เลี้ยงรุ่น


ผมเรียนจบมัธยมมาจากโรงเรียนสุราษฎร์ธานีครับ

ผู้อำนวยการบอกเราในวันแรกของการเข้าเรียนชั้น ม.๑ ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ว่า โรงเรียนเรามีชื่อเต็มจริงๆ ว่า “โรงเรียนสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี” 

ตอนนั้นก็นึกขำ ว่าทำไมชื่อโรงเรียนของเรามันจึงได้ยาวนัก ทั้งที่ตัวย่อก็มีเพียง “ส.ธ.” มิใช่ “ส.ธ.สฎ.” สักหน่อย แต่เอาเถอะ ทำไปทำมา ผมก็ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนนี้อยู่ถึง ๖ ปีเต็มๆ 

ตอนชั้น ม.ต้น ผมเป็นนักเรียนชายล้วนรุ่นสุดท้าย ต่อจากปีผมโรงเรียนก็เปิดระดับม.ต้นเป็นสหศึกษา มีนักเรียนรุ่นน้องเป็นผู้หญิงเป็นครั้งแรก 

อันที่จริงก็ไม่น่าจะต้องตื่นเต้นสักเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านั้นผมก็เรียนจบระดับประถมมาจากโรงเรียนอนุบาลสุราษฎร์ธานี ซึ่งหญิงชายเรียนด้วยกันอยู่แล้ว แต่ก็อย่างว่า เมื่อเพื่อนตื่นเต้น ผมก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย ยิ่งมีรุ่นน้องหน้าตาดีหลายคน พวกเราก็ต้องไปยืนดู ไปโฉบหน้าห้องเรียนตามที่เวลาและโอกาสจะอำนวย แต่มันก็มากไปจนคล้ายอาการหื่น อาจารย์ผู้ปกครองจึงต้องออกมาประกาศหน้าเสาธงว่า ห้ามนักเรียนรุ่นพี่ๆ เข้าเขตอาคารของน้อง ม.๑ เด็ดขาด (ซึ่งอาคารเรียนของน้องเป็นอาคารชั่วคราว ไม่มีผนังห้อง เอาเข้าจริงๆ ก็ห้ามพวกหื่นมันไม่ได้หรอก แค่ยื่นหน้าออกมามองข้างหน้าต่าง ก็มองเห็นสาวๆได้ง่ายๆอยู่แล้ว)

รุ่นที่ผมเข้ามาเรียนนั้นมีความพิเศษอีกอย่างอยู่ที่ เราคือรุ่นปีที่ ๘๐ ของโรงเรียน อันนี้เป็นความทรงจำที่อาจจะผิดนะครับ เพราะผมแอบไปดูข้อมูลของโรงเรียน เขาเขียนว่า โรงเรียนถูกก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๐ ดังนั้น หากจะนับเข้าจริงๆก็ควรเป็นรุ่นปีที่ ๗๗ มากกว่า แต่เอาเหอะ ในปีนั้นมันพิเศษมากๆตรงที่ว่า โรงเรียนได้ไปจัดงานวันวิญญาณ ซึ่งเป็นงานใหญ่ของโรงเรียน เป็นวันที่เราแสดงความระลึกถึงอาจารย์ลำยอง ผู้นำนักเรียนออกไปต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นช่วงสงครามโลก ในปีนั้น เขาจัดงานกันในบริเวณตลาดซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกจริงๆ ผมเองก็ต้องไปเป็นลูกเสือของคุณครูลำยอง วิ่งถือปืนหนักๆไปยิงญี่ปุ่นกับเขาเหมือนกัน สนุกกันสุดชีวิต แต่น้ำตาก็ตกเข้าจริงๆเมื่อครูถูกทหารญี่ปุ่นยิงจนเสียชีวิตอยู่หน้าโรงรับจำนำ ผมมีความเป็นศิลปินตั้งแต่ตอนนั้นกระมัง

ความทรงจำของการเป็นนักเรียนมีมากมายครับ แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกิจกรรมและเรื่องการเรียนเสียมาก เรียกว่าเป็นเด็กเรียนก็ว่าได้ เรื่องชั่วๆเลวๆก็พอมีบ้าง เป็นต้นว่า ดูหนังสือโป๊กันตอนช่วงพัก ไอ้เอมันเป็นเจ้าพ่อหนังสือโป๊ มันมักจะเอาหนังสืออ่านนอกเวลามาเผื่อเพื่อนๆ แล้วพวกเราก็สุมหัวดูกันเป็นสิบคน มันตื่นเต้นเสียจนหายใจเสียงกระเส่าใส่กัน แล้วก็ทำอะไรต่อไปไม่ถูก อารมณ์เพศมีล้นหลาม แต่แก้ไขไม่เป็น ได้แต่นั่งนิ่งๆ หน้าตาหื่นขึ้นคอรอจนหายไป มารู้จักการช่วยตัวเองก็ล่วงเข้า ม.๓ ไปแล้ว เพื่อนหัวโจกคนหนึ่งชื่อไอ้ยักษ์ มันบอกเพื่อนๆหน้าใสว่า “พวกมึงเอามือรูดขึ้นลงพันนี้ เดี๋ยวก็เสร็จ” มันพูดไปทำท่าไป แสดงฟอร์มเหนือชั้นกว่าใคร ๆ

ฮ่า ฮ่า ฮ่า และคืนนั้น ชีวิตผมก็เปลี่ยนไปเป็นวัยรุ่นเต็มตัว ขอบคุณครูไอ้ยักษ์มาจนบัดนี้

ล่วงเข้าชั้น ม.ปลาย ผมก็ยังอยู่ที่โรงเรียน ส.ธ. คราวนี้เป็นสหศึกษาเต็มตัว และผมก็ยังคงเป็นเด็กเรียนอยู่เช่นเดิม ทั้งเรียนทั้งทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆไม่เคยขาด แล้วเวลา ๓ ปีก็ผ่านไปอีกอย่างรวดเร็ว มันเร็วเสียจนผมก็นึกใจหาย เวลา ๓ ปีที่ผ่านไป ผมจมอยู่กับหนังสือ คู่มือสอบ การบ้าน กิจกรรมของห้องและโรงเรียน จนท้ายที่สุด ชีวิตของผมมีแค่ห้องเรียนและเพื่อนเพียง ๒ ห้องเท่านั้น นั่นก็คือ ห้อง ๖ และ ห้อง ๗ 

สาวๆสวยๆห้องอื่นก็มีหลายคน แต่ผมก็ขี้อายมากกว่าจะเงยหน้าขึ้นมอง มันตื่นเต้นมากที่จะสบตาสาวสักคน คนหุ่นดีหลายคนถูกเพื่อนๆนำมาพูดถึง ผมก็ได้แต่เออออตามน้ำไป เพื่อนหลายคนเริ่มมีแฟน ผมเองก็อยากมีแฟน แต่เมื่อเริ่มชอบใครสักคนก็อกหักพอดี เวรจริง จีบไม่ทัน

แล้วปี ๒๕๓๓ ผมก็มาเป็นนักเรียนแพทย์ที่สงขลานครินทร์

ออกจากสุราษฎร์ตอนอายุ ๑๘ ปี และก็ไม่ได้กลับไปเป็นคนสุราษฎร์อีกเลย

ผ่านมาหลายปี 

เพื่อนๆโรงเรียนมัธยมเค้าเริ่มตั้งกลุ่มไลน์ส่งข้อความพูดคุยกันมาระยะหนึ่ง ผมเริ่มรับทราบข่าวคราว แต่ก็ไม่ค่อยได้เข้ามาเจ๊าะแจ๊ะมากนัก

หลายปีก่อน กลุ่มเพื่อนๆเริ่มจัดงานเลี้ยงรุ่นสังสรรค์กัน ผมก็รับทราบข่าวคราวแต่ก็ไม่ได้อยากจะมาร่วมงานสักเท่าไหร่นัก เพราะหลายๆคนผมลืมเขาไปแล้ว บอกแล้วไงว่าผมรู้จักแค่ห้อง ๖ และห้อง ๗ จริงๆ จะมีเด็กห้อง ๘ ด้วยก็ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชายที่เรียนม.ต้นมาด้วยกัน และสาวๆหน้าตาดี ที่เทกันมาอยู่ห้อง ๘ (ผมก็ได้แต่มองๆหลบๆ) เด็กห้อง ๑๐ หุ่นดีอกโตก็มีส่วนหนึ่ง ซึ่งผมได้แอบมองบ้างก็ตอนที่เพื่อนๆในกลุ่มมานั่งดักรออยู่หน้าห้องเรียนตอนพักกลางวัน

“ลูกน่าจะมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นบ้างนะ” นั่นคือคำที่แม่บอกมาเมื่อคราวที่มีงานเลี้ยงที่อำเภอขนอม 

“ขี้เกียจน่ะแม่ งานเยอะ” มันคงเป็นคำปฏิเสธที่คลาสสิคที่สุด 

แต่คราวนั้นผมเข้ามาดูในเฟซบุ้คที่เพื่อนๆลงรูปมา มีเพื่อนห้อง ๖ และ ๗ หลายคนมาร่วมงาน มันดูน่าสนุกมาก

ผมเริ่มรับเพื่อนต่างห้องเข้ามาในเฟซบุ้คและรับทราบข่าวคราวจากเพื่อนห้องอื่นบ้าง

หลังจากงานครั้งนั้น ผมมาทราบตอนหลังว่า มีเพื่อนคนหนึ่งขอมาเป็นเพื่อนผมในเฟซแต่ผมไม่ได้รับเพราะไม่รู้จัก เขาคงพยายามจะสื่อสารว่าเขากำลังเป็นมะเร็งเต้านมและมารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่ มารู้อีกทีว่าเธอเป็นเพื่อนผมก็ต่อเมื่อเธอกำลังจะเสียชีวิตและมาพบกันไม่ไหวเสียแล้ว 

ผมเข้ามาดูใน profile ของตัวเอง และพบว่า คำขอเป็นเพื่อนของเธอยังคงปรากฏอยู่ และผมยังไม่ได้กดรับ และจนบัดนี้ผมก็ยังไม่ได้ลบคำขอนั้นออกไป

ผมยังทราบอีกว่า หลังจากงานเลี้ยงที่ขนอมครั้งนั้น เพื่อนอีกคนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะขับรถกลับบ้าน (หลังมาร่วมงาน) เธอเป็นอีกคนที่ยังมีคำขอเป็นเพื่อนยังปรากฏอยู่ในหน้าจอของผมโดยที่ผมไม่คิดจะลบมันออกไป

“ในฐานะทีมเจ้าภาพงานเลี้ยงรุ่นครั้งที่5 ขอเชิญอาจารย์หมอ มาร่วมงานเลี้ยงรุ่นส.ธ.32 ครั้งที่5 ด้วยค่ะ” ข้อความนี้มันโผล่ขึ้นมาในอินสตาแกรมเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๘ จาก “ไหม” ผู้ซึ่งบอกว่าเป็นเจ้าภาพส่งมาหาโดยตรง

“ครับ กำลังเคลียร์คิว เพราะว่าช่วงนั้น มีกำหนดต้องเดินทางไปประชุมที่หนองคาย หากไม่ต้องเป็นคนนำเสนอก็จะไปงานเลี้ยงรุ่น (เลยไม่กล้ารับปากใคร)

ติดตามอยู่ตลอดเลย 

ในช่วงเวลานั้น  ที่บ้านสุราษฎร์ไม่มีคนอยู่ ถ้าไป คงต้องนอนโรงแรม” คือข้อความที่ผมตอบกลับไปให้ไหม

และผมก็ได้มาร่วมงานเลี้ยงรุ่นจริงๆกับเขาในปีนั้นนั่นเอง

“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ” หลายคนคงถามผมอยู่ในใจ

คำตอบก็คือ มันสนุกมาก มันดีใจมาก มันตื่นเต้นมาก นี่ผมมีเพื่อนร่วมรุ่นมากกว่าห้อง ๖ และห้อง ๗ อีกหลายคนเชียวนะ 

“ผมจะมาอีกครับ” คือคำที่บอกไปตอนแนะนำตัวกันบนเวที

มันตลกดีนะครับ เป็นเพื่อนกันตลอด ๓ ปี ต้องมาแนะนำตัวกันใหม่เมื่ออายุย่างเข้า ๔๓ ปี

.......................

ปีที่แล้วเราไม่ได้จัดงานเลี้ยงรุ่น เพราะชาติเราประสบกับความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต (ของคนรุ่นเรา)

ปีนี้เราจะมีงานเลี้ยงรุ่นกันในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ ผมนี่แทบจะรอไม่ไหวเลยทีเดียว

ผมโหลดเพลงสมัยเป็นหนุ่มเข้าอัลบัมส่วนตัวในมือถือไว้กว่าร้อยเพลง เอาไว้ฟังตอนขับรถกลับบ้าน

หลังจากเสร็จภารกิจตรวจคนไข้ ผมก็เริ่มออกเดินทางกลับบ้านที่สุราษฎร์ เปิดเพลงที่เตรียมไว้ฟังตลอดทาง แต่ละเพลงที่ดังขึ้นมา ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวหนหลังผูกเอาไว้ 

งานเราเริ่มห้าโมงครึ่ง 

เพื่อนทยอยมาเข้างาน

ผมได้กอดเพื่อนหลายคน

ผมได้ทักทายเพื่อนที่เริ่มจำกันได้จากทางเฟซบุ้ค หลายคนจับมือ บางคนผมขอกอด 

เพื่อนหลายคนมาจากกรุงเทพฯ บางคนมาจากโคราช บางคนมาจากนิวซีแลนด์ (ลูกปิดเทอมพอดี) บางคนเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ

เพื่อนบางคนรู้จักกันมาตั้งแต่โรงเรียนประถม

ผมได้คุยกับเพื่อนต่างห้องในคืนนี้ มากกว่าตอนที่เรียนชั้น ม.ปลายเสียอีก

เฮ้ย....ความทรงจำต่างๆเริ่มพรั่งพรู คำพูดคำทักทายมันหลั่งไหลดั่งสายน้ำ 

งานเลี้ยงรุ่นจัดกันมาตั้งกี่ครั้ง ทำไมผมจึงพลาดโอกาสดีๆนั้นไป

.......................

อาจารย์ท่านหนึ่งบอกกับผมว่า “รุ่นพวกเรา เพื่อนกินเริ่มหายาก เพื่อนตายสิเริ่มมีมากขึ้น”

ซึ่งผมรู้สึกเห็นดีและเห็นงามกับอาจารย์จริงๆ

มาเจอกันตอนนี้ ได้ทักทาย พูดคุย จับมือ และกอดกัน มันน่าจะดีกว่าจุดธูประลึกถึงกันแน่ๆ

เชื่อไหม

ธนพันธ์ ชูบุญยังคงรู้สึกดีที่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นเมื่อวานซืน

๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๐

 

หมายเลขบันทึก: 643223เขียนเมื่อ 11 ธันวาคม 2017 21:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2017 21:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อ.หมอ เขียนได้สนุก ได้แง่คิด  ชอบสไตล์การเขียนมากครับ

ขอบคุณครับ

-สวัสดีครับอาจารย์

-มีแอบ 18++

-อ่านไปยิ้มไป

-น่าสนุกนะครับ

-ปีต่อไปผมว่าอาจารย์คงไม่พลาดงานเลี้ยงรุ่น 555


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท