นเป็นส่วนของสมอง แต่การให้ความหมายอยู่ที่ใจ ซึ่งหากมีสติที่ดี มีมรรค 8 ก็จะทำให้เราได้เห็นถึงคำว่าสัจธรรม ซึ่งเป็นความจริงที่สุด รองลงมาคือจริยธรรมซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสัจธรรมกับการดำรงชีวิต และมีวัฒนธรรมเป็นรูปแบบของสังคม อ.ประพนธ์วาดให้เห็นเป็นต้นไม้ 1 ต้น ทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนยิ่ง
ตอนบ่ายได้เข้าฟังห้องการขับเคลื่อนความรู้ภาคการศึกษา ได้เห็นการเริ่มต้นอย่างจริงจังที่ไม่ใช้แค่การทำแผนในกระดาษตาม กพร. มีการนำเสนอกิจกรรมที่เกิดขึ้น การมีคุณอำนวย คุณกิจ และคุณลิขิตที่มุ่งมั่น แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (มีการบรรญัติศัพท์ ส.ว. คือ สูงวัย) กับบรรดาอาจารย์ ครูในทุกรุ่นวัย มีการนำ ICT มาร่วมใช้ ซึ่งที่ได้รับการทิ้งท้ายก็คือการนำเครื่องมือ KM ไปใช้ให้เด็กนักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ สำหรับผมเห็นว่าเด็กไทยรู้จักคิด วิเคราะห์ หากแต่ทำได้เฉพาะในกรอบที่เขารู้ กรอบที่ถูกสอน แต่ไม่อาจคิด วิเคราะห์ในภาพรวมได้ ไม่สามารถมองหาประเด็นจาก diversity ได้ นั่นต่างหากที่สำคัญ ดังนั้นเชื่อว่ากระบวนการ KM จะทำให้ครูมองหาสิ่งที่จะทำให้นักเรียนมองทุกอย่างเป็นภาพรวมเป็น
ตอนกลับบ้านเจอรถติดมากถึงมากที่สุด แค่ที่สี่แยกบางนาก็เสียเวลาไป 1 ชม. แล้ว ทำอย่างไรปัญหารถติดในบ้านเราจะได้ลดลงได้บ้าง ใครมีวิธีดีๆ ก็แนะนำกันหน่อยนะ
ไม่มีความเห็น