พบหมอนวดหายปวดหลัง


อาทิตย์ที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๐ แม่ของภรรยาติดต่อหมอนวดรักษาเส้น ซึ่งเป็นหลานของย่าฝ่ายภรรยา ให้มาให้บริการที่บ้าน ผมตื่นเช้าปัดกวาดเช็ดถูบ้าน เช็ดกระจก เช็ดเก้าอี้ไม้นั่งเล่นในห้องใต้บ้าน ระหว่างรอป้าที่นัดไว้ประมาณ ๙ โมงเช้า ก็เปิดคาราโอเกะสลัดเสลดในลำคอไปสองสามเพลง ต้องรีบยุติลงเพราะเกรงป้าที่นัดไว้จะหนวกหู

ป้าอายุประมาณ ๖๐ ร่างกายอ้วน เดินถือหม้อไฟฟ้าสำหรับต้มตัวยาประคบ และอุปกรณ์สำหรับนวดเดินมาภายในบ้าน เพราะร่างกายที่อ้วนทำให้การเดินของท่านค่อนข้างอุ้ยอ้าย เชิญท่านมานั่งตามอัธยาศัยภายในบ้านที่เตรียมไว้ ดูแล้วน่าเศร้า ร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชรา จะเดินก็ลำบาก จะนั่งก็ลำบาก จะลุกขึ้นยืนก็ลำบาก ยิ่งร้างกายอ้วนด้วยแล้วยิ่งลำบาก ทำให้ผมเกิดความตระหนักว่า ชีวิตมันมีแต่ทุกข์จริงๆ เพราะร่างกายที่ลำบากนี้เองคือทุกข์ ทุกข์เพราะไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการ 

ท่านบอกให้ใครจะเป็นลำดับแรกให้มานอนนิ่งๆ พักก่อนประมาณ ๑๕ นาที ผมได้รับความรู้ว่า การพัก ๑๕ นาทีคือการให้ร่างกายนิ่งปกติ อนึ่ง คนที่จะมารับการนวดนั้น จะต้องไม่กินอาหารเช้า เพราะถ้ากินอาหารเช้าเส้นจะเต้นกำหนดยาก ผมเป็นลำดับแรก อันที่จริงผมไม่ได้อะไรกับเรื่องแบบนี้ รู้ว่าปวดหลังมานาน ยิ่งสองวันมานี้ปวดร้าวแนวกระดูสันหลังเลย แต่ก็อยู่ได้ อยู่ได้เพราะรับรู้อาการปวดนั้น ประมาณ ๑๕ นาที คุณป้าหมอก็มาที่ฝ่าเท้า ใช้นิ้วกดแรงๆ สักพักใหญ่ ป้าก็บอกว่า ๑)..........................๒)...........................๓).............................. ทั้ง ๓ ประการเป็นการโจทน์ที่ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมตื่นเต้นมากมาย เพราะ ๑) สิ่งที่ป้าหมอโจทย์มานั้น อาจฟังมาจากญาติซึ่งคือแม่ก็ได้ ๒) สิ่งที่ป้าหมอโจทย์มานั้น อาจประมวลจากคำพูดและข้อสังเกตบางอย่างในครอบครัวก็ได้ 

ท่านเสนอแนะอะไรบางอย่างให้ผม ผมไม่ขัดเรื่องนี้ เพราะไม่ได้เดือดร้อนกับการต้องจ่ายเงินที่ดูแล้วไม่ได้มากอะไรเพื่อให้ได้มาซึ่งยาสมุนไพร ส่วนจะกินหรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องหนึ่งที่ผมได้ทำคือ ไม่ได้ทำให้ป้าหมอผิดหวัง :-) ในความหวังดีที่ให้มา 

ท่านเรื่องนวดที่ฝ่าเท้า มาที่ขา ที่สะโพก เส้นระหว่างกระดูกสันหลัง ก่อนนั้นทายาหม่องโบราณยี่ห้อ.....รับรู้ได้ว่า ยานี้ร้อนดีมาก แรงดีกว่าอื่นๆที่เคยทาถูกันมา นวดศีรษะที่แม่บอกว่า "ได้แรง" แต่ผมกลับเฉยๆ ประคบด้วยยาสมุนไพร ที่แม่บอกว่า "ดีมาก" แต่ผมรู้สึกเฉยๆ 

ระหว่างที่นวดไปป้าก็คุยไป คุยเก่งมาก ขณะที่ผมก็อยากเรียนรู้เรื่องแบบนี้อยู่พอดี เมื่อเสร็จเรื่่อง ผมลุกขึ้นนั่ง สิ่งที่รับรู้จัดเจนคือ อาการปวดร้าวแนวกระดูกสันหลังหายไป จนวันนี้ผมก็ยังไม่รู้สึกปวดร้าวดังกล่าว อาการปวดร้าวแนวกระดูกสันหลังนี้ผมเป็นมาหลายสิบปี พบใครที่เขาชอบบีบชอบนวด ก็ลองกับเขา บีบยังไงก็ไม่ถึง แต่มาพบป้าหมอ ผมต้องยอมรับในระดับหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ต้องรอดูอาการกันต่อไป 

