กลับมาแล้วจ้า … คิดถึงเพื่อนๆ พี่ๆ ชาว Gotoknow จังค่ะ หายไป 4- 5 วัน เหมือนหายไปนานมากเลย ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเราชาว QAU นำทีมโดยท่านอาจารย์วิบูลย์ออกเดินสายเนื่องจากไปทำ KM Workshop 2 งานติดกัน
1. KM Workshop สำหรับผู้บริหารด้านกิจการนิสิตทั่วประเทศ หัวข้อ “ความสำเร็จของกิจกรรมรับน้องและประชุมเชียร์ในทัศนะของผู้บริหารด้านพัฒนานักศึกษา” วันพฤหัสบดีที่ 23 – วันศุกร์ที่ 24 พ.ย. 49 ณ. โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่
2. KM Workshop สำหรับผู้นำนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร รุ่นที่ 2 หัวข้อ “ความภาคภูมิใจในการเป็นนิสิตที่พึงประสงค์ของมหาวิทยาลัยนเรศวร” วันเสาร์ที่ 25 - อาทิตย์ที่ 26 พ.ย. 49 ณ ม.นเรศวร จ.พะเยา
เราเริ่มออกเดินทางในวันพุธที่ 15 ประมาณ 10.30 น. โดยมีท่านอาจารย์วิบูลย์นำทีม ฟาน้อยประกอบด้วย QAU 4 คน ตูน โอ กอล์ฟ พัช และ พี่ๆ จากบัณฑิตวิทยาลัย พี่ตา 2 ตา รวม 7 ชีวิต ออกเดินทางสู่ จ.เชียงใหม่ซึ่งเรากะเวลาคร่าวๆ ว่าจะถึงเชียงใหม่ประมาณ 16.00 น. เพื่อจะได้มีโอกาสได้แวะสัมผัสบรรยากาศงานพืชสวนโลกเป็นของแถมในการเดินทาง เราได้มีการพูดคุยเพื่อ BAR กันบนรถเหมือนเช่นเคย อาจารย์วิบูลย์เล่าเรื่องโน้น ทบทวนเรื่องนี้กับเราเป็นระยะๆ แต่เนื่องจากเราได้มีการ BAR กันครั้งหนึ่งร่วมกับบุคลากรที่เป็นผู้จัดงานจากกองกิจการนิสิต (พี่ต้น พี่หลา ผึ้ง) เมื่อวันจันทร์ที่ 13 พ.ย. มารอบหนึ่งแล้ว จึงทำให้การพูดคุยมีหลายๆ หัวข้อมาประกอบด้วยกัน ส่วนหนึ่งของการพูดคุยเป็นการซักซ้อมสิ่งที่อาจารย์วิบูลย์จะพูดเพื่อเกริ่นนำ และสรุปตอนท้ายให้กับผู้บริหารด้านกิจการนิสิตได้ฟังกัน ซึ่งตรงนี้ดิฉันเชื่อว่าเราได้รับฟังอะไรที่ค่อนข้างละเอียดและรอบทิศมากกว่าผู้ที่นั่งฟังอยู่ในงานอย่างแน่นอน อันนี้ต้องยกประโยชน์ให้เราโดยปริยาย “คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” เราพอจะหาข้อสรุปเหตุผลดังกล่าวได้ว่าอาจเป็นเพราะบรรยากาศ กรอบของเวลา และความไว้วางใจในการพูดคุยเป็นสิ่งสำคัญ
เราถึงเชียงใหม่กันเลยเวลาที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย เราจึงได้แวะที่งานตามที่เราตั้งใจไว้ เราได้เดินชมบรรยากาศในงานอย่างคร่าวๆ ประมาณ 2 ชม. เนื่องจากแสงเริ่มน้อย และเราเองก็วางแผนไว้ว่าจะต้องเดินทางไปดูห้องประชุมกันก่อนเข้าที่พัก ระหว่างเดินชมบรรยากาศยัง คิดถึงพี่เมตตา เพราะครั้งแรกตั้งใจว่าเราจะชวนมาช่วยเป็นวิทยากรกระบวนการด้วยกันแต่เนื่องจากทางมอ. ติดประเมินภายนอกจาก สมศ. พี่เมตตาเลยมากับเราไม่ได้ พลันโทรศัพท์มือถือของดิฉันก็ดังขึ้น “พี่เมตตาของดิฉันโทรมาพอดีค่ะ” …. พี่เมตตาเคยได้แจ้งกับดิฉันไว้คร่าวแล้วว่าจะมีการจัดประชุม ปทมข. ในราวเดือนเมษายน โดยจะมีการจัดห้องย่อยๆ ซึ่ง 1 ในนั้น จะเป็นการจัด KM Workshop ซึ่งจะให้ทีม มน. เราดูและในห้องดังกล่าว ซึ่งวันนี้พี่เมตตากำหนดวันว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงน่าจะเป็นวันที่ 6-7 เม.ย. ซึ่งงานจะจัดที่ จ.ภูเก็ต
งานแรกของอาทิตย์นี้ของเรามีกำหนดการที่เราตั้งไว้คือ 1 วันครึ่ง ซึ่งก่อนวันงานเราค่อนข้างกังวลกับหลายๆ อย่าง เช่น
1. ความเป็นผู้บริหาร ดิฉันยังจดจำบรรยากาศของการจัด KM Workshop ทำนองนี้ที่จัดที่โรงแรมอมรินทร์ลากูล จ.พิษณุโลก ได้เป็นอย่างดีเพราะเนื่องจากงานนั้นคนเยอะเราจึงแบ่งห้องประชุมออกเป็น 2 ห้อง คือ ห้องที่ 1 เป็นห้องของผู้บริหารซึ่งดิฉันอยู่ในห้องนี้ ส่วนห้องที่ 2 ห้องของ ผอ. หัวหน้างาน ดิฉันจำได้ว่าครั้งนั้นบรรยากาศของห้องผู้บริหารค่อนข้างเคร่งขรึมและไม่ค่อยได้อารมณ์ KM เท่าใดนัก ต่างจากห้องที่ 2 โดยสิ้นเชิง ดิฉันขอไม่สรุปว่าแบบไหนดีหรือไม่ดีนะคะ
2. ห้องประชุม ตอนเดินทางไปดูห้องประชุมที่จัดไว้ก็ยิ่งกังวลหนัก ห้องเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง โต๊ะของผู้เข้าร่วมโต๊ะสุดท้ายอยู่ห่างจากเวทีมาก เราจึงเริ่มต้นด้วยการขยับโต๊ะขึ้นตั้งแต่โต๊ะแรกไล่ขึ้นมาเล็กน้อย สิ่งที่เรากังวลไม่ใช่เวทีแต่ เรากังวลกับความสนใจในการฟังเกริ่นนำกระบวนการที่ท่านอาจารย์วิบูลย์จะต้องทำความเข้าใจในเบื้องต้นเกี่ยวกับ Workshop ในแต่ละครั้งซึ่งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการจะนำไปสู่ความสำเร็จของ Workshop
ความกังวลที่ 3. บรรยากาศของเชียงใหม่ + งานมหกรรมพืชสวนโลก เราค่อนข้างกังวลกับช่วงเวลาที่เราจัดงานบวกกับบรรยากาศที่จะดึงคนของเราให้ไปสนใจกับอย่างอื่นแทนเรา เพราะหากเราอยากให้ทุกท่านเข้าร่วม Workshop จนจบ จึงจะเห็นภาพครบ และชัดเจน
แต่ในความกังวลทั้งหมดทั้งสิ้นก็ยังคงมีเสียงท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ที่เคยเตือนถึงเรื่อง“มาตรฐานที่สูงเกินไปของเรา” ดังก้องอยู่ในใจเพื่อคอยเตือนอยู่เสมอ ดิฉันรู้สึกผิดที่มองอะไรๆ ในแง่ร้าย และตั้งแง่จนเกินไป
เช้าวันแรก เริ่มต้นด้วย ท่านรศ.ดร.วินชัย ศิริชนะ อธิการบดี ม.แม่ฟ้าหลวง ปาฐกถาเรื่อง “รับน้อง ความประทับใจที่ต้องเปลี่ยนแปลง” ซึ่งทำให้บรรยากาศเริ่มต้นด้วยดี แล้วต่อจากนั้นท่านอาจารย์วิบูลย์ก็ได้นำทุกท่านเข้าสู่กระบวนการต่างๆ ตามลำดับ หลังจากฟังเกริ่นนำผู้เข้าร่วมแต่ละกลุ่มจึงเริ่มเล่าเรื่อง (Storytelling) ในหัวข้อ “กิจกรรมรับน้องที่ประสบความสำเร็จ”
ทุกอย่างผิดคาดค่ะ .... แค่ผ่านไปครึ่งวันก็รู้สึกว่าบรรยากาศดีมากๆ ทุกช่วงเวลา ผู้เข้าร่วมทุกท่านให้ความสนใจเราในทุกขั้นตอน ร่วมกิจกรรมกับเราด้วยความสนใจจนถึงช่วงเย็น หลังจากจบกระบวนการวันแรก เรา ก้อ ก็ทำ AAR ของวันแรกกันในโต๊ะอาหารของ “ร้านกินเส้น” ฟาน้อยทุกคนมีเรื่องมาเล่าถึงบรรยากาศในกลุ่มของตัวเองอย่างหลากหลายโดยเฉพาะดิฉันปลื้มใจกับบรรยากาศในกลุ่มที่ดิฉันสังเกตการณ์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะท่านอาจารย์ศราวุฒิ รองฝ่ายกิจฯ ของ ม.นเรศวร พะเยา ท่านได้เข้าร่วม Workshop ทำนองนี้กับเรามาแล้ว แล้วท่านก็ไม่ทำให้ดิฉันผิดหวังเลย ดิฉันทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์จริงๆ อันเนื่องมากจาก 1. ทุกท่านตั้งใจฟังเกริ่นนำ และ 2. ท่านอาจารย์ศราวุฒิเข้าใจในกระบวนการจนสามารถเรียกได้ว่า “เนียน” กอรปกับบุคลิกของท่านจึงทำให้ท่านทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี วันแรกผ่านไปด้วยดีมีเรื่องเล่าที่ทรงพลังหลายๆ ผู้เข้าร่วมมีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี บางท่านมีภาพถ่ายกิจกรรมประกอบการเล่าเรื่องด้วย
เช้าวันที่ 2 เราเริ่มกระบวนการช้ากว่ากำหนดการเล็กน้อย แต่ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเลยค่ะ ครั้งนี้เราพบดาวเด่นของงานเหมือนอย่างเคย ท่านอาจารย์สุจิระ จาก ม.ราชมงคลธันยบุรี ช่วยเป็นตัวแทนในการนำเสนอ แก่นความรู้ (Core competence) ในภาพรวมของครั้งนี้ โดย ท่านอาจารย์วิบูลย์ได้นำ Core competence ที่เราได้จัด Workshop หัวข้อเดียวกันนี้กับผู้นำนิสิตทั่วประเทศมาเทียบเคียงให้ดูว่านิสิตคิดอย่างไร และผู้บริหารคิดอย่างไร เหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ เราจบ Workshop กับเวลาประมาณ 11.30 น. เนื่องจากผู้เข้าร่วมทุกท่านร่วมกันดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ เป็นอย่างดี เราจึงคืนเวลาครึ่งชม.ให้กับทุกท่านเป็นโบนัส ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของบรรยากาศที่ดีใน Workshop ครั้งนี้ดิฉันคิดว่าน่าจะเกิดจากความเหนียวแน่นที่มีมาอยู่แล้วของคนในเครือข่ายนี้ ส่วน KM มาช่วยกระชับความสัมพันธ์โดยมีการกำหนดประเด็นขึ้นมาพูดคุยเท่านั้น
ตอนแรกดิฉันยังกลัวว่าเราคงจะเหนื่อยกับทั้งการเดินทาง แล้วแถมต้องเดินทางต่อไปที่พะเยาเพื่อไปทำ Workshop ต่อกับนิสิตอีกในวันเสาร์ที่ 25 – อาทิตย์ที่ 26 (ซึ่งจะได้นำมาเล่าในบันทึกต่อไป) แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นเราทุกคนมีความสุขมีกำลังใจสำหรับงานต่อไปเหลือล้น ดิฉันเคยสงสัยการทำงานของ สคส. ผ่านทาง blog ที่จะต้องไปพบปะพูดคุย สังเกตการณ์กับผู้คนหลายหลายอาชีพว่าจะเข้าใจเรื่องของเค้าได้อย่างไร ไม่เบื่อหรือที่จะต้องไปนั่งฟังเรื่องที่เราไม่เข้าใจ แต่เปล่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต สามารถเรียนรู้และปรับตัวอย่างที่ท่านอาจารย์หมอประเวศกล่าวไว้จริงๆ ดิฉันรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ตัวเองเดินออกมาจากนอกกะลาทีละน้อย ได้พบกับโลกกว้างแทนที่จะอยู่ที่จุดจุดเดียว มองเห็นผ่านมุมมุมเดียว วันนี้ดิฉันเช็คตัวเองกับคำถามที่ว่าทำ KM แล้วได้อะไร ดิฉันสรุปไม่ได้ซักทีเพราะมีมาเพิ่มเติมเข้ามาอยู่เสมอ "รู้แค่ว่าดีใจเหลือเกินที่ได้รู้จักกับ KM ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง
ความประทับใจทั้งในเรื่องการ ลปรร. และบรรยากาศทั้งหมดทั้งสิ้นในงานที่เกิดขึ้น ดิฉันคิดว่าน่าจะยกความดีให้กับผู้บริหารทุกท่านที่ช่วยกันสร้างบรรยากาศในการ ลปรร. และกระบวนการต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เจ้าหน้าที่จากกองกิจการนิสิตที่เตรียมงานมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพี่ต้น พี่หลา ผึ้ง น้องหมู และหยุย ... ขอแรงชาว Gotoknow ช่วยกันปรบมือดังๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ดิฉันกล่าวมาข้างต้นด้วยนะคะ ...