บังกาปู ตอนที่ 4
.....นั่งแล้วลุกเองไม่ได้.บางครั้ง จะเป็นเพื่อนพระนวกะองค์อื่นมาช่วยดึงแทนก็มี ส่วนใหญ่แล้วก็ได้ลูกนั่นแหละที่คอยช่วยดึงช่วยประคองดลอดเวลา เรียกได้ว่าแทบล้มลุกลุกคลานไปด้วยกันทุกวัน ชนิดที่ว่า แยกกันไม่ออกสักครั้ง ทั้งในเวลาบวชในโบสถ์ที่วัดไทยพุทธคะยา ,และคืนที่ไปนอนใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตลอดจนบนรถ ระหว่างเดินทางไปนมัสการปูชนียะสถานทั้งสี่แห่งที่แต่ละแห่งต้องวิ่งรถนานหลายชั่วโมงและครึ่งค่อนวันก็มีเช่นตอนเดินทางช่ววงสุดท้ายไปวัดไทยลุมพินี ประเทศเนปานที่ไปถึงในตอนกลางคืนหลายทุ่มทีเดียว ที่วัดไทยลุมพินีนี้ เหล่าพระนวกะทั้งหลาย ต้องเข้าพิธี ต่าง ๆ ที่กำหนดหลายครั้งจนถึงค่ำคืนเพราะเป็นแห่งสุดท้าย ของการบวชจนเมื่อครบกำหนดบวช ได้มีการจัดให้มีพิธีแจกประกาศนียบัตรให้แก่พระนวกะรุ่นนี้ที่นี่ โดยมีพระเดชพระคุณรองหัวหน้าพระธรรมทูตไทยในประเทศอินเดีย เป็นประธาน ในวันนั้น ทุกองค์ ต้องกล่าวประวัติของตนและข้อความสั้น ๆ ให้กันและกันฟัง ซึ่งแต่ละองค์ก็มีเรื่องของตัวที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นที่ครึกครืนไปทั้งห้อง
รุ่งขึ้น สถานทูตจัดรถบัสไปส่งผู้ร่วมบวชถวายกุศลทั้งหมดไปส่งขึ้นรถไฟที่เมือง พารานสี กลับเดลีเพื่อให้จับเครื่องบินกลับกรุงเทพฯต่อไป ผมกับลูกชาย ขอเลือกเดินทางไปเอง ด้วยการเช่าเหมารถทัวร์ท้องถิ่นที่เป็นรถเก๋งขนาดกลาง คนขับเป็นชายวัยกลางคนเป็นผู้มีความชำนาญทางและรู้จักสถานที่ต่าง ๆ ตามรายทาง เป็นอย่างดีคนหนึ่ง คุณลุงวัยกลางคนผู้นี้พาเราชมสถานที่ ๆ สำคัญที่วิ่งผ่านพร้อมแจ้งประวัติความเป็นมาให้ทราบอย่างไม่ขาดตกบกพร่องทุกแห่ง เราเดินทางยางไม่เร่งรีบแบบค่ำไหนนอนนั่น จนคืนวันนั้นประมาฯณ สี่ทุ่ม พอรถวิ่งเลยเมืองมาถึงชายป่ามีภูเขาเล็ก ๆ อยู่ข้างทางและห่างจากถนนเข้าไปทางภูเขาประมาณ 200า คุณลุงผู้ขับรถก็เกิดหัวใจวายรหว่าง.อธิบายความเป็นมาของภูเขาเล็ก ๆ ข้างทางที่เห็นนั้น ว่าเป็นเหมืองพลอยมีชื่อเสียง เราพ่อลูกต้องลงจากรถ เดินถึง 200 กว่าเมตร ไปขอความช่วยเหลือจากยามหน้าประตูถนนเข้าไปภูเขา ยามออกมาดูที่รถและสอบถามว่าเราเป็นใคร มาจากไหน จะไปไหนในยามค่ำคืนเช่นนี้ ก็บอกไปตามจริงว่าเป็นคนไทย มาบวชถวายกุศลให้พระเจ้าแผ่นดิน ยามรายงานให้ในสำนักงานทราบ สำนักานจึงแจ้งตำรวจท้องที่ให้มาตรวจสอบ แล้วให้ยามพาคนไทยใรถทั้งหมดเข้าไปพบหัวหน้าใหญ่ ผมกับลูกชายจึงถูกนำเข้าไปในสำนักงานบ่อพลอย หัวหน้าใหญ่สำนักงานถามพ่อลูกอีกว่า เป็นใคร มาทำอะไรมืดค่ำที่นี่ ก็ตอบไปเช่นเดิมว่า เป็นตนไทยมาบวชถวายกุศล80ปีให้ในหลวง ครบกำหนดบวชวันนี้ เหมารถทัวร์ท้องถิ่นกลับกรุงนิวเดลีเอง เพื่อดูภูมิประเทศรายทางมาเรื่อย ๆ จนตกค่ำ และถึงกลางคืนที่นี่ตอนนี้เองโดยไม่รู้ว่าที่นี่เป็นที่ไหน จนลุงคนขับหัวใจวายก่อนถึงทางเข้าเหมิองจึงเดินมาขอความช่วยเหลือจากยามปากทางนี่แหละโดยที่รู้เพียงว่าเป็นทางเข้าเหมืองพลอย หัวหน้าใหญ่ มองดูสร้อบนิลที่ข้อมือผมอยู่นาน แล้วเอามือมาจับ ถามผมว่า ได้สร้อยมาอย่างไร และจากใคร ก็ตอบไปว่า ได้มานานสิบกว่าปีแล้ว แล้วก็เล่าให้ฟังว่าเคยช่วยแขกขายถ้่วมัน ๆ คนหนึ่ง ที่ถูกคนวิ่งชนหกล้มในตรอกแคบ ฝั่งธนบุรี ห้วแม่เท้าถูกสังกะสีรั้วบาดเป็นแผลลึก ได้พาเข้าไปไส่ยาในบ้าน ให้ข้าวเย็นกิน และพาไปฉีดยาแก้บาดทะยัก โดยออกค่ายาให้ทั้งหมด เพราะสงสาร กับพาข้ามฟากกลับไปฝั่งกรุงเทพฯออกค่ารถกลับบ้านให้อีกด้วย หากมีเงินเหลือพอให้นำไปซื้อลอตเตอรรี่ เผื่อจะมีโชคถูกรางวัลที่ 1 จะได้ไม่ต้องเดินต๊อกต๊อกขายถั่วอีก บังคนนั้น ถอดสร้อยนิลนี้ออกจากข้อมือเขามาสรวมที่ข้อมือผม ด้วยน้ำตาคลอด้วยตื้นตันใจให้ผมเป็นการตอบแทนน้ำใจที่มีให้เขาทั้ง ๆ ที่เขาอยู่ในสถานะที่ต่ำต้อยมาก ๆ ในสายตาคนไทย และไม่เคยรู้จักกันมาก่อน บังบอกว่าสร้อยนี้เป็นสร้อยศักสิทธิ ให้รักษาไว้ให้ดีวันหน้าหากเขาถูกลอตเตอรี่จากเงินที่เหลือจากค่ารถที่ผมให้เขาไป หรือเขามีเงินทองลืมตาอ้าปาก มีเงินมีทองตั้งตัวได้ เขาจะมาตอบแทนผม หากเขาจะตายก่อน ๆ ได้ตอบแทนผม เขาจะสั่งเสียให้ลูกหลานติดตามหาผมแทน เขา แทนต่อไปจนกว่าจะพบ จากนั้นเขาสัญญาว่าเขาจะไม่ลืมบุญคุณผม บอกชื่อว่า ชื่อ บังกาปู เป็นชาวเมือง กาปูระ ประเทศอินเดีย เคยเป็นหัวหน้าคนงานเหมืองพลอยแห่งหนึ่งที่อินเดีย แต่รายได้น้อย จึงลาออกไปหางานทำตามประเทศใกล้เคียงแล้วหลายประเทศจนมาถึงประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว อยู่ร่วมกันในย่านชุมชนคนเร่ร่อนชาวอินเดีย ทำมาหากินด้วยการเดินเร่ขายถั่วทอดชนิดต่าง ๆ ตามย่านชุมชนต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ ทุกวัน มีรายได้ไม่มากนักแต่ได้ทุกวัน พออยู่ได้ดีกว่าที่อินเดีย จึงอยู่มาเรื่อย ๆ ผมบอกว่า ผมชื่อ ถกล ทำงานทีกรมไปรษณีย์ บางรัก จากนั้น เราทั้งสองก็จากกัน ปีต่อมา ผมสอบชิงทุนไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นได้ อยู่ที่ญี่ปุ่น 3 เดือน ระหว่างนั้น ได้รับแจ้งจากภรรยาว่า บังกาปู ไปหาที่บ้าน บอกว่ามีของจะให้ แต่จะให้กับมือผมเท่านั้นจึงไม่ได้ฝากไว้ ผมรู้สึกว่า บังกาปู ช่างเป็นคนมีกตัญญูและความซื่อสัตย์ แม้จะต่ำต้อย ต่อมาอีกหลายปี จนผมเกษียรอายและลืมเรื่องที่เคยพบกับกาปูไปเลย ต่อมา รัฐบาลเปิดให้ประชาชนบวชถวายกุศลให้แก่ในหลวง ร. 9 โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ผมสมัครบวชด้วย โดยไปบวชที่วัด ไทยพุทธคยา ในประเทศอินเดีย ที่ลูกชายทำงานที่นั่น ลูกชายก็ขอร่วมบวชด้วยเพื่อคอยดูแลพ่อเวลาลุกและนั่ง......( โปรดรออ่านตอน 14.
ไม่มีความเห็น