เที่ยวเขาหลัก พังงา ๒๕๖๐-๑


ผมล้อเล่นกับเจ้าจ้าอยู่เสมอๆ ว่า “เราได้เธอมาจากสึนามิ”

เปล่าเลย เราไม่ได้ไปเก็บเด็กทารกมาเลี้ยงสักหน่อย แต่การที่มีคนสูญหายจากภัยพิบัติมากมายเป็นหลักแสนนั้น มวลพลังงานเหล่านั้นย่อมไม่น่าจะสูญหายไปไหนเฉยๆ ผมเลยตั้งทฤษฎีของผมขึ้นมา “ก็รีบมาเกิดสิ” เพราะหากใครช่างสังเกต ก็จะพบว่า ราวต้นปี ๒๕๔๘ คนท้องมากผิดปกติ

“บ้าเหรอ เค้าก็ท้องกันทั้งปีนั่นแหละ” บางคนอาจแย้ง ผมก็ไม่ได้เถียง แต่ผมกำลังหมายความถึงคนที่ตั้งท้องยากๆน่ะ พวกเธอเหล่านั้นกลายเป็นคนท้องง่ายขึ้นมาเฉยๆ 

“จิ๋มก็เป็นหนึ่งในนั้น” 

ทำให้เมียท้องพี่แป้ง ผมพยายามจิ้มมาเกือบ ๒ ปี ส่วนน้องจ้า ผมจิ้มทีเดียว มาเลย ฮ่า ฮ่า 

ปล.ห้ามอ้างอิง นี่มันทฤษฎีสมคบคิดภาคพิสดารของผมเอง

.......................

“สิ้นปีแล้ว จะเที่ยวที่ไหนดี” นั่นไง คำถามเดิมๆ ที่มักจะหลอนผมทุกสิ้นปี

เรา (หมายถึงผมกับจิ๋ม) จึงรีบเปิดดูราคาค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ หาดใหญ่ เขียงราย เชียงใหม่ อุดร เราจึงตระหนักได้ว่า การเดินทางด้วยเครื่องบินช่วงนี้กันทั้งครอบครัว อาจจะทำให้ข้าพเจ้าล้มละลายได้เลยทีเดียว แต่กระนั้นก็ยังแอบเปิดไปดูที่พักของโรงแรมในเขตอีสานบ้าง ผมอยากนอนข้ามปีอยู่ที่ริมโขง หรือไม่ก็ริมมูล อยากไปนอนดูโขงสีปูน มูลสีคราม มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะอีกหลายๆครอบครัวก็มีความคิดคล้ายเรา แต่เริ่มต้นจองโรงแรมก่อนเรา

เราจึงอด

ท้ายที่สุดแล้วก็มาลงเอยที่อันดามันกันต่อไป

เขาหลัก.....จิ๋มอยากมาที่นี่นานแล้ว

“อัปสรา” คือชื่อรีสอร์ทที่เราจะมาหลับนอนข้ามปี

ทำไมจึงมาที่นี่ 

อันที่จริงมันก็ออกจะซับซ้อนเล็กน้อย

เราอยากนอนที่นี่ แต่ราคามันติดตลาดบน ประหนึ่งว่าวที่ลอยสูงติดลมบน คนที่เล่นว่าวบ่อยๆจนเก่งย่อมรู้ว่า ว่าวที่ติดลมบนนั้น ลงยาก ราคาของรีสอร์ทดีๆราคาสูงๆ ก็เช่นเดียวกัน มันจึงไม่ค่อยลดลงเท่าไหร่แม้ช่วงโลว์ซีซั่นก็ตาม แต่อย่าลืมสิ ว่านี่มันราคาช่วงปลายปีด้วยซ้ำ ผมจึงพยายามหาที่อื่นที่ถูกกว่า ได้รายชื่อมา ๒ - ๓ แห่ง ตัดสินใจโทรศัพท์หาเพื่อนเจ้าถิ่นเพื่อสอบถามข้อมูลของโรงแรม ถามไปถามมา ก็บอกเขาไปว่าอยากนอนที่อัปสรา แต่ราคาสูงไปหน่อย

“เอิ่ม..แป๊ะ นั่นรีสอร์ทของสามีเราเองนะ เธอยังอยากจะมาที่นี่อีกมั้ยล่ะ เดี๋ยวจะจัดการจองไว้ให้ในราคาพิเศษ” คนปลายสายเสนอมา

ฮ่า ฮ่า เป็นได้ดั่งนี้ ก็จะรออะไรล่ะครับ จัดกระเป๋ารอได้เลย

........................