อย่างไรก็ตาม ผมเกิดการเรียนรู้หลายอย่าง ๑) ป้าหมอเคยสละครอบครัว ออกจากบ้าน ด้วยเสื้อผ้าชุดเดียว มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง และคิดว่า ถ้าไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ จะไม่ย้อนกลับมา เพราะถ้าเราเดินจาก ๑-๙ แล้วกลับมาเดินใหม่ เราก็จะเดินย่ำอยู่ที่เดิม จะไม่ถึง ๑๐ ป้าหมอตัวคนเดียวมุ่งมั่นเรียนเสริมสวย เปิดร้านแต่ไม่สำเร็จ มุ่งหน้าไปเรียนนวดที่วัดโพธิ์ สำเร็จเป็นอันดับ ๑ ของรุ่น ป้าหมอเล่าให้ฟังว่า ครูบาอาจารย์สมัยก่อนจะทดสอบก่อนว่าใครควรจะได้เรียนวิชาพวกนี้ มีอยู่ ๓ อย่างคือ ใช้มือซุกเข้าไปในทรายที่ร้อน ใช้มือทั้งสองลูบต้นกล้วยที่เผาร้อนๆ อีกอย่างจำไม่ได้ ผมรับรู้เรื่องนี้ว่า ครูบาอาจารย์สมัยก่อนต้องการดูความแน่วแน่ของศิษย์ว่าต้องการจะเรียนจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ป้าหมอบอกว่า หลายคนที่ไม่กล้าทำ จึงไม่ผ่านที่จะเข้ามาเรียนวิชาเหล่านี้ ส่วนป้าหมอก็กลัวเหมือนกัน แต่เมื่อเดินหน้าแล้วจะไม่ถอย เมื่อเรียนจบจึงไปสมัครงานกับเรือท่องทะเล แรกๆ ๔ เดือนจึงจะได้ขึ้นบกครั้งหนึ่ง มีเงินเหลือพอสมควร ท่านบอกว่า ติ๊บที่ฝรั่งให้มานั้น สมัยก่อนไม่มีการแบ่งเปอร์เซ็นต์เหมือนสมัยนี้ ดังนั้น จึงได้ค่อนข้างเป็นกอบเป็นกำ หลังๆ เป็นปีกว่าจะได้ขึ้นบก สองปีกว่าจะได้ขึ้นบก เมื่อเก็บเงินได้ในระดับที่ไม่เดือดร้อนแล้ว จึงกลับมารับลูกไปอยู่ด้วย ปัจจุบันลูกๆ ไม่ได้เดือดร้อน สามีเก่าได้ภรรยาใหม่มีลูกหลายคน ล่าสุดสามีนำเงินมาให้สามแสน (อันนี้ย่าเล่าให้ฟัง) แต่ป้าหมอไม่รับ และบอกให้เอาไปแบ่งให้ลูกๆ ๓ คนเถอ เพราะป้าหมอไม่ได้ลำบากเรื่องเงิน ลูกๆขอให้พ่อมาอยู่ด้วยและมาเคลียร์กับแม่ให้ แต่ป้าหมอบอกว่า "เมื่อฉันเดินหน้าแล้ว ฉันจะไม่กลับหลัง" ปัจจุบันป้าหมอเป็นห่วงหลานมาก ไม่อยากให้หลานมีความรู้สึกว่าถูกทิ้ง บางครั้งหลานบอกว่า "อย่าทิ้งหนูนะ" คำนี้ทำให้ป้าหมอเจ็บปวดทุกครั้ง ได้แต่คิดว่า เด็กเขาคงไม่รู้อะไร ประเด็นนี้ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า ป้าหมอเป็นคนเด็ดขาด แต่ภายใต้ความเด็ดขาดก็ซ่อนลึกความเจ็บปวดบางอย่างไว้ ๒) เมื่อคราวที่เก็บเงินได้เพียงพอแล้ว ป้าหมอเลิกอาชีพนวด แต่แล้วก็ประสบอุบัติเหตุ เดินไม่ได้ เป็นเวลา ๓ ปี ต้องให้ลูกเขยและลูกสาวคอยหิ้วปีก เมื่อต้องเดินไปไหน สุดท้ายคิดว่า เกิดอะไรขึ้น จึงมาคุยกับหลวงพ่อวัดท่าเคียน (เข้าใจว่าน่าจะเป็นท่านเสน เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน) พระท่านทักว่า ติดค้างอะไรอยู่หรือเปล่า ป้าหมอบอกว่า ไม่ได้ติดค้างอะไรใคร แต่ก็ใคร่ครวญไปมา ประจวบกับไปคุยกับพระที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้รับรู้ว่าสิ่งที่ตนเรียนมานั้น ตนไม่ได้ทำไปใช้ประโยชน์เพื่อคนอื่น จึงไปจุดธูปขอขมาครูบาอาจารย์ที่สอนวิชานวดเส้นมาให้ ทันทีที่ขอขมาเสร็จ ก็สามารถลุกขึ้นเดินได้เองจนถึงทุกวันนี้ ป้าหมอบอกว่า จริงๆแล้วไม่อยากจะนวดใครแล้ว แต่จำเป็นต้องนวด เพื่อนำวิชาที่ได้รับมานั้นไปใช้ประโยชน์ต่อคนอื่นๆ หลายคนมาเรียน ป้าก็ไม่ได้หวงวิชาอะไร แต่เรียนกันไม่ได้เท่าไรก็หายหน้าหายตากันไป การที่ป้าหมอบอกว่า ได้เรียนวิชานวดเส้นมาแล้ว จะต้องใช้วิชานั้นให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ทำให้ผมตระหนักรู้ว่า ผมก็เช่นกัน เรียนสิ่งใดมาแล้วก็ควรนำสิ่งที่เรียนนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมด้วยเช่นกัน ข้อนี้มีนัยดังนี้คือ "ช่องว่าง" ที่เราเข้าไปนั่งนั้น คนอื่นเขาก็อยากนั่งเหมือนกัน เมื่อนั่งแล้วควรนำสิ่งที่เราได้รับประโยชน์จากที่นั่งนั้นเผื่อแผ่ผู้อื่น เพราะถ้าเราไม่เผื่อแผ่ผู้อื่น มันเสียประโยชน์ของช่องว่างที่เราเข้าไปนั่ง ช่องว่างดังกล่าวควรให้คนอื่นจะดีกว่า ดีกว่าเราที่ได้นั่งแล้วได้รับประโยชน์จากการนั่งแต่ไม่ได้ทำประโยชน์ให้เกิดขยายต่อคนอื่นหรือไม่ได้ทำประโยชน์รองรับช่องว่างให้คนอื่นมานั่ง มันจึงเป็นการ "เสียประโยชน์" "อย่าไปนั่งเพื่อทำประโยชน์ของคนอื่นให้เสียไปจะดีกว่า" ป้าหมอบอกให้ทราบว่า ปัจจุบัน ป้าไม่อาจรับคนได้เกินกว่า ๓ คน/วัน เพราะเหนื่อย ต้องใช้พลังข้างในเยอะมาก ซึ่งผมรับรู้เรื่องนี้เพราะป้าจะกดและเค้นเส้นรับรู้ได้ว่าใช้กำลังเยอะ แต่มองเห็นป้านิ่งๆ การทำทุกวันนี้เป็นการทำหน้าที่สานต่อวิชาที่ได้เรียน ส่วนหนึ่งเพื่อร่างกายป้าจะเดินได้โดยไม่ต้องให้ใครมาลำบากแทน อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังสงสารป้าอยู่ดี เพราะถ้านั่งแล้วจะลุกขึ้นลำบาก คนถูกนวดต้องหันตัวเอาเอง 

ประมาณบ่าย ๒ โมง ป้าจึงได้กินอาหารกลางวัน ป้ายังใช้วิธีโบราณคือ ผ้าเช็ดมือ ใช้น้ำล้างมือ ทำให้นึกถึงย่าของผมที่ท่านเสียไปแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน 

สัปดาห์หน้า นัดนวดอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนั้นก็สังเกตการนวดไปด้วย จะได้เรียนรู้วิชานวดที่ไม่กล้าไปเรียน เพราะต้องถือโน้นถือนี้หลายเรื่อง โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องคาถาอาคม ที่ผมไม่ได้เชื่อมั่นว่าจะจริง แต่คนโบราณจำนวนหนึ่งเชื่อว่าจริง เพราะได้รับผลที่ดีจริงจากความเชื่อดังกล่าว หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เคยกล่าวว่า การเชื่อในสิ่งที่เราสัมผัสได้ รับรู้ได้ พบจริง เจอจริง อันนี้ควรเชื่อ (ผี) แต่ถ้าไม่รู้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยเจอแล้วเชื่อ อันนี้ไม่ควรเชื่อ 

คำสำคัญ (Tags): #นวดเส้น
หมายเลขบันทึก: 644099เขียนเมื่อ 22 มกราคม 2018 08:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มกราคม 2018 08:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท