จะว่าไปแล้ว ผมแทบไม่ได้เขียนถึง “ชมรมรักษ์ทางไทย” เท่าใดนัก ทั้งๆ ที่หลายปีที่ผ่านมา ผมติดตามกิจกรรมของพวกเขาต่อเนื่องอย่างเงียบๆ
ยอมรับว่าสี่ห้าปีที่ผ่านมา องค์กรดังกล่าวมีกระบวนการทำงานที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่อง แถมยังให้ความร่วมมือกับกิจกรรมในภาพรวมของมหาวิทยาลัยฯ อยู่เนืองๆ รวมถึงการเป็นต้นแบบที่ดีในการประเมินโครงการ อันหมายถึงรวดเร็ว ถูกต้อง
ทว่าปีการศึกษา 2559 ที่ผ่านมา ผมเริ่มสังเกตเห็นอาการบางอย่างส่อเค้ามาเงียบๆ จึงเริ่มขยับเข้าไปใกล้ชิดมากกว่าเดิม ซึ่งมันก็จริงใน 2 กิจกรรมหลังสุดนั้น เรียกได้ว่า “ล้มลุกคลุกคลาน” อยู่มากโขเลยทีเดียว ถึงขั้นผมต้องลงไปคลี่คลายในระยะประชิดเกี่ยวกับ “ทางออก” รวมถึงการ “เสริมพลังใจ” ผ่านแกนนำบางคน เพื่อให้ไม่ท้อที่จะ “เดินหน้าต่อไป”
รักษ์ทางไทย : ว่าด้วย ศศ.บ.ภาษาไทย และ กศ.บ ภาษาไทย
ชมรมรักษ์ทางไทย สร้างตัวมาจากนิสิตในกลุ่มที่เรียนหลักสูตรภาษาไทย ทั้งที่เป็น ศศบ.ภาษาไทย (คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) และ กศ.บ ภาษาไทย (คณะศึกษาศาสตร์)
ด้วยเหตุนี้กิจกรรมของชมรมฯ จึงแอบอิงอยู่กับ “วิชาชีพ” เป็นหลัก กิจกรรมนอหลักสูตรที่จัดขึ้นในแต่ละภาคเรียน จึงยึดโยงอยู่กับเรื่องของการพัฒนาศักยภาพอันเป็นความรู้-ทักษะ-ทัศนคติในทางวิชาชีพเป็นหัวใจหลัก
กิจกรรมหลักๆ ที่จัดขึ้น เช่น กิจกรรมการเรียนรู้ “ความงดงามของภาษาไทย” ผ่านการฝึกฝนทักษะในเรื่องของร้อยกรอง หรือวรรณศิลป์ โดยนิสิตมักจะเรียกเป็นวาทกรรมเชิงกิจกรรมว่า “ขับขานท่วงทำนองไทย” ซึ่งจัดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยและผูกโยงเป็นหนึ่งเดียวกับรายวิชาใดวิชาหนึ่งนั่นเอง
ส่วนอีกกิจกรรมจะออกไปในทาง “ค่ายอาสาพัฒนา” ที่เน้นการบริการสังคม ด้วยการนำองค์ความรู้เกี่ยวกับภาษาไทยไปพัฒนาศักยภาพนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ ล่าสุดก็คือ โครงการ “ค่ายสืบศาสตร์สานศิลป์ ครั้งที่ 4” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 26-28 พฤษภาคม 2560 ณ โรงเรียนโนนโพธิ์ศรีวิทยาคม ตำบลบ้านโนน อำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นกิจกรรมอกหลักสูตรในรูปลักษณ์ของค่ายอาสาพัฒนาที่มุ่งไปในด้านวิชาการ พัฒนาความรู้และทักษะของนักเรียนควบคู่กับการพัฒนาตัวตนของนิสิตไปพร้อมๆ กัน
มองโดยองค์รวมแบบยังไม่เจาะเชิงลึก ก็พอจะเห็นภาพอยู่บ้างว่าชมรมรักษ์ทางไทย มีความเป็น “ไทย” ที่เด่นชัดในเรื่องของการอนุรักษ์และสืบสาน “ภาษาไทย” ในฐานะมรดกของชาติผ่านกิจกรรมนอกหลักสูตรจากกลุ่มที่เรียนเจาะลึกเรื่องความงามอันเป็นสุนทรียะของภาษา (ศศ.บ.ภาษาไทย) และกลุ่มที่เจาะลึกไปในทางของการเป็น “ครูสอนภาษา” (กศ.บ.ภาษาไทย)
และด้วยความที่ว่าโครงสร้างของสมาชิกหลักๆ มาก 2 คณะ ชมรมรักษ์ทางไทย จึงปักหมุดเป็นชมรมในสังกัดส่วนกลางของมหาวิทยาลัย มิใช่ชมรมในสังกัดคณะใดคณะหนึ่ง หากแต่กิจกรรมก็ยังยึดโยงอยู่กับนิสิตทั้ง 2 กลุ่มเป็นหัวใจหลัก ซึ่งนี่คือ “โจทย์” อันเป็น “สถานะ” ที่ชวนคิดและเฝ้ามองว่าจะเดินต่ออย่างมั่นคงได้อย่างไร -
รักษ์ทางไทย : ว่าด้วย Hard skills & Soft skills และการบ่มเพาะความเป็นชาติผ่านภาษาประจำชาติ
จากทั้งปวงที่ผมกล่าวถึงข้างต้น อาจกล่าวได้ว่าชมรมรักษ์ทางไทยคืออีกหนึ่งองค์กรนิสิตในสังกัดส่วนกลางที่จัดกิจกรรมนิสิตในแบบบูรณาการวิชาชีพ (กิจกรรมในวิชาชีพ) สู่กิจกรรมนอกหลักสูตรที่มีทั้งในชั้นเรียน (ในมหาวิทยาลัย) และนอกชั้นเรียนที่มุ่งไปให้บริการด้านวิชาการแก่โรงเรียนในจังหวัดต่างๆ
โดยส่วนตัวแล้วผมชื่นชมกิจกรรมการออกค่ายของชมรมรักษ์ทางไทยเป็นอย่างมาก เพราะนิสิตได้นำองค์ความรู้ในวิชาชีพไปประยุกต์ใช้ด้วยการบริการสังคม สอดรับกับอัตลักษณ์นิสิตที่กล่าวไว้ว่า “นิสิตกับการช่วยเหลือสังคมและชุมชน”
คำว่า “ชื่นชม” ในที่นี้ ไม่ใช่ชื่นชมเพราะสัมพันธ์กับอัตลักษณ์การเป็นนิสิต หากแต่ชื่นชมเพราะกิจกรรมที่จัดขึ้นก่อให้เกิดความสมดุลของ Hard skills & Soft skills อย่างน่าสนใจ ได้ประโยชน์ทั้ง “นักเรียน” ในฐานะ “ผู้รับ” และ “นิสิต” ในฐานะ “ผู้ให้” แถมยังเชื่อมโยงถึงหลักคิดของการปลูกจิตสำนึกความเป็นชาติ หรือการบ่มเพาะให้นักเรียนและนิสิตตระหนักในคุณค่าและมูลค่าของภาษาประจำชาติไปในตัวอย่างเสร็จสรรพ –
รักษ์ทางไทย : กระบวนการเรียนรู้ผ่านฐานการเรียนรู้แบบบันเทิงเริงปัญญา
โดยปกติแล้วชมรมรักษ์ทางไทยมักเลือกไปออกค่าย ณ โรงเรียนที่ขาดโอกาสในทางวิชาการ เช่นเดียวกับล่าสุดก็วิเคราะห์แล้วว่าโรงเรียนดังกล่าวยังไม่เคยมีใครไปจัดค่ายเกี่ยวกับภาษาไทยให้เลยก็ว่าได้ จึงปักธงสร้างฐานการเรียนรู้กันที่โรงเรียนโนนโพธิ์ศรีวิทยาคมฯ
ค่ายครั้งนี้ออกแบบ “ฐานการเรียนรู้” ทั้งภาคกลางวันและกลางคืน แต่ที่แน่ๆ ถึงแม้จะเป็นค่ายอาสาพัฒนาในแบบวิชาการ แต่กระบวนการทั้งปวง คือ “บันเทิงเริงปัญญา” อย่างไม่ต้องสงสัย
ผมชื่นชอบกระบวนการจัดการเรียนรู้ของพวกเจาเป็นอย่างมาก ก่อนเข้าสู่กระบวนการมีกิจกรรมละลายพฤติกรรมนักเรียนกับพี่ๆ นิสิต เพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อนเรียนรู้ร่วมกัน
จากนั้นก็แบ่งน้องออกเป็นกลุ่มต่อเนื่องด้วยการ “ทดสอบ” (ประเมินผล) ความรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับพื้นฐานของภาษาไทย สอบเสร็จก็ประมวลผลในทันที ต่อด้วยการชวนให้นักเรียนได้ทบทวนภูมิปัญญาท้องถิ่นของตนเอง โดยให้นักเรียนระดมความคิดในหัวข้อ “ของดีเมืองขอนแก่น”
เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่เน้นวิชาการในตำราเรียนเท่านั้น แต่ไม่ลืมที่จะชักชวนให้นักเรียนได้เรียนรู้ชีวิตจากสังคมอันเป็น “บ้านเกิด” ของพวกเขาเอง
เสมือนการบอกย้ำให้นักเรียนได้ทบทวน “ทุนทางปัญญา” หรือ “ทุนทางสังคม” ไปในตัวนั่นเอง
แต่ที่แน่ๆ ฐานการเรียนรู้ทั้งภาคกลางวันและกลางคืนนั้น ชมรมรักษ์ทางไทยออกแบบการเรียนรู้อย่างชาญฉลาด เน้นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติการจริงร่วมกันอย่างเป็นทีม โดยสอดแทรก หรือนำเอาความเป็นภาษาไทยมาบรรจุไว้ในฐานต่างๆ อย่างหลากรูปรส เช่น
นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอื่นๆ มาหนุนเสริมการเรียนรู้ให้หลากหลายขึ้น ไม่ใช่แค่การสอนเสริมความรู้ในเรื่องภาษาไทยและวรรณคดีเท่านั้น เช่น กีฬาฮาเฮระหว่างพี่กับน้อง งานวัด ละครค่ายที่ผูกโยงกับวรรณคดีหรือเรื่องเล่าพื้นบ้านที่ทรงพลังทั้งภาษาและปรัชญาชีวิต อาทิ ...
ดังนั้นการจัดกระบวนการเรียนรู้ในทำนองนี้ จึงไม่ใช่แค่การสอนเสริมความรู้และทักษะผ่านการบรรยายและทำแบบฝึกหักในชั้นเรียน หรือห้องเรียนเท่านั้น ทว่ายังเปิดพื้นที่ออกสู่การเรียนรู้เชิงปฏิบัติการเป็นฐานๆ ที่ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการคิดวิเคราะห์และลงมือทำร่วมกัน ฝึกแก้ปัญหาและทำงานแข่งกับเวลาร่วมกัน มิใช่เรียนรู้ในเชิงปัจเจกบุคคล ซึ่งกระบวนการเช่นนี้มีกลิ่นอายของการบ่มเพาะความเป็นสังคม หรือการอยู่ร่วมกันอย่างน่าชื่นใจ
รักษ์ทางไทย : ไม่มีการเรียนรู้ใดปราศจากอุปสรรคและปัญหา
ถึงแม้ค่ายสืบศาสตร์สานศิลป์ฯ จะจัดกิจกรรมหลักๆ อยู่แต่ในเฉพาะโรงเรียน แต่ก็มีแกนนำชุมชนแวะเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด รวมถึงการสังเกตการณ์ หรือแม้แต่เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างเป็นกันเอง –
ย้อนกลับไปยังอุปสรรคและปัญหาดังที่ผมเกริ่นออกตัวไว้ตั้งแต่ต้น –
ค่ายครั้งนี้ถือว่าขลุกขลักพอสมควร เพราะนิสิตมาจากสองกลุ่มวิชาชีพ จึงเห็นความพยายามที่จะหลอมรวมเข้าเป็นนึ่งเดียวกัน กอปรกับตารางการเรียนและการสอบที่เลื่อนไหลเป็นจังหวะๆ ยังผลให้กำหนดห้วงวันเวลาในการออกค่ายค่อนจ้างลำบาก ที่สุดก็กลายเป็นการขออนุมัติโครงการฯ แบบเร่งด่วน ...
ครั้นถึงเวลาจริงๆ กลับต้องขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวันเวลาแบบด่วนดิบกันอีกรอบ เรียกได้ว่า “แทบหายใจไม่ทัน” เลยทีเดียว ซึ่งเข้าใจว่าเป็นปัญหาของการสื่อสารและประสานงานระหว่างนิสิตกับทางโรงเรียนฯ
ต่อเมื่อลงพื้นที่จัดกิจกรรมจริงๆ สถานที่จัดกิจกรรมในแต่ละฐานก็มีระยะห่างกันพอสมควร ทำให้บริหารจัดการเวลาได้อย่างยากลำบาก พลอยให้เวลา หรือกำหนดการลื่นไหลไปเรื่อยๆ ...
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองอุปสรรคและปัญหาเหล่านี้แสนธรรมดามาก จึงได้แต่บอกกับนิสิตที่เป็นแกนนำว่าให้ใจเย็นๆ ตั้งสติให้ดี มีสมาธิกับการทำงาน ทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุด ปรับทุกอย่างให้สอดคล้องกับบริบทของตรงนั้น ….
รวมถึงการบอกย้ำว่า “กลับมาค่อยว่ากัน”
ครับ – คำว่า “กลับมาค่อยว่ากัน” หมายถึงกลับมาแล้วค่อยมาสรุปบทเรียนร่วมกัน เพราะผมไม่อยากไปเคร่งครัดอะไรมากในตอนนั้น มันเหมือน “ผีถึงป่าช้า” ยังไงๆ ก็ต้อง “เผา” หรือ “สวดส่งวิญญาณ” ให้เสร็จสิ้นไปเสียก่อน
นี่คืออีกหนึ่งความจริงอันแสนงามท่ามกลางอุปสรรคอันเป็นมิตรของการเรียนรู้ที่อดที่จะนำมาบอกเล่าย้อนหลังไม่ได้ –
หมายเหตุ
เขียน : วันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 (กรุงเทพฯ)
ภาพ : ชมรมรักษ์ทางไทย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จากฐานการคิดคือ นำสิ่งที่มีไปแลกกับสิ่งที่ชุมชนรู้ ต่างคนต่างเป็นครู โดยมีนักเรียนและโรงเรียนเป็นสื่อกลาง รักษ์ทางไทย เกิดจากความเป็นคนภาษาไทยเมื่อ ปี 2548 ตอนนั้นเราต่างหาแนวทางของตน จึงมาลงตัวที่ ภาษาไทย ทั้งมนุษยศาสตร์และศึกษาศาสตร์ ถือว่าเป็นกลุ่มแรกๆ ที่พยายามทำค่ายด้วยการเอาวิชาการไปแลกเปลี่ยนกับชุมชน ปัจจุบันคงมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่าอุดมการณ์บางอย่างยังคงอยู่
จากฐานการคิดคือ นำสิ่งที่มีไปแลกกับสิ่งที่ชุมชนรู้ ต่างคนต่างเป็นครู โดยมีนักเรียนและโรงเรียนเป็นสื่อกลาง รักษ์ทางไทย เกิดจากความเป็นคนภาษาไทยเมื่อ ปี 2548 ตอนนั้นเราต่างหาแนวทางของตน จึงมาลงตัวที่ ภาษาไทย ทั้งมนุษยศาสตร์และศึกษาศาสตร์ ถือว่าเป็นกลุ่มแรกๆ ที่พยายามทำค่ายด้วยการเอาวิชาการไปแลกเปลี่ยนกับชุมชน ปัจจุบันคงมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่าอุดมการณ์บางอย่างยังคงอยู่
เป็นชมรมที่ดีมาก
ชอบใจกิจกรรม
มีฐานจำนวนหลายฐานมากๆ
ฐานตำนานและนิทานพื้นบ้าน
ฐานร้อยกรอง
ฐานสรภัญญะ
ฐานพระรามเดินดง
ฐานจิ๊กซอต่อวรรณคดี ฯลฯ
ขอชื่นๆชมน้องๆในชมรมครับ
สวัสดีครับ อ.สมปอง
ไปสอนหนังสือที่จันทบุรี มีชมรมในลักษาณะณะนี้เหมือนกันบ้างไหม ครับ..ไม่มีก็ลองผลักหนุนให้นักศึกษาตึ้งชมรม หรือชุมชนุมขึ้นมาก็น่าจะดี นครรัฐ
สำรับหรับรักษ์ทางไทย ข้อเท็จจริงคือเรอ่มอ่อนแรงอิ่มตัว รวมถึงความเป็นตัวตนของสองขาที่าวสาสาขาที่ต่างคณะกันและนับวันการเรียการวอนก็สอนก็อาจแตกต่างไปจากอดีต หนือแม้แต่เวลาก็ไม่ค่อยสัมพันธ์กัน..เช่นเดียวกับชมรมในสังกัดศึกษาศาสตร์ก็มีหลากชมรมให้สาย กศน.บภาษาไทยได้เข้าร่วม สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยของการคงอยู่ หรือยุบเลิกไปตามสภาพ
บันทึกนี้จึงเขียนใาปลุกกำลังใจให้น้องนิสิตได้ทบทวนและมีกำลังใจในการกำหนดทิศทางตนเอง ครับ
สวัสดีครับ อาจารย์เพชรน้ำหนึ่ง
กรณีที่ผมกล่าวถึงมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ กว่าจะอนุมตัิโครงการก็ลุ่มๆดอนๆ พออนุมัติแล้วก็เลื่อนเป็นการภายใน มารู้อีกทีก็จวนเจียนจะออกไปเยี่ยมค่ายอยู่แล้ว เลยต้องร่วมแก้ปัญหาและผ่อนคลายความเครียดให้น้องนิสิต...
เชื่อเหลือเกินว่าบทเรียนที่ว่านั้นจะเตือนใจและเตือนองค์กรของเขา และเรียนรู้ที่จะไม่ให้ปัญหาเก่าเกิดซ้ำรอยอีกในปีนี้...
ปีนี้รอลุ้นว่าน้องนิสิตจะข้ามพ้นปัญหานี้หริอไม่..
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ดร.ขจิต
จริงๆแล้วมีฐานการเรียนรู้มากกว่าทีายกตัวอย่างนะครับ ที่ยกมาเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับวรรณคดีไทยเท่านั้นเอง
การผสมผสานระหว่างวิชาชีพในทางภาษา กับวิชาชีพครูในแบบฉบับบชมรมนี้ผมว่าน่าสนใจมาก มองอีกทีเหมือนวิทย์กับศิลป์มาผสมกัน เหมือนจุดลงตัวของศาสตร์และศิลป์ ดีๆ นั่นเอง
ขอบคุณครับ