เช้าวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐ ฟ้าไม่ค่อยโล่ง เพราะมีหย่อมความกดอากาศต่ำลอยตัวอยู่แถวๆอ่าวไทยตอนกลาง ฝนตกๆหยุดๆตั้งแต่เมื่อคืน มันมาทั้งฝนทั้งลม หลังคาสั่นจนปลุกผมเกือบทั้งคืนเหมือนกัน

ท่ามกลางความขมุกขมัวของกาอาศ แต่ใจเราใสกิ๊ง น้องจ้าเพิ่งทราบผลการสอบเข้า ม.๑ พี่แป้งเพิ่งสอบกลางภาคเสร็จ 

หกโมงครึ่งรถเราจึงออกจากบ้านทันที

แรกเริ่มเดิมทีนั้น ผมวางแผนจะวิ่งไปทางทุ่งสง เข้าสุราษฎร์ฯ แล้วตัดเข้าเส้น ๔๔ มันน่าจะวิ่งสะดวก แต่ท้ายที่สุด เราเปลี่ยนแผนวิ่งเข้าทางตรัง ด้วยเพราะอยากกินอาหารเช้าในเมืองตรัง และกินขนมจีนที่อำเภอเหนือคลองเป็นมื้อเที่ยง

“จีบขาว” คือร้านที่อยู่ในดวงใจผม เพราะเป็นร้านเก่าแก่ ขนาดเล็ก คนไม่พลุกพล่าน ก๋วยเตี๋ยวจีนสไตล์แคะรสชาติอร่อย โจ๊กก็อร่อย แต่เมียผมบอกว่า อยากให้ไปกินที่ “พงษ์โอชา ๔” เค้าเคยกินมาเมื่อราว ๓ เดือนก่อน 

ทราบแล้วใช่ไหม ว่าเราจะกินกันที่ร้านอะไร

แต่จนแล้วจนรอด ก็หาขื่อร้านที่ว่านั้นไม่เจอ ในแผนที่ มีแต่เบอร์ ๑ ๒ และ ๓

“๔ จริงๆนะพ่อ สงสัยเพิ่งเปิด เลยไม่มีในแผนที่” เธอยังคงยืนยัน

“ก็มันไม่มีนี่นา เดี๋ยวเข้าจีบขาวดีกว่า” ผมเริ่มมีหวัง แต่เธอก็ยังคงมีหวังอยู่เช่นเดียวกัน

“พ่อ ตกลงว่าเบอร์ ๓ แหละ เพื่อนแม่บอกมา” จบ..

“พงษ์โอชา ๓” อยู่บนถนนห้วยยอด ร้านใหญ่โต ใช้ระบบการสั่งอาหารผ่านวายฟาย อาหารเสิร์ฟเร็ว แต่ผมว่านะ บะกุ๊ดเต๋หวานไป 

“หวานสไตล์อาหารตรังไงพ่อ” เมียบอก

ต้มเลือดหมูใส่หมี่ฮุ้นจืดไป

“เติมน้ำส้มนิดนึงสิพ่อ” เมียช่วยปรุง

ติ่มซำคำใหญ่โตอร่อยดี

“พ่อช่วยแม่หน่อย แม่กินไม่หมด” เมียส่ง

กว่าจะได้ออกจากร้านเพื่อเดินทางต่อ ก็ ๙ โมงครึ่ง

เราวิ่งออกทางห้วยยอด แล้วเข้าสาย ๔ ซึ่งจะพาตรงไปยังกระบี่และพังงาโดยไม่ต้องเที่ยวหาทางแยกซ้ายหรือขวา

แต่เอ๊ะ.. อันที่จริงมันก็มีทางแยกนะครับ แยกนี้ แทบจะแยกดีแยกร้ายกันเลยเชียว

๑๑ โมงแก่ๆ เราแวะกิน “ขนมจีนโกจ้อย” ตามความต้องการของน้องจ้า เมื่อขับรถมาถึงแยกไฟแดงใหญ่ของเหนือคลอง เลี้ยวเข้าซอยธนาคารกรุงไทย และจะมีป้ายบอกให้เลี้ยวซ้าย หาที่จอดรถได้เลย

“จ้าว่ามันอร่อยน้อยลงนะพ่อ”

“พ่อว่าเหมือนเดิมนะ เมื่อกี้ลูกกินขนมเข้าไปเยอะล่ะสิ” ผมแย้ง

มื้อนี้เธอกินขนมจีนน้ำยาไปถ้วยครึ่ง ส่วนพี่แป้งกินขนมจีนคลุกน้ำปลา คลดน่องไก่ไปน่องหนึ่งพออิ่ม

เที่ยงนิดๆ ก็ได้เวลาออกรถต่อไป

แผนการขับรถของผมจากตรงนี้ไปก็คือ เลี้ยวซ้ายเจ้าอำเภอทับปุด เข้าเมืองพังงา แล้วเลี้ยวขวาเพื่อไปทางตะกั่วป่า นั่นเป็นความทรงจำลางๆจากการที่เคยมาบรรยายที่ตะกั่วป่าเมื่อครั้งนานมาแล้ว

“แป้ง ดูใน map หน่อยซิลูก ว่ามันแนะนำยังไง” ผมขอความช่วยเหลือ

“เอ๊ะ ทำไมมันไม่ให้เข้าเมืองพังงานะ นั่นมันเข้าไปในเขานางหงส์นะ พ่อว่า” ผมสังเกตเห็นความผิดปกติของเส้นทาง

“หมออย่าเข้าเขานางหงส์นะ มันอันตราย” คนไข้ชาวตะกั่วป่าคนหนึ่งเตือนผมไว้

“มีอีกเส้นนะพ่อ มันให้เข้าพังงา แล้วไปเลี้ยวที่แถวๆโคกกลอย” เมียผมเสนอมา

“ไม่เอา นั่นมันอ้อมโลกเลยนะแม่” ผมปฏิเสธ เ สี ย ง แ ข็ ง

“แป้ง ส่งข้อความถามเพื่อนพ่อหน่อยซิ จะให้ไปทางไหน” ผมขอความช่วยเหลือ และเพียงไม่นาน เธอก็ส่งภาพแผนที่มาให้ และนั่น มันพาเข้าเขานางหงส์ชัดๆ

ผมจอดรถเมื่อเลยแยกทับปุดมาเล็กน้อย กำลังตัดสินใจกลับรถเพื่อเข้าเมืองพังงา

“เจ้าถิ่นเค้าแนะนำมา พ่อจะไม่เขื่อเค้าเหรอ” เมียแย้ง

ผมรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง ทำไมไม่เชื่อสัญชาตญาณของเราเองวะ อุตส่าห์มีแผนที่ในหัวอยู่แล้วนี่นา

“ก็ได้ ไปตามคำแนะนำก็ได้” ผมตอบออกไป เ สี ย ง แ ข็ ง

แต่ถึงกระนั้น “ตกลงเธอจะให้เราเข้าเขานางหงส์?” ผมให้แป้งส่งข้อความกลับไปถามเจ้าถิ่น อีกครั้ง

“อย่าเข้าไป” เสียง “ติ๊ง” ตอบกลับมา แต่นั่นมันก็สายไปเสียแล้ว

“เขานางหงส์” หุบเขาในตำนาน 

ผมคิดถึงเธอมาตลอด ผมคิดถึงเธอมานาน ใครๆก็ปฏิเสธเธอ ใครๆก็บอกให้ผมเลี่ยงเธอ แต่เชื่อเถอะ ผมคิดถึงเธอมานานแล้วจริงๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต จะขอเข้าไปในหุบของเธอสักครั้ง

และก็เป็นการตัดสินใจไม่ผิดที่เชื่อและยอมเมีย เพราะเส้นทางในเขานางหงส์ แม้นคดเคี้ยวแต่งดงาม หุบเขาและหุบเหวข้างทางดูน่ากลัว แต่ไม่น่าสะพรึง เพราะผมขับรถช้าๆ ข่วงล่างของ CX5 มันสุดยอดมากๆ การหน่วง การเลี้ยว การเร่ง แทบจะไม่ค่อยรู้สึกถึงห้องโดยสารเลย ส่วนพื้นถนนเรียบ ไร้รถสวนทาง จะมีบ้างก็นานๆที อากาศภายนอกกำลังดีเพราะฝนเพิ่งหยุดตก หมอกครึ้มๆเรี่ยผิวจราจร ผมเลือกปิดแอร์และเปิดกระจกรถเพื่อดมลมในหุบเขาแห่งนี้

“มันมีกลิ่นขี้สัตว์นะพ่อ” จ้าพูดขึ้นมา และผมก็เห็นด้วยตามนั้น 

“จ้าอยากอ๊วก แต่อ๊วกไม่ได้” แม่คนขี้เมาเริ่มบ่น

“ทำไม” ผมปิดกระจกและเปิดแอร์เหมือนเดิม กลิ่นที่ว่าอาจจะกระตุ้นอาการขี้เมาของแม่คนเล็กได้

“ก็จ้ากำลังกินขนมอยู่นิ มันอร่อย ไม่อยากอ๊วก”

ถนนคดเคี้ยวเลี้ยวหักไปมาบนเขายาวกว่า ๒๐ กิโลเมตร ใช้เวลาสักพักก็หลุดออกมาได้

ผมรู้สึกเป็นสุขใจ อย่างน้อย การตัดสินใจผิดครั้งนี้กลับถูกใจผมยิ่งนัก “เขานางหงส์ หุบเขาในตำนาน”

......................

“แป๊ะ เย็นนี้กินข้าวด้วยกันนะ เราเลี้ยงเอง” เพื่อนผมส่งเสียงมาตามสาย

“อื้อ” ผมตอบกลับไป

......................

รีสอร์ทที่นี่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมากครับ จากแหลมปะการังเลี้ยวซ้ายเข้าไปจนสุดทางก็เป็นที่ตั้งของ “อัปสรา” รีสอร์ทที่มีพื้นที่คร่อม ๒ ฝั่งคลอง ชายหาดกว้างและยาว มีความลาดชัดน้อยมาก ผิดกับชายหาดฝั่งตะวันตกทั่วไป

ผมหลับตา ภาพจากปกหนังสือ “สารคดี” ฉบับที่ลงเรื่องสึนามิโผล่เข้ามาในหัว ภาพชายหาด ครอบครัวคนนั้น เรือใบ และโขดหิน 

แม้เจ้าของภาพบอกว่ามันเป็นภาพถ่ายที่ลันตา แต่สภาพชายหาดที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ มันก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก

นักท่องเที่ยวอยู่ที่ชายหาดบางตา บ้างเล่นบอลชายหาด บ้างลงเล่นเซิร์ฟบอร์ด สมาชิกของบ้านผมเลือกที่จะเดินเล่นพักหนึ่งแล้วก็ขอกลับไปนอนเอาแรง นั่งรถมาทั้งวันจนเหนื่อย มามุขนี้ ทำเอาคนขับรถทั้งวันเกิดอาการเพลียด้วยอีกคน

จนถึงเวลานัดก็มากินข้าวกันในห้องอาหารของโรงแรม

เพื่อนผมมาพร้อมสามีและลูกสาวอีก ๒ คน 

เราคุยกันประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานราว เอิ่ม..ราว.. ๒๑ ปี

อันที่จริงก็เจอกันในไลน์บ้าง โทรศัพท์ปรึกษากันเรื่องเจ็บป่วยบ้าง แต่เจอตัวเจอหน้ากันคุยมันกว่า และเรื่องที่คุยก็คงไม่พ้นการนินทาเพื่อนๆคนอื่น จริงมั้ย

............................

“เธอยังจำเรื่องคนไข้ถูกผีเข้าได้ไหม” ผมเริ่ม

ความทรงจำเริ่มพรั่งพรู 

ปี พ.ศ.๒๕๓๗ ผมเป็นนักเรียนแพทย์ชั้นปีที่ ๕ และในตอนนั้นผมเข้ามาเรียนในแผนกวิสัญญีวิทยา และจะต้องทำการบล๊อกหลังคุณลุง

“ไม่บล๊อกหลังนะลูกหมอ ลุงจะขอดมยาสลบ ลุงกลัว” คนไข้วัยชรา ซึ่งจะต้องรับการผ่าตัดรักษาโรคไส้เลื่อนในวันรุ่งขึ้นบอกผม

“ไม่ดีหรอกลุง การบล๊อกหลังปลอดภัยกว่ามากเลยนะ” ผมเสนอออกมา จำได้ว่าตอนนั้น ผมไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าการได้บล๊อกหลัง มันน่าตื่นเต้นกว่าการดมยาสลบคนไข้ การต่อรองเกิดขึ้นอยู่พักหนึ่ง ผมไม่ฟังลุง (เลวนัก)

เช้าวันนั้น

แทงหลัง (เป็นคำที่เราเรียกการบล๊อกหลังกันเล่นๆ) ครั้งแรกไม่สำเร็จ ครั้งที่สองก็ยังไม่เข้า ครั้งที่สามผมจึงยอมแพ้ และอาจารย์ก็เข้ามาจัดการเอง

“ลุงขอดมยานะหมอนะ” ลุงยังไม่ยอม

“เดี๋ยวอาจารย์บล๊อกเองครับลุง ใจเย็นๆ” ผมยังคงยืนยันตามนั้น

(ปล.บรรยากาศแบบนี้ คงไม่มีอีกแล้วนะครับ สิทธิผู้ป่วย มาตรฐานการดูแล ผู้ป่วยคือศูนย์กลาง ความเป็นเพื่อนมนุษย์ มันไม่ได้เรื่องสักอย่าง ตอนนี้ไม่มีแบบนี้อีกแล้ว)

อาจารย์นั่งลง แทงหลัง จึ๊กเดียวก็เข้า แล้วก็ฉีดยาเข้าไปเพื่อให้เกิดอาการชาตั้งแต่สะดือลงไปปลายขา จากนั้นก็ทำการพลิกตัวคุณลุงเพื่อนอนหงายเตรียมทำการทดสอบระดับยาชาและเตรียมจัดท่าเพื่อผ่าตัด

“ฮือ....ลูกหลานเห้อ ทำอะไรกัน” ลุงตัวสั่นทั้งตัวพร้อมกับการครางออกมาเป็นสำเนียงใต้ เสียงดังก้องกังวานในห้องผ่าตัดที่ ๑๑

“นี่คือเจ้าที่นะ เจ้าที่ในห้องนี้แหละ” ลุงซึ่งดูเหมือนคนถูกผีที่อ้างว่าเป็นเจ้าที่เจ้าทางประจำห้องผ่าตัดเข้าสิงยังคงพูดออกมาเสียงก้อง บุคลิก ท่าทาง และน้ำเสียงช่างแตกต่างจากลุงซึ่งเป็นคนไข้ของผมยิ่งนัก

และฉับพลัน ที่ทุกคนในห้องกำลังตะลึงงัน ทั้งนักเรียนแพทย์ พยาบาล และอาจารย์ คนที่มีสติที่สุดกลับเป็นเพื่อนผมคนหนึ่ง เขายืนอยู่ที่หัวเตียง เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตลอดเวลา เขายืดตัวขึ้น หลับตา สูดลมหายใจเข้าปอดฟอดใหญ่ มือข้างหนึ่งชี้มาที่ศีรษะของลุง

“ในนามของพระผู้เป็นเจ้า จ ง อ อ ก ไ ป” เสียงเขาดังก้องกังวานไม่แพ้กัน

ลุงเงียบลง หยุดพูด หยุดสั่น แล้วหลับไปเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง

ทุกคนในห้องเงียบ เสียงหายใจยังรู้สึกได้ว่าดังเกินไป

เมื่อครู่นี้ คนไข้ถูกผีเข้า นักเรียนแพทย์คนหนึ่งเพิ่งไล่ผี และมันสำเร็จจริงๆด้วย

น่าแปลกใจ ที่เหตุการณ์วันนั้นมันยังติดตาตรึงใจอยู่จนถึงวันนี้

การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี ไร้ซึ่งภาวะแทรกซ้อน

จิตใจที่เร่าร้อนของผมเริ่มคลายลงบ้าง แต่ความรู้สึกผิดที่ไม่ยอมฟังความต้องการของลุงมันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมันยังกัดกินใจอยู่

“อาจารย์คิดว่า เรื่องเมื่อกี้ มันมีคำอธิบายทางการแพทย์ไหมครับ” ผมถามอาจารย์ขณะเคลื่อนย้ายคนไข้ไปห้องพักฟื้น

“ก็คงเป็นความเครียดของคนไข้กระมัง” อาจารย์ตอบ

“แต่เพื่อนผมเป็นคนไล่ผีนะครับ” ผมยังสงสัย

“เอิ่ม..พี่ฉีดยาดอร์มีกุ้มให้น่ะ แกจึงหลับสนิทเลย” อาจารย์เฉลยออกมา

.....................

อาหารค่ำอร่อยมากครับ แต่จะอร่อยแค่ไหนก็คงไม่เท่าการได้เจอเพื่อนเก่า และได้คุยกัน

พรุ่งนี้เล่าต่อนะครับ

ธนพันธ์ ชูบุญเที่ยวเขาหลักตอนที่ ๑

๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐


............................

๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐

ผมอาจจะแก่แล้วจริง เพราะแม้ว่าจะนอนดึกแค่ไหน ก็มักจะตื่นเช้า 

นี่ก็เหมือนกัน อุตส่าห์มานอนในรีสอร์ทสุดหรูสบายๆ ดื่มไวน์เล็กน้อยจนหลับได้แสนไว ดันตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตี ๕ เสียนี่

คนข้างกายยังคงหลับปุ๋ย ขนาดถูกจูบไปหลายฟอดก็ยังไม่รู้สึก อย่างนี้สินะ ที่เค้าเรียกกันว่า “หลับโหวง”  หึหึ เปล่าหรอกครับ เธอหลับเพราะยาแก้แพ้ต่างหาก

ผมลุกขึ้นชงกาแฟดื่มเพื่อเรียกวิญญาณเข้าร่าง แล้วก็เปิดดูข้อความในไลน์ เวลาย่ำรุ่งขนาดนี้ก็มีคนตื่นขึ้นมาส่งดอกไม้กันแล้ว เห้อ (ไม่ดอกไม้ ก็แมวล่ะวะ)

“แม่” ผมกระซิบข้างหูเมียอย่างโรแมนติก มือก็กอดเธออย่างถนุถนอม จูบข้างกกหูฟอดเบาๆ

“อื้อ” เธอส่งเสียงตอบ พลางพลิกตัวมากอดผม

มาแบบนี้ ผมก็ได้แต่นอนกึ่งนั่งนิ่งๆ ดื่มกาแฟไป เขียนเรื่องราวลงในมือถือไปเรื่อยเปื่อย

๖ โมงเช้าแล้ว

“แม่..ไปวิ่งกับพ่อมั้ย” ผมกระซิบ

“ไม่อ่ะ แม่เป็นนักเทนนิส” ว่าแล้วก็พลิกตะแคงตัวกลับ แล้วหลับต่อไป

...............

เช้าวันนี้ผมไปวิ่งริมชายหาดครับ 

“รีสอร์ทของเรา มีหน้าหาดที่สวยที่สุดแล้วนะแป๊ะ” เพื่อนผมบอกมาอย่างนั้น และเชื่อเถิด ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

ฝั่งด้านหนึ่งของฝั่งคลอง ชายหาดพาดยาวไปจนถึงแหลมปะการังยาวนับก้าวได้ราว ๑ กิโลเมตรพอดี (อันนี้ ยังไม่สามารถบอกได้ว่า พื้นทรายสวยงามเพียงไร เพราะไม่เคยไปย่ำ)  แต่ทางอีกฝั่งคลองที่ผมอาศัยอยู่นั้น ทอดยาวไปไกลกว่าสองกิโลเมตรเป็นแน่แท้

ผมออกวิ่งด้วยเท้าเปล่า

ตำราที่ผมอ่านอยู่นั้น เขาบอกว่า วิ่งด้วยปลายเท้าจะช่วยผ่อนแรงที่ไปกระแทกหัวเข่า และผมก็วิ่งด้วยครึ่งหน้าของฝ่าเท้าตามตำรามากว่าปีเศษ นึกอยากจะถอดรองเท้าวิ่งมานานแล้ว ติดอยู่ที่ในหมู่บ้านเป็นถนนคอนกรีต หากวิ่งเท้าเปล่าคงเล็บกระจุย แต่วันนี้ผมจะวิ่งบนชายหาด

..................

ผมวิ่งไปกลับได้ ๘ กิโลเมตรเชียวครับ

วิ่งไปก็ตั้งสติไป เหมือนวิ่งจงกรม

นึกๆดู เวลาที่ผู้ปฏิบัติธรรมเขาเดินจงกรมกันนั้น สมาธิที่บอกว่าอยู่กับลมหายใจ ผมว่า มันอยู่ที่ปลายเท้าและช่วงเวลาของการย่ำด้วยสินะ เพราะการเดิน ย่อมมีโอกาสเหยียบย่ำไปทับบดชีวิตสัตว์บนพื้นดินได้ ถ้าเหยียบไป ก็พลอยให้เกิดบาปจากการย่ำจงกรมไปด้วย โอว..ผมคิดไปได้อย่างไร

คิดได้สิครับ เพราะการวิ่งในเช้าวันนี้ แม้ว่าชายหาดจะดูสะอาดเป็นอย่างมาก แต่ผมก็มีโอกาสเหยียบปูตัวเล็กๆได้ตลอดเวลา และผมก็เหยียบย่ำแมลงไปตัวหนึ่งเข้าให้จริงๆ 

“ซวบ” จมทรายไปเลย

วิ่งไปได้เกือบ ๒ กิโลเมตรก็วิ่งกลับ

ระหว่างทาง ป่าสนข้างชายหาดดูบริสุทธิ์ ผมได้ยินเสียงไก่ขัน ในเมื่อไม่มีบ้านคนในละแวกนี้ มันก็น่าจะเป็นไก่ป่า

พื้นทรายชายหาดเทลาดเอียงน้อยมาก ผมวิ่งไปก็คิดไป

“รอยเท้าบนผืนทราย”

รอยเท้าแสดงชัดเจนว่าลงน้ำหนักเพียงครึ่งฝ่าเท้าด้านหน้า น่าจะวิ่งได้ตามตำรา

รอยเท้าบนผืนทรายที่มีความหนาแน่นสูง คือหาดทรายใกล้น้ำทะเลที่ซัดสาดตลอดเวลา วิ่งง่ายเหมือนวิ่งบนพื้นถนน รอยเท้าใกล้ระดับน้ำ วิ่งง่าย ถูกสาดซัด รอยเท้าถูกลบเลือนอย่างรวดเร็ว

รอยเท้าบนผืนทรายบนเนินที่ไกลระดับน้ำทะเลมีความอ่อนนุ่ม ยวบยาบ วิ่งแต่ละก้าวก็จะดูดพลังออกไปเสียมาก แต่รอยเท้าบนเนินไกลจากระดับน้ำทะเล วิ่งยาก แต่รอยเท้ามิได้ถูกสาดซัดพ้นไปเหมือนพื้นที่ริมระดับน้ำ

มันกำลังบอกผมว่าอะไร

งานใดง่ายดายนัก ถูกลืม

ยากเข็นเพียงหนักหนา ประทับ

เหมือนยามวิ่งกลางคลื่น ถาโถม หนักให้ อยู่ฤา

ซัดสาดกลบรอยไม่ อยู่ยั้ง ยืนยง

โคลงโคตรห่วย แค่มันกำลังบอกว่า น้ำทะเลมันเค็ม (เชี่ย....ไรวะ)

ช่างมันเถอะ  

.....................................

อาหารมื้อเช้าของรีสอร์ทอร่อยดีครับ ผมเลือกกินก๋วยเตี๋ยวน้ำ ปกติจะทำใจไว้ก่อนว่ามันจะไม่อร่อย เพราะเขาทำให้ฝรั่งกิน แต่ที่ไหนได้ รสชาติมันดีมากเลยทีเดียว

เพื่อนผมมานั่งทานอาหารอยู่ก่อนแล้ว

“เธอวางแผนจะไปเที่ยวไหนบ้างมั้ย” เจ้าบ้านคงพร้อมที่จะบอกทิศทาง ซึ่งรอบนี้คงไม่ยอมให้ผมหลงเข้าหุบเขาอีกแน่ๆ

“คงไม่นะ อยากนอน แต่คงเข้าไปกินข้าวเที่ยงในตะกั่วป่า” ผมตอบ

“ข้าวขาหมูหลกอั้น หมี่พังงา แถบย่านยาว ลองไปกินดู ของเค้าขึ้นชื่อ”

ก็ไปกันสิครับ

แต่ก็นั่นแหละ เมื่อความอยากเข้าครอบงำจิตใจ (ข้าวขาหมูน่ะ ของโปรดของผมเลยเชียวนะ) เทวดาก็ต้องมาทดสอบ

“ร้านปิด”

เราจึงเปลี่ยนแผนไปกินหมี่พังงาแทน

ผมเคลื่อนรถไปตามทางที่การ์มินสั่ง เราเลี้ยวมาทางข้างวัดย่านยาว 

“วัดดังในตำนาน” ผมบอกลูกสาว พลางนึกไปถึงวันที่เกิดความโกลาหลไปทั้งโลก วันที่ทะเลถาโถมเข้ามากลืนกินชีวิตผู้คนไปเสียมากมาย คนที่ยังรอด ก็ไปชุลมุนกันในโรงพยาบาลต่างๆ คนที่ไม่รอดแล้วส่วนหนึ่ง ก็จะมาพักร่างไว้ที่นี่ ผมเล่าให้ลูกฟังถึงบรรยากาศการรักษาศพกลางแจ้งที่คิดแก้ปัญหากันเฉพาะหน้าของทีมแพทย์นิติเวช อาสาสมัครมาช่วยกันมากมาย รวมถึงทีมศัลยแพทย์ของอาจารย์ประเสริฐ

“ถึงเวลานี้ ก็ยังมีบางคนที่ยังไม่ได้กลับบ้าน” ผมหมายถึงศพที่ไร้ญาติ หรือระบุตัวตนไม่ได้

หลายคนก็คงมีที่อยู่ใหม่ เช่นน้องจ้านั่นไง ฮ่าฮ่าฮ่า เธอเป็นเดนนิชกลับชาติมาเกิด ปีนั้นเธอคงมาเที่ยวแถบนี้ สินะ 

นี่คือเรื่องเล่าเล่นๆของบ้านเรา อย่าได้ถือสาเชียวนะ

“หมี่พังงา” เป็นร้านเล็กๆตั้งอยู่โดดๆ ผู้คนทยอยเข้ามากินอยู่เรื่อยๆ รสชาติก็อร่อยธรรมดา แต่ความแปลกก็คือ เขาใส่ขาหมูมาในก๋วยเตี๋ยวด้วย ขาหมูแบบที่ใส่ในข้าวขาหมูนั่นแหละ ไม่ใช่ซุปหมูตุ๋นอย่างที่ร้านอื่นๆทำกัน

“แม่อยากเข้าเมืองเก่า” เมียผมเธอหมายถึงเมืองตะกั่วป่าที่เคยรุ่งเรืองในอดีต 

ผมไม่รู้ว่าจะบอกการ์มินว่าอย่างไรดี ใน google map ก็ไม่รู้จะนำไปที่ไหน เพราะเมื่อใช้คำว่า old town มันก็จะชี้ไปที่กำแพงเมืองเก่าทุกที ผมไม่อยากดูกำแพงเมือง ผมอยากไปเดินชมอาคารเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกีส เมื่อใช้คำสั่งไม่เป็นก็เลยสั่งให้มันนำไปทึ่ “วัดพระธาตุคีรีเขต” วัดที่เจ้าบ้านแนะนำให้เข้ามาชม

ขับรถลึกเข้ามาจากถนนหลักสักระยะหนึ่ง ศาลาที่พักรอรถประจำทางมันเก่าและอาร์ทมาก ผมอยากจอดรถถ่ายรูป แต่ถนนมันแคบและมีรถตามหลังมาหลายคันจึงไม่สามารถหยุดรถได้ มาได้สักพักก็เห็นรถยนต์จอดเรียงราย 

“น่าจะเป็นสะพานเหล็กนะพ่อ เค้าแนะนำให้ถ่ายรูปกัน” เมียผมบอก แต่เราไม่ได้หยุด เพราะคนมากเสียขนาดนั้น ถ่ายรูปยังไงก็ออกมาตลก

เราถึงวัดพระธาตุคีรีเขตซึ่งไม่มีอะไรมากมายนอกจากหมาวัด ฮ่าฮ่าฮ่า

อันที่จริงน่าจะมีครับ ด้านในมีอาคารเก่าๆอยู่ แต่มองได้ไม่ชัดเพราะต้นไม้บัง แต่ด้วยเพราะหมาวัดพลุกพล่าน ลูกผมจึงไม่ยอมให้จอดรถลงไป

“พ่อ เมืองเก่าน่าจะอยู่แถบนี้” แป้ง ซึ่งกำลังทำหน้าที่ของตนอย่างชาญฉลาดบอกออกมา

“งั้นลูกก็นำทางพ่อเลย”

เราหลุดเข้ามาในเมืองตะกั่วป่าย่านเมืองเก่าโดยบังเอิญก็เพราะวัดพระธาตุนั่นเอง

อาคารที่แสดงถึงความรุ่งเรืองในอดีตยังคงมีให้เห็น เพียงแต่ในวันนี้ มันถูกกำหนดให้เป็นถนนคนเดินยาวตลอดทั้งสาย เราซื้อของกินเล็กๆน้อยๆ ได้ซื้อผ้าปะเต๊ะมา ๔ ผืน น้องจ้าดูจะถูกใจเป็นพิเศษ ไปวัดคราวหน้าจะได้นุ่งผ้าถุงสไตล์สาวใต้กับเขาสักที

ขากลับขับรถออกมาทางเดิม จะถ่ายรูปศาลาริมทางนั่น มันมีอยู่เป็นระยะๆ แต่จนแล้วจนรอดก็จอดรถไม่ได้ ไอ้ที่จะจอดได้ ก็มีคนไปตั้งของขายอยู่ด้านใน เสียดายจริง

กลับไปนอนดีกว่า

..........................

คืนนี้โรงแรมจัดกาล่าดินเน่อร์บริเวณลานต้นสนหน้าหาดริมคลอง (อะไรวะ)

แขกของโรงแรมทยอยมารอกันตั้งแต่ ๖ โมงเศษๆ เครื่องดื่มมากมายถูกจัดไว้เรียงราย ทั้งให้เมา และไม่ให้เมา ผมเลือกอย่างแรก

เวลาทุ่มตรงจึงได้เวลาเข้างาน ทุกคนต้องมีที่นั่งของตัวเองตามที่จองเอาไว้ บ้านเราได้นั่งกับแขกชาวเดนมาร์ค ๓ คน

“เราจะย้ายไปนั่งกันที่โต๊ะเพื่อนพ่อไหม เค้าจองไว้ ๒ โต๊ะเลย จะได้คุยกันสนุกๆ” ผมบอกสมาชิกในครอบครัว

“อย่าไปเลยพ่อ ถ้าเราไป แขกทั้ง ๓ คนนี้เขาจะนั่งคุยกับใครล่ะพ่อ” หือ...นั่นคือคำแนะนำจากน้องจ้า และนั่นก็คงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนับจากเวลานั้น จ้าก็ปล่อยให้ผมเสวนากับเพื่อนร่วมโต๊ะเพียงลำพังยาวไปจนถึงเที่ยงคืน

“ยูรู้ไหม ลูกสาวเราเคยเป็นเดนนิชมาก่อน” เมื่อเริ่มกรึ่มๆ ผมก็จะหมดความขวยเขิน เราจึงเริ่มคุยกันถูกคอ อันที่จริงอาจจะเป็นเพราะ เธอสวย ก็ได้นะ ฮ่าฮ่าฮ่า

แป้งขอตัวกลับไปก่อน เพราะช่วงเวลา ๔ ทุ่ม เธอจะต้องนับถอยหลังพร้อมกับชาวเกาหลี จ้ากับแม่เดินตามไปหลังจากนั้น คงจะง่วงเต็มที ส่วนผมยังกลับไม่ได้ เพราะไวน์ฟรีที่เจ้าบ้านจัดไว้ให้ยังไม่พร่องและคนสวยก็ยังนั่งอยู่ ครอบครัวนี้ สวยทั้งแม่ทั้งลูกจริงๆ มองหน้าผู้เป็นแม่แล้วทำให้ผมนึกว่า ผมกำลังนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับ “เอ็ม” หัวหน้าของบอนด์ ......เจมส์ บอนด์

เวลาใกล้เที่ยงคืน น้องจ้าเดินเข้ามาพร้อมกับแม่ของเธอ หน้าตาง่วงงัน

“อยากเค้าท์ดาวน์ด้วย” เธอบอก

แล้วเราก็ได้กอดและจูบกันตรงนั้น

“ตกลงว่า ลูกจำอะไรที่เขาหลักได้บ้างมั้ย แบบว่าระลึกชาติ หรือความทรงจำในอดีตน่ะ” ผมกระซิบถาม

“อืม....” เธอทำท่าเหมือนกับพยายามคิดอะไรสักอย่าง

“ไม่นะพ่อ” 

ผมโล่งใจ เพราะหากมันจำอะไรขึ้นมาได้ คงวิ่งกันป่าราบ

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๑ นะครับ

ธนพันธ์ ชูบุญเที่ยวเขาหลักตอนที่ ๒ จบแล้ว

ได้เวลากลับบ้าน นึกขึ้นได้ “บ้าเอ้ย..ลืมลงไปเล่นน้ำทะเล”


หมายเลขบันทึก: 643783เขียนเมื่อ 4 มกราคม 2018 19:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มกราคม 2018 19:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ครอบครัวน่ารัก

อ่านไป ยิ้มไปกับความสุขของคุณหมอและครอบครัว

สวัสดีปีใหม่นะคะ

จากพี่แก้ว

-สวัสดีครับพี่หมอ

-อ่านบันทึกนี้แล้วอิ่มใจมากๆ ครับ

-เสมือนได้ไปด้วย 555

-บันทึ่กนี้ได้เห็นรอยยิ้มของพี่หมออย่างแจ่มชัด/คนร่วมเดินทาง

-สวัสดีปีใหม่นะครับ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท